ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 236 พบหลินโจวอีกครั้ง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูประตูลวงตาที่อยู่บริเวณศูนย์กลางค่ายกลวิญญาณบานนั้น พลางผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ

การคาดคะเนผลการคิดแก้ไขปัญหาค่ายกลวิญญาณโดยยึดตามลายเส้นเครื่องหยกก่อนหน้านี้ของเขานั้นถูกต้อง ค่ายกลวิญญาณหลังนี้ นำทางรุดหน้าสู่ดินแดนลับสักแห่งหนึ่งดังคาด

อาหู่ยืนอยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “คุณชาย เครื่องหยกก้อนเล็กๆ เช่นนี้ก้อนหนึ่ง ก็สามารถจุความว่างเปล่าแน่นชิดได้อย่างเหลือเชื่อ พาผู้คนรุดสู่มิติต่างโลกได้หรือขอรับ?”

ชายหนุ่มถอนใจครั้งหนึ่ง “โลกก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ วิถีวรยุทธ์เจริญรุ่งเรือง ท่วงทำนองหลักการแต่ละประเภทล้วนถูกคิดทบทวนจนลึกล้ำอย่างยิ่ง”

“ฉะนั้นสถานที่ลี้ลับมหัศจรรย์บางส่วน ก็ถูกรวบรัดให้ง่ายขึ้น จนสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ ถึงแม้ว่าคนทั่วไปยังคงไม่อาจเข้าใจ แต่เครื่องมือของใช้บางส่วน กลับสามารถใช้ได้”

เยี่ยนจ้าวเกอผุดลุกขึ้น “อย่างถุงย่อส่วน ความจริงแล้วมันเป็นของที่พบเห็นได้บ่อยช่วงก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่”

ขณะพูด เขาเดินไปทางอีกฝั่ง ที่นั่นมีเสาทางเดินวังเทพขนาดมหึมาตั้งสูงตระหง่านเช่นเดิม ราวกับไม่แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

หากแต่เสาหินสูงใหญ่พลันเริ่มหดเล็กลง ตามการกดไปบนพื้นผิวของฝ่ามือเยี่ยนจ้าวเกอ

สุดท้ายแล้ว เหลือความยาวเพียงแค่ราวๆ หนึ่งฉื่อ ประหนึ่งกระบองสั้นท่อนหนึ่ง ร่วงลงสู่กลางฝ่ามือเยี่ยนจ้าวเกอ

ไม่จำเป็นต้องตั้งตรง วางราบอยู่ในฝ่ามือเยี่ยนจ้าวเกอเช่นนี้แล้วก็ไม่รู้สึกถึงน้ำหนักอะไร

เยี่ยนจ้าวเกอทุ่มเทไม่หยุดหย่อนตลอดวันตลอดคืน หลอมกลายสภาพเสาทางเดินวังเทพครั้งที่สองได้สำเร็จ

แม้จะยังมีแดนลี้ลับมากมายต้องวิเคราะห์ แต่อย่างน้อยเยี่ยนจ้าวเกอก็สามารถควบคุมขนาดรูปร่างของเสาหินได้คล่องมือแล้ว

“ศิษย์พี่สวี ศิษย์น้องเฟิง รบกวนพวกท่านช่วยข้าดูแลที่นี่สักหน่อย” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยกับสวีเฟยและเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ข้างๆ

สวีเฟยกับเฟิงอวิ๋นเซิงต่างผงกศีรษะ “วางใจได้ จะดูทางหนีทีไล่เจ้าให้ดี”

“ไปเถอะ” หลังจากเก็บเสาทางเดินพระราชวังที่รูปร่างเหมือนกระบองหินเรียบร้อย เยี่ยนจ้าวเกอก็ลอยตัวขึ้น เดินเหินอยู่ในอากาศ ไปทางประตูแสงโชติช่วงที่เครื่องหยกสาดแสงออกมา

อาหู่เลียนแบบเยี่ยนจ้าวเกอ เดินเหินไปทางประตูนั่น ตามหลังไปพร้อมกับชายหนุ่ม

ทันทีที่เยี่ยนจ้าวเกอผ่านประตูแสงโชติช่วงไป เขารู้สึกราวกับว่าร่างกายฉีกเป็นเสี่ยงๆ ไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าเขาไม่ได้ตื่นตระหนก เพียงทะลุผ่านไปอย่างปกติยิ่ง

เขามองเห็นเบื้องหน้าขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาผืนหนึ่ง ความรู้สึกฉีกขาดหายไปอย่างรวดเร็ว แสงจ้าขาวโพลนกว้างใหญ่เบื้องหน้าเองก็มลายไปไม่พบ

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงครู่หนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทัศนียภาพเบื้องหน้าคล้ายกับเขียวขจีทั้งผืน เปี่ยมล้นด้วยความมีชีวิตชีวา

