ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 237 บ่าวรับใช้ ระดับมหาปรมาจารย์!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

หลินโจวมองแสงอสนีบาตที่ทอแสงแล้วหายวับทันที กับพื้นผิวกระจกผลึกที่แตกร้าวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สีหน้าท่าทางซับซ้อนอย่างยิ่ง

ผิวกระจกที่แตกร้าวสะท้อนภาพดวงหน้าของเขา ยิ่งปรากฏความยุ่งเหยิง

“ดวงตาราชันสายฟ้า…” บัดนี้ความรู้สึกในใจหลิวโจวสับสนพัลวัน อดนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่อสู้ช่วงชิงดวงตาราชันสายฟ้า ที่ภูเขาหิมะพันผูกบูรพาในตอนนั้นขึ้นมาไม่ได้

ดวงตาราชันสายฟ้าที่แต่ไรตนเองมองว่าเป็นหมูในอวยอยู่แล้ว สุดท้ายกลับตกไปอยู่ในมือเยี่ยนจ้าวเกอ ซึ่งหลินโจวถูกบีบบังให้ใช้วิชาต้องห้ามอย่างหยกเปลี่ยนโลหิตสู่ธารแสง เพื่อจะปลีกหนีจากเงื้อมมือเยี่ยนจ้าวเกอ ถึงขั้นบาดเจ็บซ้ำเติม กระทั่งหมดสิ้นหนทางเข้าร่วมการประชุมฝ่านภา

และหารประชุมฝ่านภานี้เอง ที่ปะทุเหตุปั่นป่วนทะเลสาบปิดนภา

แม้หลินโจวจะไม่ได้เห็นกับตา กระนั้นก็ได้ยินคำเล่าลือและข่าวสารหลังเหตุการณ์แล้ว คาดเดาสถานการณ์ออกได้ไม่ยาก ในระหว่างที่เยี่ยนจ้าวเกอทำลายมหาค่ายกลแดนมาร ดวงตาราชันสายฟ้าสำแดงอิทธิฤทธิ์สำคัญ นี่ทำให้หลินโจวยิ่งไม่สบอารมณ์ในใจ

บัดนี้หลินโจวมองดูเยี่ยนจ้าวเกอใช้พลังของเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า ทำลายตัดการเชื่อมต่อกับของวิเศษที่ตนเองเสาะหาใช้ ดวงหน้าก็อึมครึมอยู่บ้าง

เขาสูดหายใจลึกคำหนึ่ง สงบจิตใจของตนลง พลางใคร่ครวญ ‘ไฉนเยี่ยนจ้าวเกอถึงได้ปรากฏตัวที่นี่ด้วย? เป็นข้าเปิดบานประตูว่างเปล่า สร้างผลกระทบต่อมิติต่างแดนนี้ ส่งผลให้มีบานประตูเปิดออกที่แห่งหนอื่น ทำให้เขาเข้ามาได้โดยบังเอิญ หรือว่าเขาก็มีวิธีเปิดบานประตูแห่งความว่างเปล่าเองด้วยเหมือนกัน?’

หัวคิ้วหลินโจวขมวดแน่น ‘หรือว่าเขาก็ล่วงรู้ว่าปีกเซียนกระเรียนอยู่ที่นี่เช่นกัน? หรือว่าเหมือนเช่นในสุสานของการุณยบุรุษคราวก่อนนั้น ที่แห่งนี้ยังมีของล้ำค่านอกเหนือจากปีกเซียนกระเรียน หากแต่ข้ากลับไม่รู้?’

‘เยี่ยนจ้าวเกอช่างเกะกะเสียจริง’ พบพานเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้งเช่นนี้ ทำให้หลินโจวอัดอั้นตันใจอยู่บ้าง

ที่นี่มีปีกเซียนกระเรียน ของวิเศษที่เขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดอยู่ชิ้นหนึ่ง เพียงแค่คิดจะเข้ามา นับว่ายากเย็นอย่างมาก

หลินโจวมุ่งไปแสวงหาโอกาสอีกส่วนหนึ่ง โดยอิงตามความทรงจำของตน รับของล้ำค่าเปิดประตูว่างเปล่าก่อน จากนั้นค่อยหาของคนตายอันแตกชำรุดที่ชาวกระเรียนล่องลอยตกทอดต่อกันมาในอดีตชิ้นหนึ่งมาใช้ช่วยระบุตำแหน่ง

‘แม้ว่าข้าจะประสบความสำเร็จ ทะลวงถึงขั้นเคียงนภาระยะท้ายเช่นกัน แต่พลังความสามารถของเขาล้ำเลิศ ทั้งมีเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์เคียงกาย หนำซ้ำยังมีทาสรับใช้ชั่วร้ายตามติด’ หลินโจวบอกตัวเองให้ใจเย็นลง ‘ข้าต้องแย่งชิงของล้ำค่ากับเขา ไม่ง่ายดายนัก’

