ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 238 เจ้าอีกแล้ว?

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ครั้นมหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กล่าวประโยคนี้จบก็ไม่ลังเล เหยียดฝ่ามือออกไปทันใด

กลางฝ่ามือเขาพลันมีแสงจ้าปรากฏขึ้น โลกลวงตาอันกลายสภาพมาจากปราณจิตรา บีบอัดเป็นดินวิเศษทอแสงวิบวับผืนหนึ่ง

วิชาหัตถ์เทพกลางเวหาดุจตะวันใหญ่มาเยือน ชั่วพริบตาสาดแสงทั้งสี่ทิศ ตกลงมาทางอาหู่

อาหู่ยิ้มใบหน้าชั่วร้าย ขณะปราณจิตราทั่วร่างพรั่งพรู ลมกระโชกแรงสีดำหลากสายปรากฏ ทั้งกายราวกับลมงวงรูปร่างคนสายหนึ่ง พัดกระหน่ำทุกหนแห่ง ซ่อนฟ้ากำบังอาทิตย์ ทำให้แสงตะวันคล้ายกับล้วนมืดสลัวลงไป

“เป็นวิชาสืบทอดสำนักเขานิมิตทมิฬอย่างที่คิด” คู่ต่อสู้ยิ้มเย็น “แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร?”

ขณะเอื้อนเอ่ย หัตถ์เทพกลางเวหาปล่อยหมัดเก็บหมัดได้กระหน่ำดั่งใจ ปะทะกรงเล็บภูตพยัคฆ์ของอาหู่ซึ่งๆ หน้า

มหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้เอ่ยท่าทางนิ่งเงียบ “มหาปรมาจารย์เป็นบ่าวรับใช้ให้คนอื่น เจ้ายกนายของเจ้าเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์? อย่าเป็นตัวตลกเลย!”

นิ้วทั้งห้าเขากางออก แสงทองห้าสายส่องแสงเรืองรอง คล้ายกับแปรสภาพเป็นฝ่ามือยักษ์สาดประกายแสงสีทองข้างหนึ่ง ตบลงไปทางอาหู่

อาหู่แยกเขี้ยว พลังปราณอันเหี้ยมโหดไม่ปราณีล้นทะลัก “เป็นเจ้าที่คิดว่าตนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วมากกว่ากระมัง?”

ขณะกล่าว กรงเล็บทั้งสองของอาหู่สลับไปมา ฉับพลันนั้นวาดลมพายุสูงสีดำปรากฏออกมาสิบสาย แนวตั้งแนวนอนตัดสลับกัน ราวกับหั่นธาตุอากาศเบื้องหน้าเป็นเศษเล็กเศษน้อย

ชั่วขณะนั้นฝ่ามือยักษ์สีทองถูกตัดเป็นชิ้นๆ จากนั้นกลายเป็นธารแสง สูญสิ้นไปในอากาศ ประหนึ่งถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างไรอย่างนั้น

ร่างอาหู่พลันก้มลงต่ำ ก่อนจะโจนทะยานราวกับพยัคฆ์ ถึงตรงหน้าคู่ต่อสู้ในทันที

มือข้างหนึ่งคว้าขย้ำคอหอย ส่วนมืออีกข้างคว้าขย้ำทรวงอก เจตนารมณ์สังหารเย็นสะท้าน ทำให้ศัตรูของเขารู้สึกเพียงไอเย็นกลุ่มหนึ่งซึมแทรกตรงสู่กระดูกสันหลัง

มหาปรมาจารย์แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ตื่นตระหนกในใจ ‘พลังความสามารถช่างมุทะลุดุดันเหลือ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเขาเทียบเคียงถังหย่งฮ่าวที่เพิ่งเข้าสู่ระดับมหาปรมาจารย์ได้?!’

ทว่า นี่เป็นไปได้อย่างไร?

ถังหย่งฮ่าวเป็นบุคคลระดับไหน?

