ตอนที่ 1039 เขาพูดจารุนแรงขนาดนี้ ไม่กลัวว่าปากจะมีสีบ้างเหรอ

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

ทำไมถังหนิงยังไม่ออกมาตอบโต้อะไรอีก หากหม่าเวยเวยไม่ได้หลอกตัวเอง เธอคงรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใด

ในความเป็นจริงคือถังหนิงไม่มีเหตุผลที่ต้องไปโต้ตอบกับเงาไร้ราคาอย่างเธอ แต่เธอเพียงแค่ไม่อาจยอมรับมันได้

ในขณะเดียวกันหันซิวเช่ออ้างว่าตัวเองมองถังหนิงออก “ไม่ใช่แค่เธอจะอดทนเก่ง แต่ยังวางแผนเก่งด้วย คุณคอยดูไปเถอะ เธอยังมีลูกเล่นซ่อนไว้อีกเพียบเลยล่ะ… คุณน่าจะระวังตัวไว้หน่อยนะ ผมช่วยคุณทุกครั้งไม่ได้หรอกนะครับ”

หม่าเวยเวยเหยียดยิ้ม หลังจากซ่อนตัวมาทั้งคืน ถึงเวลาที่เธอต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นอย่างที่หันซิวเช่อว่าไว้ เขาช่วยเธอทวงความเป็นธรรมให้แล้ว อย่างน้อยการได้ต่อว่าถังหนิงก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง

โลกก็เป็นเสียอย่างนี้ หลายคนเอาแต่คิดว่าชะตากรรมที่โหดร้ายของตัวเองเกิดจากความเจ็บปวดที่ได้เห็นคนอื่นมีความสุข

ดังนั้นการได้เห็นคนอื่นต้องทุกข์ทรมานจึงเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจ…

ในเวลาเดียวกันหันซิวเช่อยังคงโต้เถียงกับแฟนๆ ของถังหนิงไม่เลิก “พวกเธอก็รู้ว่าคนที่กำลังปกป้องอยู่เคยเป็นนักแสดงใช่ไหมล่ะ

“เธอไม่ได้ประสบความสำเร็จสักอย่าง แต่พวกเธอก็ยังเรียกเธอว่าดาราดังระดับโลก พวกเธอนั่นแหละที่เป็นคนเดียวที่อวดดีซะเหลือเกิน”

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หลงเจี่ยเฝ้ามองหันซิวเช่อถกเถียงกับแฟนๆ ก่อนต่อสายหาถังหนิง “ฉันล่ะสงสัยว่าหันซิวเช่อจะวางแผนต่อไปยังไง”

“อย่าเอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลย…”

“ฉันรู้ว่าไม่ควรเอามาคิดนะคะ แต่ไอ้สารเลวคนนี้กับหม่าเวยเวยก็น่าขยะแขยงเหมือนกับแมลงสาบคู่รักเลยล่ะค่ะ”

ทว่าครั้งหนึ่งเธอก็เคยเชื่อใจหันซิวเช่อ มันยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมเมื่อจู้ซิงมีเดียตกอยู่ในมือพวกเขา…

“ถังหนิงไม่ได้พยายามทำหนังไซไฟอยู่เหรอ คอยดูไปเถอะ ผลงานขยะที่เธอกำลังสร้างคงจะประจบสอพลอคนอเมริกันหรือไม่ก็ออกมาเหมือนหนังของเด็กนั่นแหละ! ”

“อะไรกันเนี่ย! ” เมื่อหลงเจี่ยเห็นดังนี้ เธอเดือดดาลไปด้วยความโกรธทันที “เขาพูดจารุนแรงขนาดนี้ ไม่กลัวว่าปากจะมีสีบ้างหรือไง! ”

“เมื่อเช้านี้ฉันได้ข่าวว่าตัวอย่างหนังของมดราชินีเสร็จแล้วนะ…” ถังหนิงไม่ได้ตอบหลงเจี่ย เธอเพียงตั้งใจกับบางสิ่งที่สำคัญมากกว่านั้น

