ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับและเดินไปที่ตำหนักหวาหยาง คิดในใจว่าแม้ว่าเป็นเรื่องวางยาพิษก็ไม่สามารถทำให้จักรพรรดิเมินเฉยต่อฮองเฮาได้ หรือเป็นเพราะเธอจึงทำให้เมินเฉยต่อฮองเฮา
หลังจากกลับมาจากตำหนักหวาหยาง ฉีเฟยอวิ๋นรออยู่ที่ด้านหน้าพระที่นั่งบำรุงฤทัย
ต่อคนที่รอมาพบกับเธอคือสวีกงกงที่เดินมารายงานเธอ “พระชายาเย่เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
สวีกงกงเดินมาจากตำหนักข้างและโค้งตัวพูดกับเธอด้วยเสียงเบา ฉีเฟยอวิ๋นมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นว่ามีใคร ฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินตามสวีกงกงไปตำหนักข้าง
ระหว่างทาง ฉีเฟยอวิ๋นถามสวีกงกง “กงกง หลายวันมานี้จักรพรรดิได้ไปที่ฮองเฮาบ้างหรือไม่?”
“ไม่ได้ไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ทรงประทับอยู่ที่พระสนมเซียวตลอดเวลา อีกทั้ง……” สวีกงกงมองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนจึงกระซิบกับฉีเฟยอวิ๋น “หลายวันมานี้จักรพรรดิตื่นสายมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งในการเข้าเฝ้าช่วงเช้า ฝ่าบาทแทบไม่อยากเสด็จไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เชื่อว่าเรื่องนี้หนานกงเย่จะไม่รู้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร
หรือว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูด เรื่องหลังบ้านของคนอื่น เขาไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
แต่ตอนนี้เรื่องความวุ่นวายของท่านอ๋องแปดยังไม่สามารถจัดการได้ และจักรพรรดิอี้ตี้ก็ละเลยต่อเรื่องในราชสำนัก หรือว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของพระสนมเซียว เช่นนั้นตระกูลจวินไม่พูดอะไรบ้างหรือ?
เมื่อมาถึงตำหนักข้าง สวีกงกงปิดประตูลงและถอยออกไป
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้ามาก็พบกับจักรพรรดิอวี้ตี้ที่ประทับอยู่บนแท่นข้างบนซึ่งอยู่ตรงหน้า เธอเดินเข้าไปอีกไม่กี่ก้าวและคุกเข่าลง
“หม่อมฉันคารวะฝ่าบาทเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าเธอคุ้นชินกับการคุกเข่าลงแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยยินยอมเท่าไรนัก
“ลุกขึ้นเถอะ” จักรพรรดิอวี้ตี้เสด็จลงมาจากแท่นประทับข้างบน ฉีเฟยอวิ๋นจึงลุกขึ้น
จักรพรรดิอวี้ตี้ยื่นมือให้ฉีเฟยอวิ๋น “ลองดูสิ หลายวันมานี้ข้าอยู่แต่ที่พระสนมเซียวทางนั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกลังเลแต่ก็พอเข้าใจได้ จักรพรรดิอวี้ตี้กำลังใช้วิธีของพระองค์ในการตรวจสอบเรื่องยาพิษ โดยอาศัยเรื่องของเธอ
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มทำการตรวจสอบชีพจร และไม่นานจึงวางมือของจักรพรรดิลง “ไม่มีการเพิ่มความรุนแรงเพคะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้หัวเราะ “พูดเช่นนี้ก็คงเป็นฮองเฮาจริงหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ตอบ เพราะเรื่องนี้ซับซ้อนไม่ง่ายเลย หากเป็นฮองเฮาตามที่คิด ก็ช่างชัดเจนมากเหลือเกิน และดูเป็นการใส่ร้ายเกินไป
จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่เห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นจะพูดอะไร เขาก็ไม่พูดอะไร
แต่ในที่สุดฉีเฟยอวิ๋นก็อดไม่ได้ “หม่อมฉันคิดว่าไม่ใช่ฮองเฮาเพคะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้หัวเราะเยาะ “เช่นนั้นแล้วจะเป็นใครหรือ?”
“หม่อมฉันสงสัยสองคนเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นพูดสิ่งที่อยากจะพูดในใจออกมาและรู้สึกเหนื่อยจนแทบอยากจะเอาศีรษะชนเสา
แม้ว่าร่างกายของเธอจะถูกทรมานทุกวันในชาติที่แล้ว แต่บางครั้งเธอก็รู้สึกเจ็บปวดแทบตายจากการที่ผิวของเธอถลอก แต่เธอไม่คิดว่าเป็นการทรมาน
แต่มาวันนี้ เธอรู้สึกจริงๆ ว่าการเข้าไปพัวพันกับอย่างอื่นอย่างต่อเนื่องเป็นการทรมานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!