ในปฐพีพิภพ ในมุมมองจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ส่วนมากตลอดมานี้ ถังหย่งฮ่าวนับว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์แห่งโลกแปดพิภพในปัจจุบัน!

ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับวีรบุรุษเหนือวีรบุรุษอย่างเยี่ยนตี๋ในปีนั้น ทว่าถังหย่งฮ่าวก็เป็นจอมยุทธ์ที่ดีเลิศที่สุดท่ามกลางคนรุ่นเดียวกันเช่นกัน

ในการประชุมฝ่านภา ถังหย่งฮ่าวพิชิตศัตรูเก่าของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซ่งเฉา คุณชายเจ็ดทะเล ผู้นำรุ่นเยาว์เมืองทะเลมรกต

แม้ว่าหลังจากนั้นจะต่อสู้เสมอกับสวีเฟยแห่งสำนักเขากว่างเฉิง หนำซ้ำถูกเยี่ยนจ้าวเกอผู้เป็นม้ามืดในระยะนี้กลบแสงสี ทว่าถังหย่งฮ่าวก็ยังคงเป็นผู้ล้ำเลิศรุ่นเยาว์ที่ไม่อาจโต้แย้ง เป็นอัจฉริยะท่ามกลางบรรดาอัจฉริยะ

อัจฉริยะถูกแบ่งแยกกับคนทั่วไปด้วยมาตรฐานที่ต่างกัน ซึ่งหากแบ่งแยกระดับชั้นให้กับอัจฉริยะและปีศาจด้วย เช่นนั้นถังหย่งฮ่าวก็ยังคงเป็นบุคคลระดับชั้นสุดยอดที่มองคนรุ่นอาวุโสเดียวกันอย่างโอหังได้

มหาปรมาจารย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้ ขณะนี้ถึงขนาดที่สงสัยความสามารถในการตัดสินใจของตนเองอยู่บ้าง

เจ้าตัวยักษ์ทึ่มตรงหน้าที่ตามก้นเยี่ยนจ้าวเกอต้อยๆ ทั้งวี่วัน เหมือนกับคนรับใช้ก็ไม่ปานผู้นี้ ไหนเลยพลังความสามารถจะเทียมถังหย่งฮ่าวได้?

ล้อเล่นอะไรกัน!

สงครามถังตะวันออกในปีนั้น ตอนที่อาหู่ยังคงอยู่ใรระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภา ก็เคยประมือกับจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาก่อน

หากแต่เทียบเปรียบกับสถานการณ์ในเวลานั้นแล้ว มหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้ค้นพบว่า ความสามารถรบต่อสู้ในระดับเดียวกันของอาหู่แกร่งกว่าตอนนั้นอย่างเห็นได้ชัด!

“แปลกชะมัด!” มหาปรมาจารย์ผู้นี้กัดฟันกรอด ก่อนจะสำแดงวิชาสุริยันทะยานบูรพา หลบหลีกกรงเล็บคู่ของอาหู่อย่างหวุดหวิด

ถึงกระนั้นความเร็วของอาหู่ก็ยังเร็วกว่าคู่ต่อสู้ เขาใช้กรงเล็บหนึ่งคว้าขย้ำไปยังยอดกะโหลกคู่ต่อสู้ในทันใด!

คู่ต่อสู้ของเขาเองก็เป็นผู้อาวุโสที่กรำศึกมานักต่อนักเช่นกัน เห็นสภาพดังนั้นพลันไม่กล้าบุ่มบ่ามต่อไปอีก

หัตถ์เทพกลางเวหาเป็นวิชาวรยุทธ์ที่ใช้พลังกดดันผู้คน ยิ่งต่อสู้ยิ่งราบรื่น การตามทิศทางลมไปสามารถเพิ่มความได้เปรียบได้ไม่หยุดยั้ง หากว่าย้อนทางลมล่ะก็ กลับจะยิ่งต่อสู้ยิ่งไม่ราบรื่น

มหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้สงบจิตใจลง เปลี่ยนวิชาหัตถ์เทพกลางเวหาเป็นวิชาหัตถ์เงาสนธยาในบัดดล ใช้การเปลี่ยนแปลงอ่อนช้อยงดงามของกระบวนท่ารับมือกับอาหู่

แสงตะวันรอนหลากสายสาดส่องพร่างพราว ย้อมป่าพงไพรดั้งเดิมด้วยสีท้องฟ้าสายัณห์ชั้นหนึ่ง

หากแต่อาหู่ไม่ออมมือ วิชากรงเล็บภูตพยัคฆ์ลึกซึ้งถึงแก่น เงาร่างของเขาในเวลานี้ยากคาดเดาดุจภูตผีก็ไม่ปาน พลังกรงเล็บก็แกร่งทรงพลัง รุนแรงถึงขีดสุด คล้ายกับจะฉีกมิติออกเป็นชิ้นๆ

อีกฝ่ายถูกเขาโจมตีจนถอยร่นต่อเนื่อง อันตรายบังเกิดไม่ว่างเว้น

หากไม่ใช่อาหู่ยังแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งระแวดระวังศัตรูอื่นที่อาจปรากฏตัวโดยรอบ อีกฝ่ายคงสิ้นใจในภายใต้กรงเล็บของเขานานแล้ว!

ทั้งสองฝ่ายประมือกัน กวาดล้างเขตแดนโดยรอบจนราบเรียบ ต่อสู้จนต้นไม้เก่าแก่สูงระฟ้าคณานับล้มลงทั้งผืน ไม่ใช่ถูกเผากลายเป็นเถ้าธุลี หากแต่ถูกตัดจนกลายเป็นเศษเป็นท่อน

รอบกายเยี่ยนจ้าวเกอบังเกิดแสงทรงกลด กลับถูกเจตจำนงหมัดสกัดกั้นที่ชาวกระเรียนล่องลอยทิ้งไว้ปกคลุม

เจตจำนงหมัดสกัดกั้นที่แต่เดิมไร้รูปร่าง ได้รับควันหลงกระทบกระเทือนจากการประมือของพวกเขาทั้งสอง จึงปรากฏร่องรอยออกมาให้เห็น

ถูกเจตจำนงหมัดสกัดกั้นของชาวกระเรียนล่องลอยปกคลุม แม้จะขวางกั้นหนทางผ่านสู่กระท่อมของเยี่ยนจ้าวเกอไว้ กระนั้นก็ทำให้เขาไม่ได้รับการกระทบเทือนจากการประมือของพวกอาหู่ที่อยู่ด้านนอก สามารถจดจ่อตั้งมั่นทำลายการขวางกั้นได้เช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้ว่า การขวางกั้นของเจตจำนงหมัดเบื้องหน้า กำลังคลายออกไม่หยุดหย่อน อ่อนแอลงเป็นแน่

เจตจำนงหมัดสกัดกั้นกับมิติต่างแดนแห่งนี้มีการเชื่อมต่อกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ปราณวิญญาณในมิติต่างแดนเสื่อมโทรม ทั่วทั้งมิติกำลังดับสูญ ส่งผลกระทบต่อการขวางกั้นที่ชาวกระเรียนล่องลอยทิ้งไว้ไม่มากก็น้อยด้วยเช่นกัน

ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอต้องแข่งกับเวลา ทำลายการขวางกั้น หยิบจับสิ่งของที่ตนเองต้องการ ก่อนที่มิติต่างแดนจะเริ่มพังทลายลง

เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใกล้กระท่อมขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ล่วงเลยไป

ในที่สุดเงาแสงนกเซียนกระเรียนที่อยู่ด้านบนกระท่อมมุงหญ้าคา ก็ส่งเสียงร้องลากยาว ก่อนจะค่อยๆ กระจายหายไป

ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอไร้ซึ่งการขวางกั้นอีกต่อไป สามารถพุ่งพรวดไปยังกระท่อมได้เลย

ทว่าในชั่วพริบตาที่การสกัดกั้นของเจตจำนงหมัดสลายไปจนถึงที่สุดนั้น บริเวณไกลออกไปก็มีพลังปราณอันแกร่งกล้าปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมาก!

