“พวกคุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะ! คุณรับเงินสินบนเราไปโดยที่ไม่ให้อะไรพวกเราตอบแทนเลยได้ยังไง”
มีต้นสังกัดและศิลปินมากมายที่พยายามติดสินบนพวกเขา หากแต่ไม่มีใครที่พูดมันออกมาอย่างโจ่งแจ้งอย่างที่หม่าเวยเวยและสังกัดของเธอทำ
“งั้นก็ไปหาคนที่ยอมให้คุณติดสินบนเถอะครับ ลิน่า ส่งพวกเขาออกไปซะ! ทำไมคุณไม่ดูตัวเองบ้างล่ะ ในฐานะตัวปลอมคุณเองก็น่าจะเจียมตัวไว้บ้าง หรือคิดว่าตัวเองเป็นตัวจริงขึ้นมาได้เหรอ”
ถังหนิงตัวจริงต่างออกไปมาก เธอมีความสามารถมากพอที่จะปฏิเสธสินค้ายี่ห้อดังระดับนานาชาติ ในขณะที่พวกเขาใฝ่ฝันที่จะได้ทำงานร่วมกับเธอ
อย่างไรเสียศิลปินคนเดียวในปักกิ่งที่เคยประสมความสำเร็จในต่างประเทศและมีชื่อเสียงระดับนานาชาติก็คือถังหนิง ยิ่งกว่านั้นเธอยังเป็นลูกศิษย์ของโจนส์ เจ้าพ่อแห่งโลกไซไฟ อีกด้วย ดังนั้นเธอจึงเป็นเพียงคนเดียวที่คู่ควรกับการเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวระดับโลก
หม่าเวยเวยยังคงต่อสู้เพื่อที่ยืนของตัวเอง ทว่าสุดท้ายผู้จัดการของเธอกลับห้ามเธอไว้ “ไปกันเถอะ…”
“เราจะไปแล้วเหรอ แล้วเราจะแก้ตัวกับเจ้านายว่ายังไงล่ะ” ผู้อำนวยการศิลปินถาม “เวยเวย เธอต้องพยายามให้มากกว่านี้นะ กว่าทางสังกัดจะช่วยให้เธอมาไกลถึงจุดนี้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่เธอก็ยังคว้างานที่เหมาะสมไว้ไม่ได้อีก ถ้าเรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมาเราจะเอายังไงกันต่อล่ะ”
“ถ้าคุณทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำสิคะ! ” หม่าเวยเวยว่าขึ้นก่อนเธอจะรีบเข้าไปในลิฟต์โดยที่ยังไม่ได้สวมแว่นกันแดดด้วยซ้ำ
เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานในลิฟต์ได้เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของหม่าเวยเวย
“ถังหนิง…คุณคือถังหนิงใช่ไหมคะ ช่วยเซ็นลายเซ็นให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ”
พนักงานสาวที่สวมแว่นตากรอบดำยื่นสมุดให้หม่าเวยเวย อย่างไรก็ตามเพื่อนร่วมงานหนุ่มอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ รีบบอกทันที “จำผิดแล้ว ไม่ใช่ถังหนิง เธอคือตัวปลอมคนนั้นไง…”
เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวคนนั้นรีบจัดแว่นและมองหน้าหม่าเวยเวยให้ดีอีกทีก่อนใบหน้าของเธอจะขึ้นสี
“ฉันคิดว่าเธอคงถูกเชิญมาคัดตัวสำหรับสินค้าบำรุงผิวที่มีระดับน่ะ เลยคิดว่าต้องเป็นถังหนิงแน่ๆ… ”
“อย่างพูดเสียงดังไปสิ”
“ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่กันล่ะ” ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นแฟนคลับของถังหนิง เธอจึงออกอาการเหยียดหยามหม่าเวยเวย ตอนนี้เธอได้มีโอกาสเห็นตัวจริงของอีกฝ่ายเป็นธรรมดาที่จะกล่าวล้อเลียน “ในโลกนี้กรรมมันก็เป็นตัวกำหนดชะตากรรมในชาติหน้านั่นแหละ ส่วนใครที่ก้าวหน้าด้วยการเหยียบคนอื่นขึ้นไป ฉันก็หวังว่าสักวันคุณจะถูกทำลายไม่มีชิ้นดีก็แล้วกัน”