“ฉันรู้ว่าคุณพยายามจะสื่ออะไรนะคะ หลังจากเตรียมการมานาน ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะปล่อยตัวอย่างหนังและตอกกลับไอ้พวกนั้นแล้ว”

ความทุ่มเทและยากลำบากที่ถังหนิงผ่านมาเพื่อ มดราชินี เป็นสิ่งที่หลงเจี่ยไม่อาจเข้าใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการแบกรับความฝันของเฉียวเซินและซย่าหันโม่ได้กลายเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ แต่ต่อให้หันซิวเช่อกับหม่าเวยเวยจะเหมือนหมาป่า พวกเขาก็ไม่อาจเข้ามาขวางทางถังหนิงได้อยู่ดี

ในครั้งนี้เธอไม่ใช่นางแบบหรือนักแสดง และแน่นอนว่าไม่ใช่ดาราดังระดับโลก แต่เป็นนักเขียนและผู้อำนวยการสร้าง

จากนั้นถังหนิงเอาภาพยนตร์ฉบับเสร็จสมบูรณ์ของเธอให้โม่ถิงดู “คุณเป็นคนแรกที่ได้ดูเลยนะคะ แม้แต่ฉันยังไม่ได้ดูเลยนะ”

โม่ถิงมองหน้าถังหนิงด้วยท่าทีจริงจัง รับรู้ถึงความคาดหวังและความรู้สึกย้อนแย้งในใจเธอ เธอต้องการความเห็นที่ซื่อตรงที่สุดแต่ก็อยากได้การสนับสนุนที่จริงใจด้วย

นี่เป็นฉบับตัดต่อแรกจึงยังต้องมีการตัดต่อและผ่านกระบวนการหลังการถ่ายทำอีกจึงจะเสร็จ ความจริงแล้วมีความเป็นไปได้ว่าอาจต้องถ่ายทำใหม่บางฉาก หากแต่ถังหนิงต้องการความเห็นจากโม่ถิงในตอนนี้ว่าภาพยนตร์พอใช้ได้หรือไม่

“เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องนี้ให้นะครับ” โม่ถิงเอ่ยเสียงอ่อนโยนกับถังหนิงคล้ายพยายามทำให้เธอคลายความกังวล “สูดหายใจลึกๆ เลิกกดดันตัวเองเกินไปได้แล้วครับ”

ถังหนิงกุมมือถังหนิงก่อนพยักหน้าให้ “ฉันเชื่อใจคุณนะคะ ถ้ามันจะแย่ขนาดนั้นจริงๆ ฉันก็เริ่มใหม่ได้ค่ะ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย”

“คุณจะไม่ต้องทำอย่างนั้นหรอกครับ! เชื่อผมนะ โอเคไหม”

ถังหนิงไม่รู้ว่าโม่ถิงจะดูภาพยนตร์เมื่อไร หากแต่เธออยากจะเห็นผลตอบรับจากเขาจริงๆ

อย่างไรก็ตามจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน โม่ถิงก็ยังคงไม่ได้พูดอะไร ที่เขาขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานตั้งนานเพราะเขาทำงานจริงๆ น่ะหรือ เป็นไปได้ไหมว่าหลังจากเขาดูภาพยนตร์จบแล้ว เขาจะรู้สึกว่ามันแย่จนไม่รู้จะบอกเธออย่างไร

ถังหนิงอยากจะถามโม่ถิงเรื่องนี้ ทว่าเหยียนเอ๋อร์มีไข้ขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่กล่อมลูกสาวเข้านอนเธอจึงหลับตามไปด้วยเช่นกัน โม่ถิงเข้ามาอุ้มภรรยาและลูกสาวไปนอนบนเตียง ก่อนเข้าไปในห้องทำงานเพื่อดูภาพยนตร์ของถังหนิง

ด้วยเขาเป็นตัวเอกของเรื่องจึงรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องดูมันอยู่บ้าง แต่เขาจำต้องสลัดความคิดของตัวเองออกไปและรับชมในฐานะผู้ชมเพื่อให้คำวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมา

เส้นเรื่องทั้งหมดของ มดราชินีได้ถูกตีความใหม่

จากเรื่องราวความรักหนุ่มสาวไปสู่ความรักระหว่างพ่อกับลูกสาว

ฉากแรกเป็นฉากที่โคโค่ถูกลักพาตัวและคนร้ายพยายามพาเธอหนีไป…

อย่างไรก็ตามในขณะที่พวกเขากำลังขับรถหนี กลับบังเอิญชนเข้ากับคนที่เดินตามท้องถนนคนหนึ่ง คนเดินถนนคนนั้นมีอาการแปลกสุดๆ เมื่อร่างกายของเขาโปร่งใสราวกับดักแด้

คนร้ายสังเกตเห็นแต่ไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาขับชนและเดินหน้าหนีต่อไป

ทว่าเขาไม่รู้ว่าหลังจากที่พวกเขาหนีไป สิ่งที่เขาชนเข้ากลับผลัดผิวหนังของมนุษย์ออก เผยให้เห็นผิวด้านนอกของร่างกายของสิ่งมีชีวิตคล้ายมดที่กลืนกิน ตอนนี้เองที่เหลือเพียงแต่ศีรษะเอาไว้…เท่านั้น

หลังจากได้เห็นดังนั้น โม่ถิงชะงักไปชั่วขณะ

เพียงแค่ฉากแรกก็ชวนอึ้งจนทำให้เขาขนลุกแล้ว

ทีมงานหลังกระบวนการถ่ายทำของถังหนิงสร้างผลงานโดยใช้เทคนิคพิเศษได้น่าตราตรึงใจจริงๆ พวกเขาทำให้ร่างของมดโปร่งใสจนทำให้คนที่เห็นต้องทึ่ง!

โดยทั่วไปแล้วภาพยนตร์ไซไฟของอเมริกามักจะใช้ฉากหลังเป็นสถานที่ในโลกอนาคตหรือไม่ก็ดาวเคราะห์ดวงอื่น แต่ถังหนิงกลับใช้และกำหนดสถานที่เกิดเหตุในภาพยนตร์อยู่ในความเป็นจริงและโลกปัจจุบัน  ทำให้นึกถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับงูเหลือมพิฆาตที่ทำให้นอนฝันร้ายในสมัยก่อน

ภาพยนตร์สมจริงมากเสียจนให้ความรู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตเช่นนี้อาจหลบซ่อนอยู่ใต้เตียงได้ทุกเมื่อ

มันสามารถทำให้คนต้องหวาดผวาจนเหงื่อแตกพลั่ก!

ตัดภาพมาที่คนร้ายซึ่งมาถึงเกาะร้าง เกาะปริศนาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชมเผ่าที่มีตัวตนอยู่จริง พร้อมบรรยากาศบนเกาะที่ชวนให้หยุดหายใจไม่ต่างไปจากผลงานในวงการฮอลลีวูด

ไม่นานเวลาสองชั่วโมงก็ผ่านพ้นไป

หลังจากดูภาพยนตร์ทั้งเรื่องจบในรวดเดียว โม่ถิงปิดแล็ปท็อปของเขาลง

เขาต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะได้สติกลับมา…

แม้ว่าการแยกแยะระหว่างรูปแบบการถ่ายทำของเฉียวเซินกับอันจื่อเฮ่าจะไม่ใช่เรื่องยาก โม่ถิงเองก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญนัก

สุดท้ายแม้ว่าโม่ถิงจะสงบลงแล้วเขาก็ยังไม่อาจหลบซ่อนมือที่ยังสั่นเทาของตัวเองได้

จากมุมมองของเขา เขานึกไม่ถึงว่าถังหนิงจะสร้างบางสิ่งเช่นนี้…แล้วคนอื่นจะไม่ตื่นเต้นกับมันได้อย่างไรกันล่ะ

เขากลับมาที่ห้องนอนในเวลาถัดมา เมื่อเห็นถังหนิงกำลังหลับอยู่บนเตียง เขารู้สึกว่าทุกอย่างที่เธออดทนมานานทั้งหมดไม่เสียเปล่า จนสามารถชดเชยให้กับทุกความยากลำบากทั้งปีของเธอได้แล้ว