ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 239 กระบี่อับแสง ปีกเซียนกระเรียน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ในสายตาเยี่ยนจ้าวเกอปรากฏเงามืดกลุ่มหนึ่งวับวาบ แปลกตาทว่าก็คุ้นเคย

เอ่ยว่าแปลกตา เป็นเพราะก่อนหน้าเคยพบพานทั้งหมดเพียงสองครา

เอ่ยว่าคุ้นเคย เป็นเพราะเยี่ยนจ้าวเกอเคยได้กลิ่นอายความตายภายใต้กระบี่ของเขา

ผู้มาเยือนสวมหน้ากากดำสนิทเอาไว้บนใบหน้า สวมหมวกบังลม พันโพกตั้งแต่ศีรษะจนถึงเท้าอยู่ภายในเสื้อคลุมสีดำ ราวกับเมฆดำสะกดท้องฟ้า

สีสันเพียงหนึ่งเดียวทั่วร่าง มีเพียงลูกตาดำที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ซึ่งกำลังฉายแสงโลหิตออกมาคู่นั้น กับประกายกระบี่ริบหรี่ที่เปล่งแสงระยิบระยับในฝ่ามือเขา!

เป็นกระบี่อันไร้ซึ่งสุ้มเสียง ที่แทงตรงมาทางเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง

เทียบกับการลอบจู่โจมสังหารคราก่อนในเขตไอมารที่ทะเลสาบปิดนภาแล้ว ชายชุดดำถูกอาหู่ทำให้เผยไต๋ ลงมือครานี้ไม่ได้จึงอำพรางเช่นนั้นอีก หากแต่ทวีความรวดเร็วและรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำ!

ประกายกระบี่อันมืดสลัวดุจสายฟ้าแลบดำสนิทสายหนึ่งแทงใสยังเยี่ยนจ้าวเกอ

ดวงตาราชันสายฟ้าในดวงตาข้างขวาของเยี่ยนจ้าวเกอ กำลังแข่งประลองกำลังกับเสื้อคลุมขนกระเรียนที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ

การรุกโจมตีของมหาปรมาจารย์ชุดดำ มาได้อย่างพอดีกับจังหวะโอกาสที่เยี่ยนจ้าวเกอมิอาจแยกสมาธิทำเรื่องอื่น ทั้งว่องไว แม่นยำ และเด็ดขาด!

ต้องการให้เยี่ยนจ้าวเกอถึงสถานตายในการโจมตีคราเดียว!

ร่างเยี่ยนจ้าวเกอประหนึ่งสายฟ้าฟาดครั่นครื้นอย่างไรอย่างนั้น ความเร็วทั้งกายยกระดับถึงขีดสุด ฉายวาบไปข้างๆ อย่างว่องไว

พิจารณาจากความเร็วและการเคลื่อนไหวร่าง เทียบกับจอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์ที่โดดเด่นที่สุดในระดับเดียวกัน เยี่ยนจ้าวเกอยังเหนือยิ่งกว่าไม่น้อย!

ถึงแม้ผู้มาเยือนจะมีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ หากแต่ท่าทีของเขาไม่ใช่การลอบจู่โจมสังหาร เยี่ยนจ้าวเกอจึงหลบหลีกกระบี่ที่แทงมาในครั้งนี้ได้สำเร็จ

กระนั้นประกายกระบี่ของผู้มาเยือน ภายใต้การส่องแสงสลัววามวาบ กระบี่หนึ่งเร็วยิ่งกว่าอีกกระบี่หนึ่ง ไล่ตามร่างของเยี่ยนจ้าวเกอมาติดๆ

ดูเหมือนว่าการรุกโจมตีของอีกฝ่าย ชื่อเสียงและพลังไม่รุนแรงเฉกเช่นพวกอาหู่ขนาดนั้น หมัดต่อฝ่ามือส่งเสียงดังลั่น โดยรอบยุ่งเหยิงระเกะระกะทั้งผืน พื้นดินหินผาจำนวนมากแหลกละเอียดเป็นผุยผง

ทว่าในประกายกระบี่ที่ดูเหมือนว่ามืดสลัวริบหรี่เล่มนั้น กลับคล้ายว่าโอบอุ้มก่อตัวพลังอันน่าหวาดหวั่นยิ่งไว้

