องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 251 ไม่ใช่ความฝัน
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงตรัสว่า “ลงสิ!”
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบหมากรุกขึ้นมาแล้ววางลงไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ทรงพอพระทัย: “พูดคุยก็ส่วนพูดคุย เล่นหมากรุกก็ส่วนเล่นหมากรุก ลักษณะนิสัยของเจ้าเหตุใดถึงได้เป็นเหมือนเช่นอ๋องเย่ เพราะว่าอยู่กับเขาทั้งวันเลยถูกเขาพาเสียคนหรือ?”
“ผู้ใดจะถูกผู้ใดพาเสียคนนั้นยังไม่แน่เพคะ ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทก็ยังดีตั้งแต่ทรงคบหาสมาคมกับหม่อมฉันบ่อยๆก็ทรงกลายเป็นคนไม่ดีไปซะแล้ว!”
“อา? ฮ่าๆ……”
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นและทรงพระสรวลอย่างเบิกบานพระทัย ฉีเฟยอวิ๋นรอให้พระองค์ทรงพระสรวลจนเต็มที่แล้วกล่าวว่า:“ฝ่าบาทมิได้ทรงเสแสร้งแกล้งทำเพื่อฮองเฮาที่ทรงเป็นวังหลังหรอกหรือเพคะ?”
“นั่นไม่เหมือนกัน ข้า……”
“ฝ่าบาท ไม่มีก็คือไม่มี มีก็คือมี” ฉีเฟยอวิ๋นเตือนจักรพรรดิอวี้ตี้ว่าอย่าได้ทรงหาข้อแก้ตัวเลยเพคะ
จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกหดหู่เล็กน้อย: “เหตุใดอวิ๋นอวิ๋นถึงได้อุดปากข้าอยู่ตลอดมิให้ข้าได้กล่าว?”
“ฝ่าบาท หากพระองค์บอกว่าไม่ได้ ตรัสไปก็ไม่ได้อยู่ดีเพคะ”
“……”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้พูดไม่ออกและทั้งสองคนก็มองหน้ากัน จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองไปยังหมากรุกบนกระดานหมากรุก ทอดพระเนตรเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นพ่ายแพ้ยับเยิน
“ก็ได้ ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งปีที่จะไม่แต่งชายารอง แต่หากว่าเจ้าแพ้หมากรุกกระดานนี้ เช่นนั้นต้องฟังข้าแล้วไปสู่ขอยังจวนต้ากั๋วจิ้วให้กับอ๋องเย่”
“สู่ขอ?” ฉีเฟยอวิ๋นถูกหยามเหยียดยิ่งนัก: “แต่งพระชายารองมาแบ่งปันพระสวามีกับหม่อมฉันแล้วยังต้องให้หม่อมฉันไปสู่ขอ หม่อมฉันมีอาการป่วยหรือเพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นโกรธจนใบหน้าซีดแล้วซีดอีกและปวดท้องเล็กน้อย นางจึงวุ่นอยู่กับการบรรเทาอาการ
จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรแล้วก็ทรงพอพระทัยและทรงตรัสว่า: “นี่คือสิ่งแลกเปลี่ยนของพระชายาเอก”
“เช่นนั้นหม่อมฉันไม่เป็นก็ได้เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นต้องการจากไป
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกริ้วแล้วตรัสว่า: “นั่งลง”
ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้นั่งลงมองไปยังกระดานหมากรุกอย่างโกรธเคืองแล้วมองไปยังจักรพรรดิอวี้ตี้: “ฝ่าบาทพระองค์ทรงตั้งประทัยให้หม่อมฉันแพ้หมากรุก ต้องการให้หม่อมฉันไปสู่ขอให้กับอ๋องเย่หรือเพคะ?”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เจ้าแพ้หมากรุก แต่ข้าพูดกับเจ้าเรื่องให้มู่เหมียนจวิ้นจู่แต่งงานกับอ๋องเย่เพื่อเป็นชายารอง”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ จิ้งจอกเฒ่า!
“ฝ่าบาท เช่นนั้นหากว่าหม่อมฉันชนะก็จะไม่ต้องแต่งพระชายารองมาแล้วใช่หรือไม่เพคะ?”
จักรพรรดิอวี้ตี้ก็มิได้ปิดบัง: “ชายารองนั้นยังคงต้องแต่ง แต่ข้าสามารถผ่อนปรนเวลาให้เจ้าได้หนึ่งปี”
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงต้องแต่งพระชายารองมาด้วยเพคะ หรือว่าในเวลานี้ครอบครัวและทุกอย่างไม่ได้เป็นไปด้วยดีหรือเพคะ ? จวนหลังของอ๋องตวนไฟไหม้มิได้เป็นตัวอย่างที่ดีหรอกหรือเพคะ?