แววตาของหลินโจวมืดครึ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองโลกหล้าที่ร่างกายยืนอยู่ ‘หากสามารถทำให้มิติต่างแดนแห่งนี้พังทลายก่อนที่เขาจะออกไปได้ เช่นนั้นต่อให้มันมีเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ก็ยากจะปลีกหนีความตายเช่นกัน แต่ตอนนี้ที่นี่มีบานประตูเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง ความเร็วในการเสื่อมถอยของพลังชีวิตบังเกิดความเปลี่ยนแปลง ข้าก็คำนวณเวลาเจาะจงที่มิติเวลาจะพังทลายได้ไม่แม่นยำนักแล้วเช่นกัน’

หลังจากไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลินโจวกัดฟัน หันกายกลับถอยกลับออกไปจากประตูที่ตนเองเข้ามาอีกครา

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองดูท้องฟ้าไกลออกไป ในดวงตาขวาปรากฏแสงอัสนีสีม่วงอมน้ำเงินวับวาม

อาหู่เอ่ยกล่าวเสียงฮึดฮัด “ไม่ใช่มหาปรมาจารย์ แต่เป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ กำลังอาศัยของวิเศษบางประเภทสอดแนม”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “ไม่เหมือนมีเจตนาสอดแนม แต่เป็นอีกฝ่ายกำลังสืบสภาพภายในมิติต่างแดนผืนนี้ เมื่อครู่กวาดมองถึงพวกเราทางนี้แล้ว”

“คุณชาย มีคนอื่นเข้ามาอย่างที่คิดเช่นกัน พลังฝึกปรือกลับไม่สูง หากแต่ไม่รู้ได้ว่าสุดท้ายแล้วมีกี่คน ยังมียอดฝีมือคนอื่นอีกหรือไม่” อาหู่กล่าว

“อืม เวลาไม่คอยท่า พวกเราเร่งออกเดินทางให้เร็วที่สุด ขืนอยู่นานอาจจะมีอุปสรรคเพิ่มก็ได้” เยี่ยนจ้าวเกอสืบเท้าเดินทางนำหน้า อาหู่ตามติดเบื้องหลังเขา

ชายหนุ่มตามเส้นปราณวิญญาณของที่นี่ไป ไม่นานนักก็เดินออกจากป่าพงไพรเดิม ทัศนียภาพเบื้องหน้าปลอดโปร่งทันที

ตรงหน้าปรากฏกระท่อมมุงด้วยหญ้าคาหลังน้อยๆ หลังหนึ่ง ดูไปแล้วกะทัดรัดอย่างยิ่ง

หากแต่เยี่ยนจ้าวเกอมองดูอย่างถี่ถ้วน บนกระท่อมนั่นชัดแจ้งว่ามีแสงไสวกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นอย่างไม่คาดคิด ประดุจเซียนกระเรียนสยายปีก

เมื่อมองเห็นเงาแสงของเซียนกระเรียนนั้นครั้งแรก มันคล้ายกับมีขนาดเท่านกกระจอกก็ไม่ปาน ขนาดเล็กวิจิตรบรรจง

ทว่ามองดูอย่างละเอียดอีกหน ยืดสูงชะลูดแผ่ขนออก กลับคล้ายว่าคลุมทั่วทั้งมิติต่างแดน

หลังเยี่ยนจ้าวเกอสังเกตชั่วครู่หนึ่ง ก็ผงกศีรษะแช่มช้า “ชาวกระเรียนล่องลอยใช้หลักการเจตจำนงหมัดตน แปรสภาพเป็นม่านพลังขวางกั้น ดำรงคงอยู่เสมอจวบจนปัจจุบัน”

เยี่ยนจ้าวเกอมองกระท่อมใต้เงาร่างของเซียนกระเรียน แล้วดีดนิ้วครั้งหนึ่ง “คิดอยากจะเข้าไป ดูเหมือนว่าต้องทลายม่านพลังขวางกั้นนี้ก่อนถึงใช้ได้”

ชายหนุ่มมองดูโดยรอบ จากนั้นเดินไปยังกระท่อมไปพลาง เอื้อนเอ่ยกับอาหู่ไปพลาง “อาหู่ ช่วยข้าคุ้มกันค่ายกล ระมัดระวังรอบๆ”

อาหู่ตอบรับคำหนึ่ง เขายืนอยู่ข้างๆ ดวงหน้านิ่งขรึม ยกระดับประสาทสัมผัสของตนถึงขีดสุด จดจ่อสังเกตโดยรอบ

กาลเวลาย้ายผ่านไม่หยุดหย่อน มิติต่างแดนแห่งนี้ไม่มีอาทิตย์ขึ้นอาทิตย์ตก กระนั้นอาหู่นับเวลาเงียบๆ ในใจ เพ่งมองอัตราเร็วในการพังทำลายม่านพลังขวางกั้นที่นี่ของเยี่ยนจ้าวเกอ

โลกทางฟากนี้กลับไม่ใหญ่โต สำหรับพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ ใช้เวลาก้าวเดินไม่นานเท่าใดนัก

สาเหตุที่เป็นกังวลว่าเวลาไม่เพียงพอ มิติพังทลาย แท้จริงแล้วเป็นการเฝ้าระวังจะประสบเหตุในตอนนี้ไว้ก่อน ซึ่งมีม่านพลังขวางกั้นของเจ้าของมิติเดิมขวางทาง