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ฉงนใจแม้แต่น้อย ถ้าหากขณะตนเองถูกประกายกระบี่สายนี้แทงเข้า เนื้อหนังมังสาที่ฝึกฝนหมัดนอแรดและหมัดวิญญาณสยบคลื่น ผ่านการฝึกฝนต่อสู้โชกโชน แข็งแกร่งทนทานทว่ายืดหยุ่น คงจะแทงทะลุในชั่วพริบตา

กระนั้นเขาแยกแยะวิถีวรยุทธ์พลังฝึกปรือของอีกฝ่ายออกแล้ว

วิชาอับแสงสังการ รวมศูนย์พลังเป็นเส้นเดียว รวบรัดดาใดเปรียบ ไม่มีสิ่งใดไม่อาจทำลาย ปราณจิตราเกาะกลุ่มถึงขั้นที่เก็บซ่อนลำแสงและสุ้มเสียง ดุจเทพเซียนอำพรางปรีชาของตน

มีเพียงยามเก็บเกี่ยวชีวิตคู่ต่อสู้เท่านั้น จึงจะค่อยปะทุท่วงทีอันพร่างพราวออกมา

สิ่งเดียวที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอระแวดระวังก็คือ อาวุธของคู่ต่อสู่ในขณะนี้ เป็นอาวุธวิญญาณระดับล่างชิ้นหนึ่ง

อาวุธวิญญาณระดับล่าง เยี่ยนจ้าวเกอมีมากมาย เยอะยิ่งกว่าจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์คนไหนเสียอีก

ภายในนั้นส่วนมากเป็นอาวุธที่เขายึดมาจากมือศัตรูที่ปราชัยให้กับเขา

แต่ปัญหาอยู่ที่เจ้าของอาวุธในอดีตเหล่านี้ โดยส่วนมากเป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์เฉกเช่นเยี่ยนจ้าวเกอ

ซึ่งแท้จริงแล้วจอมยุทธ์ปรมาจารย์ นับเป็นผู้อับจนหนทางสำแดงอานุภาพของอาวุธวิญญาณได้โดยสิ้นเชิง!

ส่วนมหาปรมาจารย์กลับต่างออกไป แม้ว่าคู่ต่อสู้เบื้องหน้าจะเป็นเพียงมหาปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง ขั้นซ่อนจิตระยะแรก ทว่ามีอาวุธวิญญาณระดับล่างชิ้นหนึ่งในมือ กลับคล้ายพยัคฆ์ติดปีกไม่ปาน!

อาวุธวิญญาณที่อยู่ในมือมหาปรมาจารย์ กับอาวุธวิญญาณที่อยู่ในมือปรมาจารย์ เป็นสองมโนภาพที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

จู่ๆ มหาปรมาจารย์ชุดดำผู้นี้ก็ขยับมือขึ้น ไม่เอื้อนเอ่ยสักคำ เพียงแสดงวิชาอับแสงสังหารของตนเองอย่างเต็มที่ สำแดงอานุภาพของกระบี่ยาวอันเป็นอาวุธวิญญาณในมือออกมาทั้งหมด

ประกายกระบี่เลือนราง ดูเหมือนริบหรี่มืดสลัว กระนั้นกระบี่หนึ่งฉับไวกว่าอีกกระบี่ กระบี่หนึ่งแกร่งกล้ากว่าอีกกระบี่ ปลดปล่อยพลังราวย้ายภูเขาถมสมุทร จู่โจมมาทางเยี่ยนจ้าวเกอ!

เศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าถูกเสื้อคลุมขนกระเรียนตรึงเอาไว้ชั่วคราว การที่เยี่ยนจ้าวเกอเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ตรงหน้า จึงไม่ง่ายเช่นกัน

อาหู่ที่อยู่นอกห้องกราดเกรี้ยวเหลืออด แสดงพลังทั้งปวง ต้องการถลาเข้าไปในกระท่อม

กระนั้นแม้ว่าเหล่าคู่ต่อสู้ของเขาจะหาใช่พรรคพวกเดียวกันไม่ แต่บัดนี้ต่างก็ร่วมมืออย่างรู้กันทั้งสิ้น โจมตีเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ที่กุมโอกาสสำคัญเสียก่อน