หม่าเวยเวยถูกเบียดอยู่ด้านในลิฟต์เล็กๆ ขณะที่กำหมัดแน่น หากไม่มีคนอยู่รอบๆ เยอะขนาดนี้เธอคงจะฉีกนังนั่นเป็นชิ้นๆ แล้ว น่าเสียดายที่หลายคนกำลังจับจ้องเธออยู่
“ถ้าคุณอยากจะช่วยถังหนิงจริงๆ ก็ไม่ควรพูดถึงเธอในประโยคเดียวกับผู้หญิงคนนั้นนะ การสละเวลาไปเกลียดเธอยังไม่คุ้มเลยด้วยซ้ำ” พนักงานคนอื่นๆ หัวเราะ แน่นอนว่าเป็นในตอนที่หม่าเวยเวยออกจากลิฟต์ไปแล้ว อย่างไรก็ตามมันก็ยังลอยมาถึงหูของเธออยู่ดี
หลังจากได้ยินดังนั้น หม่าเวยเวยกระแทกเท้าปึงปังออกไปจากตึกอย่างไม่สนใจสายตาของทุกคนที่จ้องมองตามเธอไป
หรือเธอจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ใต้เงาของถังหนิงกัน
บางทีอาจเป็นเพราะคำสั่งจากผู้อำนวยการศิลปินที่ให้ตามหาตัวหม่าเวยเวย ผู้จัดการของเธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากติดต่อหันซิวเช่อ อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ไม่สามารถควบคุมหม่าเวยเวยได้อีกแล้ว
แม้ว่าหันซิวเช่อจะไม่ได้อยากเข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งในเวลาที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ เขาก็อดที่จะเห็นอกเห็นใจหม่าเวยเวยไม่ได้
ทั้งสองถูกถังหนิงทำร้าย หากเขาไม่ช่วยหม่าเวยเวยแล้วใครจะช่วยเธอ
อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองคนมีใครเข้าใจว่า คนหนึ่งเฝ้าหลอกตัวเองเพราะเพ้อฝันถึงความรักแล้วต้องเจ็บปวด เขาจึงใส่ร้ายถังหนิงเพื่อสะกดจิตตัวเองให้ยอมแพ้ ในขณะที่อีกคนทำถึงขนาดศัลยกรรมให้ดูเหมือนถังหนิงเพื่อเกาะกระแสของอีกฝ่ายและชื่อเสียงของตัวเอง ทั้งยังแย่งบริษัทมา
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง แต่ยังเอาแต่พยายามโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่นที่ไม่ตอบสนองความต้องการของตัวเอง…
ในท้ายที่สุดหันซิวเช่อจึงเจอหม่าเวยเวยที่บาร์แห่งหนึ่งและอุ้มเธอกลับไปที่บ้านของเขา
“ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ฉันก็คิดว่าคงหนีไม่พ้นอิทธิพลของถังหนิงหรอก”
“ควบคุมตัวเองหน่อยสิ” หันซิวเช่อวางผ้าขนหนูหมาดๆ ไว้บนหน้าผากของเธอ “เราจะเจอปัญหาอะไร เราก็แค่โยนไปเป็นความผิดของถังหนิงก็จบแล้ว”
“แต่ว่าตอนนี้จะมีสักกี่คนที่เชื่อฉันล่ะ” หม่าเวยเวยคอตกก่อนเริ่มร้องไห้ “ฉันเปลี่ยนหน้าตัวเองให้เหมือนเธอแล้ว แล้วฉันต้องทำอะไรอีก หันซิวเช่อ ฉันเหนื่อยไม่ไหวแล้ว…”
“พักผ่อนสักหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ผมจะทวงความยุติธรรมให้คุณเอง! ”
“คุณจะทำอะไร”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า! ” เขาดึงแล็ปท็อปของตัวเองออกมาพร้อมกับผ้าห่ม จากนั้นจึงใช้คลุมตัวหม่าเวยเวยไว้ ก่อนจะเข้าสู่โลกส่วนตัว เขาออนไลน์และเริ่มพิมพ์คำด่าลงไป