อีกทั้งมู่เหมียนจวิ้นจู่เข้าประตูมาพวกเราไม่มีทางกลมเกลียวกันได้ จะให้หม่อมฉันฆ่านางให้ตายหรือนางฆ่าหม่อมฉันตายก็ยังพูดยากเพคะ
ถึงเวลานั้นท่านพ่อของหม่อมฉันไม่สามารถเพิกเฉยต่อหม่อมฉันได้ ท่านพ่อของเหมียนจวิ้นจู่ก็ไม่สามารถที่จะไม่สนใจนางได้
นี่คือการยั่วยุให้เกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างเสนาบดี
หรือว่ามิได้มีผลกระทบต่อความจงรักภักดีของเสนาบดีที่มีต่อฝ่าบาทเลยหรือเพคะ? ”
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเรื่องในหลังจวนจะเป็นต้นเหตุของความจงรักภักดีในราชสำนัก” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ยังทรงเล่นหมากรุกต่อ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ทรงเห็นเหล่าเสนาบดียับยั้งชั่งใจซึ่งกันและกัน เหล่าบุตรสาวถูกบีบเอาไว้ในมือ ทรงรู้สึกดีมากใช่หรือไม่เพคะ?”
จักรพรรดิอวี้ตี้โยนหมากรุกลงบนกระดานหมากรุกจน เงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรฉีเฟยอวิ๋นอย่างเย็นชา: “ข้าตามใจเจ้าเกินไปแล้วใช่หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นจ้ององค์จักรพรรดิอวี้ตี้โดยไม่ขยับเขยื้อน นางเกือบจะปลิดพระชนม์ชีพจักรพรรดิอวี้ตี้ด้วยเข็มเล่มหนึ่ง
จักรพรรดิอวี้ตี้ปัดกระดานหมากรุกและตรัสด้วยพระพักตร์อันเยือกเย็น: “ออกไปให้พ้น!”
ฉีเฟยอวิ๋นลังเลอยู่สองสามวินาที แต่นางก็ลุกขึ้นคำนับองค์จักรพรรดิอวี้ตี้: “หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
ปกติฉีเฟยอวิ๋นจะเดินถอยหลังออกไป วันนี้หันหลังกลับเดินจากออกไปเลย
สีหน้านางแย่ยิ่งนัก พอเปิดประตูออกถึงกับทำให้สวีกงกงตกใจขึ้นมา สวีกงกงรีบเหลือบมององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ซึ่งทรงอยู่ด้านใน เห็นสีหน้าดูไม่ได้จึงได้รีบเหลือบมองไปยังใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นซึงก็ดูไม่ได้เช่นเดียวกัน
“พระชายาเย่โปรดรอก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินจากไปแต่พอเดินไปไม่กี่ก้าวก็ปวดท้องมาก และเป็นการปวดตะคริวซึ่งปวดจนเดินไม่ไหว
สวีกงกงหันกลับมาก็เห็นฉีเฟยอวิ๋นนั่งย่อเข่าอยู่บนพื้นและรีบเข้าไปดู: “โอ้ พระชายาเย่นี่ท่านทรงเป็นเช่นไรบ้าง?”
ฉีเฟยอวิ๋นหายใจแรงและวุ่นอยู่กับการหยิบยาออกมากินลงไป นางเหงื่อท่วมไปทั้งศีรษะ: “อ๋องเย่ เรียกอ๋องเย่”
สวีกงกงหันหลังกลับไปมองยังด้านหลัง เขาจะกล้าได้อย่างไร?