บัดนี้อาหู่เองก็มีพลังฝึกปรือในระดับมหาปรมาจารย์เช่นเดียวกัน พลังเกราะทมิฬบนร่างถูกสำแดงออกมาหมดสิ้น แสงสีดำโหมพล่านไล่หลัง พายุทมิฬส่งเสียงดังกึกก้อง ขับดุนร่างกำยำสูงใหญ่ให้เด่นขึ้นมาราวกับเทพมาร

ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยนจ้าวเกอมอบดาบแสงคลื่นคราม อาวุธวิญญาณระดับกลางให้แก่อาหู่ด้วย

ถึงแม้อาหู่ในฐานะมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตจะไม่อาจสำแดงพลังของดาบแสงคลื่นคราม อันเป็นอาวุธวิญญาณระดับกลางได้ทั้งหมด ทว่าก็ขับเคลื่อนอานุภาพส่วนหนึ่งในนั้นได้เช่นกัน

อาหู่ไม่ฝึกเพลงดาบ หากแต่บัดนี้ใช้กำลังภายในขับเคลื่อนดาบ เก็บซ่อนดาบแสงคลื่นครามไว้ภายในพายุสีดำ ซึ่งแปรสภาพจากปราณจิตราเจตจำนงหมัดของตน

ดาบวิเศษอันเป็นอาวุธวิญญาณกับดาบวายุสะท้านสายแล้วสายเล่าปะปนเข้าด้วยกัน กระหน่ำจนทำให้ศัตรูยากจะป้องกัน

หากแต่คู่ต่อสู้ของอาหู่ต่างก็มีอาวุธวิญญาณติดกายมาด้วยเช่นกัน นอกจากศัตรูขั้นมหาปรมาจารย์ทั้งสองแต่แรกเริ่มแล้ว ก็มีจอมยุทธ์มหาปรมาจารย์อีกคนหนึ่งเพิ่มเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ทั้งสามคนผนึกกำลังล้อมโจมตี อาหู่สงบนิ่งเยือกเย็นหาประหวั่นไม่ แม้กระทั่งยิ่งต่อสู้ยิ่งทรงพลัง ทำให้คู่ต่อสู้ทั้งสามอกสั่นขวัญแขวน

เพียงแต่อาหู่ถูกคู่ต่อสู้ทั้งสามยื้อถ่วงการเคลื่อนไหวเอาไว้ อยากจะพุ่งพรวดเข้ากระท่อมหนุนเยี่ยนจ้าวเกอในเวลาอันสั้นนี้ ก็ยากจะสมปรารถนาเช่นกัน

อาหู่รู้สึกขุ่นเคืองไม่คลาย “นอกจากทางคุณชายนี้แล้ว น่าจะมีประตูอีกบานหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีศัตรูต่างพวกมากมายถึงเพียงนี้”

“ใช่แล้ว แรกเริ่มอาจมีเพียงปรมาจารย์ที่คอยสอดแนมผู้นั้นแค่คนเดียว สังเกตเห็นว่าพวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ จึงยืมมือผู้อื่น ปล่อยข่าวสารรั่วไหลออกไป ชักนำกองกำลังผู้คนจำนวนมากเหล่านี้เข้ามา!”

ภายในกระท่อม ร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอสวมเสื้อเกราะภูผาวิญญาณ รับมือกับคู่ต่อสู้ระดับมหาปรมาจารย์ที่ปิดใบหน้าไว้ผู้นั้น

เยี่ยนจ้าวเกอแลเห็นถึงท่วงทำนองที่ยิ่งแฝงด้วยความอาฆาตชิงชังไว้รางเลือน นอกเหนือจากความเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง ในลูกตาดำฉาบย้อมสีเหลืองคู่นั้นซึ่งแสงโลหิตพวยพุ่งออกมาของอีกฝ่าย

ภายในกระท่อม ชายหนุ่มต่อสู้อย่างดุเดือดกับจอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตที่ปกปิดใบหน้า ส่วนนอกกระท่อม อาหู่และจอมยุทธ์มหาปรมาจารย์รวมทั้งหมดไม่น้อยกว่าสี่คน ยิ่งต่อสู้กันอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