เงาร่างสายหนึ่งว่องไวดุจสายฟ้า ถลันมายังกระท่อม!

กลับเป็นจอมยุทธ์มหาปรมาจารย์ผู้หนึ่งเช่นกัน เขากำลังคอยท่าเยี่ยนจ้าวเกอทำลายการขวางกั้น จึงค่อยจ้องหาโอกาสลงมือ

อาหู่ระมัดระวังการก่อเกิดเหตุการณ์จำพวกนี้อยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นดังนั้นก็ร้องคำรามสะท้านฟ้าก้องแผ่นดินครั้งหนึ่ง ทั้งกายประหนึ่งลมโหมพัดบ้าคลั่งก็ไม่ปาน ขัดขวางเส้นทางไปของคู่ต่อสู้ไว้ ต่อยหมัดหนึ่งจนแรงที่โถมเข้าไปก่อนหน้านี้หยุดนิ่ง!

การเคลื่อนไหวที่มหาปรมาจารย์ผู้นั้นคิดจะกระทำ อาหู่กลับไม่ได้ลืมเลือนเขา

ฝ่ามือทั้งสองตัดสลับ ลมพัดบ้าคลั่งส่งเสียงคำราม เจตจำนงหมัดปราณจิตราของอาหู่แสดงออกมาอย่างถึงแก่น กลายสภาพเป็นพายุทั่วท้องฟ้า พลิกม้วนทั่วทั้งสี่ทิศ บดบังรอบๆ กระท่อมไว้โดยสิ้นเชิง

เขาหนึ่งคนเขย่าการรุกโจมตีของมหาปรมาจารย์อีกฝ่ายทั้งสองคน ทำให้อีกฝ่ายสิ้นหนทางเข้าใกล้กระท่อม

เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปในกระท่อม สอดส่องสายตาเป็นอันดับแรก สิ่งแรกที่เขามองเห็นก็คือเสื้อคลุมสีขาวราวกับหิมะตัวหนึ่ง ซึ่งเย็บประกอบขึ้นด้วยขนนกกระเรียนทั้งสิ้น

เสื้อคลุมขนกระเรียนแขวนอยู่ภายในห้อง บนโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งด้านล่าง มีสิ่งของไม่กี่ชิ้นจัดวางเอาไว้

แวบเดียวเยี่ยนจ้าวเกอก็แลเห็นศิลาเซียนส่องชะตาในนั้น

ทว่าเมื่อเขาเข้าใกล้โต๊ะเตี้ย เสื้อคลุมขนกระเรียนก็พลันสั่นไหวกางออก ประหนึ่งเซียนกระเรียนสยายปีก ลมแรงหลากสายโชยพัดมาปะทะหน้า ทำให้เขายากเข้าใกล้

ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อย ขณะแสงอสนีบาตสีม่วงอมน้ำเงินที่ตาขวาเปล่งประกายระยิบระยับ ก็ต้านลมแรงเอาไว้ จากนั้นตนเองค่อยยื่นมือคว้าไปยังสิ่งของบนโต๊ะเตี้ย

ทันใดนั้นเอง เสียงตะโกนเดือดดาลของอาหู่ก็ดังขึ้นด้านนอก!

จากนั้น แสงสลัวสายหนึ่งปรากฏวาบจากประตูทางเข้า แทงไปทางเบื้องหลังเยี่ยนจ้าวเกอเงียบกริบไร้สุ้มเสียง!

“เจ้าอีกแล้ว?” เยี่ยนจ้าวเกอมุ่นหัวคิ้วขึ้น

ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครอื่น ปรากฏว่าเป็นมหาปรมาจารย์ผู้นั้นที่ลอบจู่โจมสังหารตนเอง ในค่ายกลมารใต้ทะเลสาบปิดนภาในเวลานั้น!

——————————