อาหู่ตามหลังเข้ามา มองดูทัศนียภาพเบื้องหน้า พลางจิ๊ปากชื่นชมความมหัศจรรย์ “หากไม่บอกข้าว่านี่คือมิติต่างแดนแห่งหนึ่ง ข้าคงยังนึกว่าอยู่ที่โลกแปดพิภพนะขอรับ”

ทั้งสองราวกับอยู่กลางพงไพรดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่ง ไกลออกไปมีภูเขาชั้นแล้วชั้นเล่าทอดยาวเป็นพรืดมองเห็นได้อย่างเลือนราง

เมื่อหันกายกลับไปมอง ก็เห็นประตูแสงโชติช่วงบานนั้นตั้งสูงตระหง่านเงียบสงัดอยู่กลางท้องฟ้า

เยี่ยนจ้าวเกอไพล่มือทั้งสองไว้ด้านหลัง เดินหน้าอย่างไม่ทุกข์ร้อน เส้นสายตาสังเกตทั้งสี่ด้านโดยรอบ “ขนาดยังคงมีจำกัด คาดเดาโดยอิงจากค่ายกลวิญญาณที่เปิดประตูบานนั้น รอบนอกดูเหมือนว่าอาจจะอยู่ออกไปไม่กี่ร้อยลี้โดยประมาณ”

“พลังชีวิตช่างอุดมสมบูรณ์เสียนี่กระไร” อาหู่ยิ้มพลางชื่นชม

ชายหนุ่มผงกศีรษะ มิติต่างแดนแห่งนี้คือดินแดนชายขอบที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่ หากกลับโชคดีหลบหนีชะตาดับสูญไปได้อย่างไม่คาดคิด

กระนั้นยังคงได้รับการกระทบกระเทือน เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้อย่างกระจ่างชัด ว่าการไหลเวียนปราณวิญญาณของมิติแห่งนี้มีแววเสื่อมโทรมแฝงอยู่

ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกปิดผนึกตลอดมา ยังสามารถรักษาคงอยู่เป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน ครั้นตอนนี้เชื่อมทะลุถึงโลกภายนอก ความเร็วในการเสื่อมโทรมเริ่มยกระดับรวดเร็วฉับพลัน

ใช้ได้ไม่นานนัก มิติต่างแดนนี้ ก็กำลังจะสูญสิ้นเช่นกัน

อาหู่สัมผัสรับรู้ถึงการไหลเวียนปราณวิญญาณภายในมิติต่างแดนแห่งนี้ เขาพินิจพิเคราะห์ความหมายออกมาได้เช่นกัน “นี่แก้ไขยากอยู่นิดหน่อย คุณชายขอรับ เวลาของพวกเราอาจจะไม่เพียงพอ”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ไม่เป็นไร ค่ายกลบนเครื่องหยกนั่นข้าวิเคราะห์ดูแล้ว มันมีความเชื่อมโยงกับมิติต่างแดน พวกเราเดินทางยึดตำแหน่งใจกลางของมิติไปตลอดเส้นทางก็ใช้ได้”

“ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจมีของที่ข้าต้องการก็เป็นได้” สายตาเยี่ยนจ้าวเกอทอดมองไกลออกไป “ศิลาเซียนส่องชะตา ของล้ำค่าของชาวกระเรียนล่องลอยก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่ มีความเป็นไปได้ยิ่งว่าที่นี่จะเป็นดินแดนลับที่พักอาศัยแห่งหนึ่งที่ชาวกระเรียนล่องลอยที่ในอดีตทิ้งไว้ ทั้งยังเก็บรักษาของล้ำค่าบางส่วนของเขาอยู่ อืม ตอนนี้เรียกว่าของที่คนตายทิ้งเอาไว้ค่อนข้างเหมาะสม”

ศิลาเซียนส่องชะตาสำหรับผู้อื่นแล้วมีคุณค่าจำกัด หากแต่สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ กลับมีส่วนช่วยตนเองให้ทะลวงคูน้ำกั้นหลังจากเลื่อนขั้นฝ่านภา เคลื่อนพลสู่ระดับมหาปรมาจารย์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ของสิ่งนี้หาได้ยากยิ่งตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่แล้ว หลังวิกฤตการณ์ใหญ่ยิ่งสูญสิ้นโดยสิ้นเชิง

เดิมทีเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก ทั้งยังพลิกเปลี่ยนคิดหาสิ่งอื่นแทนที่

ต่อมาหลังจากคิดทบทวนค่ายกลวิญญาณบนเครื่องหยกอย่างละเอียดลึกซึ้งแล้ว เขาประหลาดใจที่ค้นพบว่าเครื่องหยกนี้อาจจะเป็นสิ่งของของชาวกระเรียนล่องลอยในอดีตก่อนวิกฤตการณ์