หากไม่ใช่เพราะเสื้อคลุมขนกระเรียนตัวนั้นมีพลังปกปักษ์กระท่อมอยู่ ที่นี่คงถูกพวกอาหู่รื้อราบไปนานแล้ว

มหาปรมาจารย์อยู่ที่นี่มากมายเช่นนี้ จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ที่เข้าสู่มิติต่างแดน ล้วนมองสถานการณ์ออกและถอยร่นไปแล้ว

ที่แห่งนี้อาจมีของล้ำค่าหายากก็เป็นได้ ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ เกินกว่าครึ่งไม่ใช่กงการของพวกเขาแล้ว

ผลีผลามเข้าสู่การต่อสู้ระหว่างมหาปรมาจารย์ บางครั้งตายไปก็ยังไม่รู้เลยว่าตนสิ้นใจได้อย่างไร

หากแต่มีคนคนหนึ่งเป็นข้อยกเว้น

ซึ่งคือหลินโจวผู้แพร่ข่าวคราวว่าพวกเยี่ยนจ้าวอยู่ที่นี่ และของล้ำค่าอยู่ที่นี่นั่นเอง

เขาวางแผนหลีกออกจากการตะลุมบอนของพวกอาหู่ทั้งสี่คนอย่างสุขุมและระมัดระวัง และค่อยๆ เข้าใกล้ยังกระท่อม

เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ถูกตรึงความสนใจไว้แล้ว โอกาสที่เขาจะหยิบฉวยของวิเศษจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

ปีกเซียนกระเรียน ก็คือเสื้อคลุมขนกระเรียนที่แขวนอยู่ในกระท่อมตัวนั้นเช่นกัน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการเดินทางหนนี้ของหลินโจว

แน่นอน หากมีโอกาส ของวิเศษอื่นๆ เขาก็จะฉวยโอกาสกวาดเอาไปพร้อมกันด้วย

และหากสามารถฝังเยี่ยนจ้าวเกอไว้ที่นี่ได้โดยสิ้นเชิง เช่นนั้นก็ดีเสียยิ่งกว่าดี

หลินโจวเพ่งมองปีกเซียนกระเรียนผ่านช่องหน้าต่างกระท่อมมุงหญ้าคาที่เปิดอยู่ ในดวงตาร้อนแผดเผาทั้งผืน “ได้ของวิเศษชิ้นนี้แล้ว ทิ้งเยี่ยนจ้าวเกอไว้ไม่ใช่ว่าเป็นไม่ได้!”

ทว่ายังไม่ทันรอให้หลินโจวเข้าใกล้อีกก้าว เขาเบิกตากว้างโดยพลัน

หลังจากแลเห็นเยี่ยนจ้าวเกอใช้เสื้อเกราะภูผาวิญญาณต้านทานกระบี่หนึ่งของมหาปรมาจารย์ผู้ปกปิดใบหน้า ร่างกายอาศัยพลังสะท้อนเหินถอย

ในดวงตาข้างขวาเยี่ยนจ้าวเกอเปล่งแสงสายฟ้าวามวาบ พลังของเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้ายึดมั่นปีกเซียนกระเรียนไว้ชั่วคราว จากนั้นทั้งกายของเขารวมร่างชนเข้าสู่ภายในปีกเซียนกระเรียน ต้องการหุ้มเสื้อคลุมขนกระเรียนตัวนี้ไว้บนตัว!

“เจ้าหลอมกลายสภาพปีกเซียนกระเรียนให้ใช้การได้ไม่ทันหรอก” หลินโจวยิ้มเย็นเล็กน้อย “กลับจะส่งตัวเองไปใต้กระบี่คู่ต่อสู้เสียด้วยซ้ำไป”

ดังคาด กระบี่ในมือมหาปรมาจารย์คลุมใบหน้าผู้นั้นไม่ได้หยุดยั้งเลยสักนิด ไล่แทงไปบนร่างเยี่ยนจ้าวเกอ ทลายการป้องกันของเสื้อเกราะภูผาวิญญาณโดยตรง!

ประกายกระบี่อันมืดสลัววาดฟันผ่านเสื้อเยี่ยนจ้าวเกอ จนถึงกล้ามเนื้อและผิวหนังใต้ลิ้นปี่ ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกถึงความเย็นวาบผืนหนึ่งบริเวณหัวใจ!

—————————–