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น พระองค์ทรงไม่ได้เคลื่อนไหวและกำหมากรุกเอาไว้
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งงอเข่าไม่อยู่จึงได้คุกเข่าลงบนพื้น: “หนานกงเย่”
นางตะโกนและทั่วทั้งนอกตำหนักบำรุงฤทัยก็ได้ยินหมด หนานกงเย่ซึ่งนอนหลับลึกอยู่จู่ๆก็ตกใจตื่นขึ้น
“อวิ๋นอวิ๋น”
หนานกงเย่ลุกขึ้นออกมาจากตำหนักบำรุงฤทัยอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าอยู่กับพื้นโดยกอดท้องเอาไว้
“อวิ๋นอวิ๋น”
สวีกงกงตกใจจนคุกเข่าลง
หนานกงเย่ก้มลงอุ้มฉีเฟยอวิ๋นแล้วมองเข้าไปในตำหนักด้านข้าง จากนั้นหันหลังอุ้มฉีเฟยอวิ๋นจากไปอย่างรวดเร็ว
ออกจากประตูไปฉีเฟยอวิ๋นก็หมดสติไป หนานหงเย่นั่งเข้าไปในรถม้าและตรวจสอบร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นเป็นพิเศษ นางไม่เป็นอันใดเพียงแค่กอดท้องเอาไว้และมีเหงื่อออก
ฉีเฟยอวิ๋นสลบไสลจนกระทั่งถึงหน้าประตูจวนอ๋องเย่ถึงได้ฟื้นขึ้นมา
หนานกงเย่มองไปยังคนที่อยู่ในอ้อมแขนซึ่งใบหน้าซีดเผือด หัวใจอันแขวนอยู่ของเขานั้นจึงได้ค่อยๆสงบลง
ฉีเฟยอวิ๋นขยับทีหนึ่ง นางมองออกไปนอกรถม้าและไม่ยอมกล่าวอันใด
หนานกงเย่ถามว่า: “พระองค์ทรงตรัสสิ่งใด?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองเขาและลังเลเล็กน้อย: “ให้ข้าไปยังที่จวนต้ากั๋วจิ้วเพื่อสู่ขอชายารองให้กับท่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นคับข้องใจยิ่งนัก ไม่เห็นหนานกงเย่นางเป็นดังไก่ชนที่ไม่ยอมแพ้เลยสักนิด แต่เมื่อเห็นหนานกงเย่นางก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนแอลงซะแล้ว
เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะร้องไห้ หนานกงเย่ก็กระชับแขนและอุ้มฉีเฟยอวิ๋นออกจากรถม้า
ทั้งสองกลับไปยังลานหลังจวนแช่น้ำกำมะถัน ออกมาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มมีเหงื่อไหล หมอโจวประจำจวนดูแลอยู่โดยไม่ห่างเลยแม้แต่ก้าวเดียว
หนานกงเย่นั่งอยู่ข้างๆฉีเฟยอวิ๋นพร้อมกับกุมมือนางเอาไว้
หลังจากพักผ่อนมาทั้งวันฉีเฟยอวิ๋นก็ดีขึ้นในตอนเช้า หมอโจวประจำจวนก็เหนื่อยหล้าแล้วเช่นกันจึงกลับไปพักผ่อน ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่
“หากต้องแต่งเข้ามาข้าจะกลับไปยังจวนท่านแม่ทัพก่อน”
นางคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว นางไม่สามารถทำดังเช่นจวินฉูฉู่ซึ่งมองดูหนานกงเย่แต่งงานด้วยตนเองได้
หนานกงเย่กุมมือฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่น เช็ดเหงื่อของฉีเฟยอวิ๋นด้วยผ้าเช็ดหน้า
“ข้าตายก็ไม่แต่งชายารอง”
ฉีเฟยอวิ๋นดวงตาแดงก่ำ
“ข้าอดทนสักหน่อยก็จะผ่านไป เป็นเพราะข้าที่อดทนไว้ไม่อยู่และพูดจาตรงไปตรงมามากเกินไป” น้ำตาฉีเฟยอวิ๋นร่วงหล่นลงมา หัวใจของหนานกงเย่สั่นสะท้านอย่างเจ็บปวดรวดร้าว
“อย่าได้ร้องไห้”
หนานกงเย่เช็ดน้ำตาให้ฉีเฟยอวิ๋น: “อวิ๋นอวิ๋นมิต้องเป็นกังวล ข้าสัญญากับอวิ๋นอวิ๋นว่าจะไม่แต่งชายารองเข้ามาก็จะไม่แต่งเข้ามา”
“ข้าอยากกลับไปจริงๆ” ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจเข้าจากนั้นมือของหนานกงเย่ก็กระชับขึ้น: “ข้าไม่อนุญาต”
ฉีเฟยอวิ๋นหายใจเข้าแล้วหลับตาลงพักผ่อนต่อ
ครั้งนี้ฉีเฟยอวิ๋นนอนหลับไปแล้วฝันว่าได้กลับบ้านไปจริงๆ
เปิดประตูออกแล้วฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เธอกลับบ้านแล้วหรือ?
ขณะที่กำลังแปลกใจอยู่ก็มีคนเรียกเธอจากด้านนอก: “หลิงอวิ๋น จะออกเดินทางกันแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นวิ่งไปตรงหน้าต่างและมองดูกลับกลายเป็นเหล่าสหายร่วมต่อสู้ทั้งหลายของเธอ
ผลักหน้าต่างเปิดออกจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็วิ่งออกไปเลยโดยตรง
เสี่ยวไห่ ซย่าเฟิง โจวอีปั๋ว……
ในรถมีคนหลายคนฉีเฟยอวิ๋นถูกดันให้เข้าไปในรถ เธออยู่ในรถอย่างงุนงงและมีกล่องยาอยู่ข้างกายของเธอ เธอสัมผัสและเปิดของใช้ด้านในออกดู
มีทุกอย่างพร้อม
“หัวหน้ากำลังรอพวกอยู่” ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินคนขับรถด้านหน้าพูดขึ้น เธอพบว่าช่างน่าเหลือเชื่อ
เธอกลับมาแล้ว
เธอหยิกแขนของเธอและรู้สึกเจ็บแทบตาย