“บอกมาให้ข้าฟังหน่อย” จักรพรรดิอวี้ตี้เดินเข้ามาใกล้ฉีเฟยอวิ๋น เสื้อคลุมลายมังกรส่องแสงเป็นประกายของเขาทำให้คนที่อยู่ข้างๆ ตกใจ
แม้ว่าฉีเฟยอวิ๋นฝืนทนอย่างสงบ แต่เธอก็ไม่สามารถต้านทานต่อพลังอำนาจที่มาจากจักรพรรดิอวี้ตี้ได้
ฉีเฟยอวิ๋นทำได้เพียงก้มศีรษะลง และแอบชื่นชมตัวเอง เพราะอย่างไรเขาก็คือจักรพรรดิ
และมีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่จะมีอุปสรรคเช่นนี้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเคยสงสัยในสวีกงกง เขาเป็นคนที่พบเจอกับฝ่าบาทบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็มีเขาเป็นคนคอยจัดการดูแล หากฝ่าบาทถูกวางยาพิษ เขาจะต้องถูกยางพิษก่อนอย่างแน่นอน หลายวันก่อนที่ฝ่าบาทเดินละเมอ หม่อมฉันได้ถามสวีกงกงว่า ฝ่าบาทเดินละเมอในตอนกลางคืนแล้วฝ่าบาทเสด็จไปที่ไหน สวีกงกงกล่าวว่า เขานอนหลับลึกมาก หม่อมฉันได้ทำการตรวจสอบชีพจรให้เขา เขาก็ถูกคนวางยาพิษ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หม่อมฉันเห็นว่าเขากลัว จึงให้เขาทำตามวิธีการที่หม่อมฉันบอกโดยสังเกตคนรอบๆ ตัว แต่กลับไม่ได้ความคืบหน้าอะไรจากเขาเลย
หม่อมฉันจึงยังรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่หากเป็นสวีกงกง ก็สามารถลดปัญหาลงไปได้เยอะ และสามารถมั่นใจได้ว่าคนที่ทำร้ายจักรพรรดิคือคนในวังหลวง เพราะถึงอย่างไรสวีกงกงก็มีการติดต่อสื่อสารกับคนภายนอกน้อยมาก และคนที่สามารถสั่งการให้สวีกงกงวางยาพิษได้ หากไม่ใช่แค่จับความผิดพลาดของสวีกงกงได้ เช่นนั้นก็คงเป็นผู้มีพระคุณของสวีกงกง ถึงจะสามารถสั่งการสวีกงกงได้
และคนที่สองที่หม่อมฉันสงสัยก็คือฝ่าบาทพระองค์เองเพคะ
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ แต่หากอยากจะวางยาหรือไม่วางยา ก็คงมีเพียงแค่ฝ่าบาทเอง ไม่มีใครที่สามารถทำเรื่องนี้ได้อย่างสะดวกไปกว่าฝ่าบาทเองแล้วเพคะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้า “ใช่ คนที่น่าสงสัยที่สุดคือข้าเอง”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิอวี้ตี้ จักรพรรดิอวี้ตี้หันหลังเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อเห็นพระองค์ยืนตัวตรงมือปล่อยลง ฉีเฟยอวิ๋นจึงตระหนักว่าคนที่วางยาพิษไม่ใช่จักรพรรดิอวี้ตี้
ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าลง “ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้หันหลังกลับ “อย่าเอาแต่คุกเข่า ข้ารู้ดีว่าเรื่องท่านอ๋องเย่ครั้งที่แล้วทำให้อวิ๋นอวิ๋นโกรธอย่างมาก แต่ข้าเป็นจักรพรรดิของอาณาจักร มีบางครั้งที่ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะมีความสุขที่เห็นเช่นนั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้โกรธเพคะ เพียงแค่รู้สึกผิดหวัง”
จักรพรรดิอวี้ตี้หันหลังกลับและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น “อย่างไรหรือ?”
“ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ใช่คนที่ภักดีต่อจักรพรรดิและพระพันปีมากที่สุด แต่หม่อมฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพคะ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านอ๋องเย่ ไม่ใช่ความยินดีของจักรพรรดิ แต่จักรพรรดิก็ให้เขาแบกรับเรื่องทุกอย่าง
หม่อมฉันสามารถเข้าใจได้ในการที่ฝ่าบาทไม่สามารถยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องได้
แต่หม่อมฉันไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเพคะ
ท่านอ๋องเย่เกิดเรื่องขึ้นหม่อมฉันกลับไม่รู้สึกกลัว แต่หม่อมฉันไม่คิดเลยว่าหม่อมฉันจะมาหาฝ่าบาทและพระพันปีด้วยความหวัง แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสนใจ”
จักรพรรดิอวี้ตี้ยิ้มอย่างแจ่มแจ้ง และสุดท้ายหินก้อนใหญ่ในใจก็ได้ปล่อยวางลง
“ที่แท้ก็เป็นเพราะผิดหวัง แต่ท่านอ๋องเย่ก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรือ? อีกอย่างเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความตั้งใจของข้า?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่จักพรรดิอวี้ตี้ พวกเขาพูดอะไรก็ถูกไปหมด และจะพูดอะไรก็ได้ เธอจะไม่เชื่อพวกเขาอีกต่อไป
จักรพรรดิอวี้ตี้เดินไปตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นและตรัสว่า “หากเป็นเพราะพวกเขาใส่ร้ายฮองเฮาล่ะ นั่นเป็นเพราะอะไรหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “หม่อมฉันไม่ใช่จูเก๋อเลี่ยง(ขงเบ้ง) หม่อมฉันไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นเพคะ”
“เจ้านี่นะ ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องจริงจัง เจ้ามักจะพูดเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ข้าอยากให้เจ้าอยู่กับข้าอย่างจริงใจ ไม่ใช่อยู่อย่างปิดบังเช่นนี้
ท่านอ๋องเย่ดื่มน้ำและหลับไปแล้วที่พระที่นั่งบำรุงฤทัย ข้าอยากเล่นหมากรุก เจ้าเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
จักรพรรดิอวี้ตี้หันหลังกลับไปอีกฝั่ง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่มีความสุข นี่มันหมายความว่าอย่างไร วางยาคนอื่นอย่างงั้นหรือ?
เธอไม่อยากไป และก็ไม่กล้าขัดขืน
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดอยู่ครู่หนึ่งและเดินตามจักรพรรดิอวี้ตี้ไปเล่นหมากรุก ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว “ฝ่าบาท หม่อมฉันเล่นไม่เก่งเพคะ”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องเย่ก็ไม่ใช่คู่แข่งของเจ้า?” จักรพรรดิอวี้ตี้เงยพระพักตร์ขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋นที่ยังไม่นั่งลง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกลำบากใจแต่ก็นั่งลง
“ฝ่าบาททราบเรื่องภายในจวนของพวกเราได้อย่างไรเพคะ ฝ่าบาทยังมีเรื่องที่ยังไม่รู้อีกไหมเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเหมือนว่ามีคนสี่ห้าคนกำลังถือดาบทิ่มแทงร่างกายของเธอ เพียงแค่เธอไม่ให้ความร่วมมือเล็กน้อย สมองก็แทบจะกระโดดออกมาให้คนอื่นกระโดดเตะเล่น
เธอยังไม่รู้ว่าจะต้องตายอย่างไร?
จักรพรรดิอวี้ตี้หยิบหมากรุกขึ้นมาและวางลง “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ออกจากวังหลวง แต่อาณาจักรนี้เป็นของข้า ทำไมข้าจะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายนอกบ้าง”
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแล้ว พูดตรงๆ คือเขาเป็นคนที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้นเขาจึงต้องควบคุมเรื่องภายนอก
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปรอบๆ และหยิบหมากรุกขึ้นมาหนึ่งอันแล้ววางลง
จักรพรรดิอวี้ตี้หัวเราะขบขัน “ท่านอ๋องตวนบอกกับข้า เจ้าแต่งงานกับท่านอ๋องเย่มาก็นานพอสมควรแล้ว ข้าคิดว่าควรจะแต่งตั้งพระชายารองได้แล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างเย็นชา จักรพรรดิอวี้ตี้เงยพระพักตร์ขึ้นและขมวดคิ้ว “ยิ้มอะไรหรือ?”
“ท่านอ๋องตวนคงจะกินอิ่มจนเกินไป เขามีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องภายในบ้านของหม่อมฉันเพคะ? ฝ่าบาท เรื่องหลังบ้านของท่านอ๋องตวนยังจัดการเองไม่ได้ แถมยังมาขอให้หม่อมฉันช่วยเหลือ ฝ่าบาทเชื่อเขาหรือเพคะ?”
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก “แต่เรื่องที่ท่านอ๋องตวนแต่งตั้งพระชายารองเป็นเรื่องที่ทั้งสองตำหนักต่างตกลงยินยอม หรือว่าจะไม่แต่งงาน?”
“เสด็จอาใหญ่กล่าวว่า หม่อมฉันเพิ่งจะแต่งงานได้หนึ่งปี เรื่องลูกก็ไม่ต้องรีบร้อน แต่ต้องสร้างความสัมพันธ์ หากต้องแต่งตั้งพระชายารองเร็วเช่นนี้ จะเป็นการสร้างปัญหาให้กับหม่อมฉัน หากสร้างปัญหาให้หม่อมฉันก็ไม่สามารถยินยอมได้ หากหม่อมฉันไม่ยินยอมจวนท่านอ๋องก็ไม่สามารถอยู่ดีได้ และหากท่านอ๋องเย่ไม่ดี เรื่องการคลอดลูกของพวกเขาก็ต้องเลื่อนออกไปอีกเพคะ”
“เจ้ากล้าข่มขู่ข้าอย่างงั้นหรือ?” จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่พูดอะไรอีก