ถ้อยคำของเขาเรียบง่ายและรุนแรง
“ถังหนิง คุณอยากจะไล่ต้อนหม่าเวยเวยไปถึงไหนกัน คุณว่าจะหยุดหลังจากที่ทำให้คนตายนี่ คุณเองก็มีทุกอย่างแล้ว เลิกทำตัวเลือดเย็นสักที! ”
เมื่อความเห็นนี้ถูกโพสต์ลงไป ทุกคนที่เห็นมันรวมถึงถังหนิงก็อึ้งไป
ถังหนิงยังไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่างเธอก็ถูกเรียกว่าเป็นคนเลือดเย็นแล้ว
ครั้งนี้แฟนๆ ของถังหนิงไม่อดกลั้นอารมณ์โกรธอีกต่อไป ขณะที่พวกเขาเริ่มก้าวออกมาตอกกลับ “หนิงของฉันพา โม่ตัวน้อย ไปโรงพยาบาลเมื่อวานตอนเช้าและใช้เวลาทั้งบ่ายอยู่ที่ไฮแอทรีเจนซี คุณไม่กลัวว่าจะโดนฟ้าผ่าที่พ่นคำพูดพล่อยๆ ออกมาบ้างหรือยังไง หันซิวเช่อ”
“หันซิวเช่อ ถ้าคุณจะอ้างว่าถังหนิงกดดันหม่าเวยเวย คุณเองก็ต้องมีหลักฐานมาแสดงให้เราเห็นนะ อีกอย่างคุณไม่ได้พูดเองเหรอว่าตัวเองกับหม่าเวยเวยไม่ได้สนิทกันน่ะ”
“แค่เพราะว่าหม่าเวยเวยทำตัวเองให้เหมือนถังหนิง หมายความว่าทุกครั้งที่เธอถูกรังแกต้องเป็นฝีมือถังหนิงหรือยังไง ขอโทษนะ แต่ว่าหนิงของฉันไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอก! ”
“สุดท้ายพระเจ้าก็จะลงโทษคนที่ชั่วร้ายเองนั่นแหละ! ”
ในขณะที่หันซิวเช่อกำลังพยายามอย่างสุดตัวในการรักษาภาพลักษณ์ของหม่าเวยเวยในฐานะเหยื่อเอาไว้ เธอจะได้ตามติดไปกับถังหนิง และเป็นการเตือนให้ถังหนิงรู้ว่าจะต้องทุกข์ใจทุกครั้งที่คิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
แน่นอนว่าทุกคนที่มีหัวคิดรู้ว่าเขากำลังสร้างกระแส อย่างไรเสียก่อนหน้านี้เขาเองก็ยอมรับว่าได้ยกจู้ซิงมีเดียให้หม่าเวยเวยเพราะพยายามเกาะชื่อเสียงของถังหนิง ทว่าเขาได้ฝังภาพลักษณ์ว่าหม่าเวยเวยเป็นผู้ถูกกระทำลงไปในความคิดของคนภายนอกเสียแล้ว
ทุกครั้งที่หม่าเวยเวยถูกต่อว่าและมีบางอย่างผิดพลาด เธอก็แค่ต้องร้องไห้ลงบนโลกออนไลน์และคนก็จะถูกปลุกปั่นขึ้นมาทันที
เมื่อหม่าเวยเวยตื่นขึ้นมาและเห็นว่าเขากำลังเถียงกับแฟนๆ ของถังหนิง เธอรีบห้ามเขาไว้ “คุณบ้าไปหรือเปล่าเนี่ย”
“ผมไม่ได้กำลังทวงความเป็นธรรมให้คุณอยู่เหรอ” เขาหัวเราะ “ในเมื่อคุณทรมาน ถังหนิงก็ต้องทรมานเหมือนกัน”
“แต่การที่เธอทรมานมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับฉันเลยนะ”
“ใครบอกว่าไม่มีประโยชน์ล่ะ เรื่องบางอย่างมันก็เป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้ถ้าพูดคุณถึงมันซ้ำๆ …ตอนนี้คุณเป็นแค่ตัวปลอม เป็นไปไม่ได้ที่จะมาแทนที่ถังหนิงได้หรอก แต่ถ้าเรามองจากมุมอื่น คุณเองก็เป็นคนที่ไม่มีปัญญาไปทำร้ายถังหนิงได้เหมือนกัน ในทางกลับกันหมายความว่าถังหนิงทำร้ายคุณได้ง่ายกว่า ดังนั้นสถานการณ์ของคุณจะดีขึ้นก็ต่อเมื่อคุณเล่นบทผู้ถูกกระทำต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเขา หม่าเวยเวยอดไม่ได้ที่จะขำออกมา “คุณเป็นถึงขนาดนี้แล้วแต่ถังหนิงก็ยังไม่สนใจสักนิด เธอนี่ความอดทนสูงจริงๆ ! ”