ซึ่งเท่าที่เยี่ยนจ้าวเกอทราบ ในตอนนั้นชาวกระเรียนล่องลอยมีศิลาเซียนส่องชะตาอยู่ในมือ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในใจเยี่ยนจ้าวเกอพลันวาดหวังมากขึ้นอีกหลายส่วน

ต่อให้ในมิติต่างแดนนี้ไม่มีศิลาเซียนส่องชะตา ก็อาจมีสิ่งของอื่นจากก่อนวิกฤตการณ์เหลืออยู่ สำหรับตอนนี้แล้ว ส่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งของที่ค่อนข้างล้ำค่า เยี่ยนจ้าวเกอเข้ามาหนนี้ ย่อมไม่ให้การเดินทางนี้สูญเปล่าเช่นกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความทรงจำเยี่ยนจ้าวเกอ ชาวกระเรียนล่องลอยค่อนข้างเชี่ยวชาญในการบ่มเพาะโอสถวิเศษและสมุนไพรวิเศษ

เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่เดินไปในมิติต่างแดน ขณะที่กำลังเดินอยู่ จู่ๆ ทั้งสองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ

อาหู่เกาศีรษะ มองไปทางเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความกลัดกลุ้ม “คุณชาย ไม่รู้ข้ารู้สึกผิดไปหรือไม่ แม้พวกเราจะเปิดปากทางไว้แล้ว แต่ปราณวิญญาณของที่แห่งนี้เสื่อมโทรมฉับไวเกินไปกระมัง?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย “ความรู้สึกของเจ้าถูกต้องอย่างยิ่ง แม้ปราณวิญญาณจะเสื่อมโทรมเร็วขึ้นไม่หยุดยั้ง แต่ระดับความรวดเร็วในตอนนี้ก็มากเกินไปอยู่บ้างแล้ว”

ฝ่ายอาหู่ไม่ยิ้มแล้ว สีหน้ามากไปด้วยความเคร่งขรึมอยู่หลายส่วน “คุณชาย ท่านว่าจะมีเครื่องหยกอีกก้อนที่เปิดมิติต่างแดนนี้ได้เช่นกันหรือไม่? แม้กระทั่งมีคนเข้ามาที่นี่พร้อมกับพวกเรา เปิดประตูเพิ่มขึ้นอีกบานหรือไม่?”

“อาจจะเป็นลูกกุญแจมาตรฐานของค่ายกลวิญญาณเครื่องหยกเช่นนี้เหมือนกัน” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างสงบนิ่ง “โลกใบนี้เต็มไปด้วยเรื่องประหลาด ด้วยบางสถานการณ์พิเศษ ก็อาจจะฉีกความว่างเปล่าในขณะที่ไม่รู้ตัว เชื่อมต่อทางสัญจรระหว่างโลกแปดพิภพกับมิติต่างแดนทะลุถึงกัน”

เส้นสายตาเยี่ยนจ้าวเกอมองโดยรอบทั้งสี่ทิศ “ของล้ำค่าแปลกพิเศษบางอย่าง ก็อาจจะทำได้ถึงจุดนี้ แต่ตำแหน่งที่แน่นอนเป็นปัญหายากข้อหนึ่ง”

ฉับพลันนั้น ในดวงตาขวาเยี่ยนจ้าวเกอก็ทอประกายแสงอสนีบาตสีม่วงเล็กน้อย

เขาหันศีรษะกลับฉับพลันทันที สายตาประดุจสายฟ้า มองยังทิศทางหนึ่ง

อาหู่เองก็สัมผัสได้เช่นกัน พลันส่งเสียงฮึดฮัดเยียบเย็น มองไปทางทิศเดียวกันกับเยี่ยนจ้าวเกอ

ในดวงตาขวาเยี่ยนจ้าวเกอส่องแสงสายฟ้าสีม่วงอมน้ำเงินแวบวาบ ท้องฟ้าว่างเปล่าไกลออกไป แกว่งไกวคล้ายกับริ้วคลื่นน้ำในช่วงเวลาชั่วพริบตานั้นเอง จากนั้นค่อยฟื้นคืนเช่นปกติ

ในป่าดึกดำบรรพ์อีกทิศหนึ่งของมิติต่างแดน ไกลโพ้นจากเยี่ยนจ้าวเกอเป็นร้อยลี้

ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่เหนือลำต้นไม้ใหญ่ เปล่งเสียงฮึดฮัดทุ้มต่ำ

บนกระจกที่คล้ายกับแก้วหินผลึกบานหนึ่งตรงหน้าเขา พลันมีประกายเพลิงพรวดออกมา ชั่วขณะถัดมาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ออกมา

“ดวงตาราชันสายฟ้า…” ชายหนุ่มมีสีหน้าซับซ้อน ที่โผล่พรวดออกมาคือผู้สืบทอดตำหนักอัสนีสวรรค์ หลินโจว คุณชายฟ้าคำรน!

——————————