มองดูเยี่ยนจ้าวเกอเข้าใกล้กระท่อมไม่หยุด ในใจอาหู่กลับไม่ได้ผ่อนคลายแต่อย่างใด เพราะเขารู้สึกได้ถึง การเสื่อมโทรมปราณวิญญาณของมิติรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ และกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน

ยามเพิ่งจะเข้าสู่มิติต่างแดนฟากนี้ เขารู้สึกได้ถึงพลังชีวิตเต็มเปี่ยม แต่บัดนี้ได้อันตรธานหมดสิ้นแล้ว

“หืม?” สายตาอาหู่พลันจ้องเขม็ง ราวกับพยัคฆ์หลับใหลเบิกตา ต้องการเลือกคนขย้ำกลืน

เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง ร่างกายเผ่นโผนโจนทะยานขึ้นฉับพลัน!

ชั่วพริบตานั้น ร่างกายอาหู่ปรากฏอยู่บริเวณชายขอบป่าพงไพรอีกฝั่งหนึ่ง ลมที่พัดกระโชกขึ้นมาพัดโค่นไม้ใหญ่สูงระฟ้าแต่ละต้นล้มลงทันใด!

ร่างของจอมยุทธ์สองคนที่ดูซึมกระทืออยู่บ้างปรากฏ อาหู่มาถึงเบื้องหน้าถึงค่อยฟื้นคืนสติ

หากแต่ไม่รอให้พวกเขาตอบโต้ใดๆ คนได้เหินขึ้นราวกับขี่เมฆหมอกก็ไม่ปาน ไร้ซึ่งทางหนีทีไล่และต่อต้านแม้แต่น้อย ถูกอาหู่โยนทิ้งออกไป

ร่างอาหู่ทอแสงแวบ ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงอีกฝั่ง บริเวณนั้นปรากฏจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์อีกคนหนึ่ง แต่เดิมอีกฝ่ายคิดซุ่มซ่อนอยู่ข้างๆ รอคอยจังหวะโอกาสเงียบๆ ใครจะรู้ว่าจะพบอาหู่พลันลงมือ

เขาเห็นท่าไม่ดีอยู่แก่ใจ หากแต่ไม่ทันได้เคลื่อนไหวอะไร อาหู่ที่จับอีกสองคนโยนออกไป ในชั่วพริบตาได้มาถึงยังเบื้องหน้าเขาแล้ว

ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาผู้นี้คิดอยากจะต่อต้านตอบโต้ ทว่าไหนเลยเขาจะเป็นคู่ต่อสู่ของอาหู่ จึงถูกโยนออกไปด้วยเช่นกัน

ภายในป่าพงไพรไกลออกไป ส่งทอดเสียงตื่นตะลึงเสียงหนึ่งมา “มหาปรมาจารย์?”

จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์สามคนนั้นกำลังกระเสือกกระสนผุดกายลุกขึ้น เวลานี้ได้ยินแล้วก็อดมองอาหู่วูบหนึ่งไม่ได้ ล้วนไม่กล้าเปล่งเสียงพูดฉับพลัน พากันวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลาน

อาหู่มองยังทิศทางที่เสียงส่งทอดมาอย่างเย็นเยียบ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏเบื้องหน้า อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ท่านหนึ่งเช่นกัน

หลังมองอาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่กระจ่างชัด สัมผัสรับรู้พลังปราณและปราณจิตราอีกฝ่ายแล้ว แววตาอาหู่ยิ่งเยียบเย็น

ผู้มาเยือน แจ่มแจ้งว่ามาจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ชายวัยกลางคนผู้นี้สังเกตอาหู่ศีรษะจรดเท้า “ข้าเคยได้ยินชื่อของเจ้า ที่ตามติดเจ้าเศษสวะน้อยเยี่ยนจ้าวเกอนั่นตลอดเวลา หากแต่พลังฝึกปรือปรมาจารย์เจ้ากาลก่อนก็แล้วไป ตอนนี้เจ้าคือมหาปรมาจารย์แล้ว คิดไม่ถึงยังยินยอมเป็นบ่าวรับใช้ปรมาจารย์?”

“ช่างน่าอดสู! เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าก่อตั้งสำนัก ล้วนสามารถเฟื่องฟูขึ้นเป็นขุมกำลังชั้นสองกลุ่มหนึ่งได้แล้ว?”

อาหู่แคะหูตัวเอง งอนิ้วดีด “ข้าจะทำอะไร ต้องให้เจ้าแส่?”

มหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นหัวเราะเย็นเสียงดัง “ถึงแม้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะไม่ต้องการปะทะกับสำนักเขากว่างเฉิงในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่หาได้รวมถึงเฉพาะคนไม่”

“เจ้าน่าจะเพิ่งเข้าสู่ระดับมหาปรมาจารย์กระมัง? เช่นนั้นวันนี้ข้าจะสอนเจ้าสักบทเรียนหนึ่ง ถือเป็นการต้อนรับเจ้าแล้วกัน”

————————————