บทที่ 1011 สงครามไล่ล่าในสองนาที

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

“พวกแกยังต้องวิ่งหนีไปตามเส้นทางที่ฉันกำหนดไว้ด้วย ถ้าหากกล้าวิ่งออกนอกเส้นทางตามอำเภอใจ ฉันก็จะฆ่าเธอซะ” คนคนนั้นพูดเสริม

สีหน้าของทุกคนซีดเซียวลงทันใด…ผู้หญิงคนที่อีกฝ่ายพูดถึง ฟังจากลักษณะที่บรรยายออกมาแล้วน่าจะเป็นเย่เลี่ยน และในระหว่างที่ทุกคนมองหน้ากัน การคาดเดานี้ก็ได้รับการยืนยันจากสีหน้าของอีกฝ่าย …

ตอนนี้จะทำยังไงดี?

ในความทรงจำของพวกเขา เย่เลี่ยนน่าจะมีพลังความสามารถเฉพาะตัวที่แข็งแกร่งมาก…แต่อีกฝ่ายทำตัวลึกลับอย่างนี้ ท่าทีก็ดูน่ากลัว พวกเขาจึงไม่กล้าลองเชิงสุ่มสี่สุ่มห้า

“ต่ำทราม!” เจ้าลิงผอมลอบด่าอยู่ข้างหลัง

เป็นอย่างนั้นจริงๆ…และเห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์นี้ เป็นผลลัพธ์ที่อีกฝ่ายปรารถนาพอดี…

“หลิงม่อล่ะ แกทำอะไรเขา?” กู่ซวงซวงถามอย่างร้อนใจ

อีกฝ่ายเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง น้ำเสียงกลับไปคร่ำครวญร้องไห้เหมือนก่อนหน้า “ฉันไม่รู้…”

“เกมน่าเบื่ออย่างนี้ ใครจะไปอยากเล่นกับแกวะ…ส่งตัวเธอมาให้พวกฉัน ถ้าไม่อย่างนั้น…”

“พวกเราเล่นก็ได้” มู่เฉินยืนบังเย่ไคที่กำลังเดือดดาล จากนั้นก็หันไปมองชายคนนั้น บอกว่า “แต่กฎที่แกบอกมา เท่ากับเป็นการไล่ฆ่าพวกฉันให้ตายอย่างช้าๆ เกมอย่างนั้นไม่น่าเบื่อเกินไปหน่อยหรอ…”

“อย่าใจร้อนสิ นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกฎเท่านั้น” ชายคนนั้นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง แต่ขณะที่พูด ในดวงตาทั้งคู่ของเขากลับสะท้อนความเกลียดชัง และความเศร้าโศกอย่างสุดซึ้ง “ถึงแม้พวกแกจะไม่สามารถโต้ตอบได้โดยตรง แต่พวกแกสามารถใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมรอบข้าง กระทั่งพวกซอมบี้ที่เดินเกลื่อนถนนพวกนั้นด้วย…มนุษย์ฉลาดมากไม่ใช่หรอ? พวกแกใช้สมองเป็น ใช้เครื่องมือเป็น มันเป็นข้อดีที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพวกแก ไม่ใช่หรอ?”

“อ่อ ใช่สิ เกมนี้มีเวลาจำกัดนะ ฉันว่า เอาเป็นซักสองนาทีแล้วกัน…ในสองนาทีนี้ ถ้าหากผู้ไล่ฆ่ายังไม่ตาย ฉันจะฆ่าผู้หญิงคนนั้นซะ และพวกแกก็จะกลายเป็นของเล่นล็อตใหม่ของฉัน ของเล่นที่เอามาทดสอบกลุ่มคนที่เพิ่งขึ้นมาจากใต้ดินพวกนั้นไงล่ะ…ถ้าหากพวกแกชนะ…ผู้หญิงคนนั้นก็จะปลอดภัยไปก่อนชั่วคราว เป็นไง ยุติธรรมดีใช่ไหมล่ะ?” เขาพูด

“ยุติธรรมบ้าอะไรวะ!” เย่ไคก่นด่า

ดูผิวเผินกฎของเกมดูเหมือนไม่ได้มีข้อเสียต่อพวกเขามากนัก แต่คำว่า “สองนาที” กับคำว่า “ชั่วคราว” กลับทำให้ทุกคนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที และอีกฝ่ายก็ดูเหมือนไม่ได้คิดจะเจรจากับพวกเขาซะด้วย ฟังจากน้ำเสียงของชายคนนั้นก็รู้แล้ว ว่าเขาแค่ต้องการเล่นสนุก ดังนั้นถึงแม้จะชนะ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้เปรียบ กระทั่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้ได้เลยด้วยซ้ำ และถ้าหากอีกฝ่ายไม่คิดจะรักษาคำพูด พวกเขาจะทำอะไรได้ล่ะ?

แต่…นอกจากต้องทำตามที่อีกฝ่ายบอก พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!

“แกเล่นเกมบ้านี้ไปเพื่ออะไรกันแน่?” มู่เฉินยังถือว่าใจเย็น เขาครุ่นคิดอย่างร้อนรน ถามว่า ไม่ว่ายังไง หากสามารถทำความเข้าใจอีกฝ่ายได้มากหน่อย ก็เท่ากับฝ่ายตัวเองได้เบี้ยเพิ่ม…หลิงม่อชอบทำอย่างนี้เสมอ แต่ตอนนี้หลิงม่อไม่อยู่ ดังนั้นคนที่สามารถทำตามวิธีของเขาได้ ก็มีแต่มู่เฉินคนเดียวเท่านั้น…

ลองคิดดูดีๆ สิ มีความเป็นไปได้ที่จะโต้กลับในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบสุดๆ อย่างนี้บ้างไหม!

ถ้าหากเป็นหลิงม่อ…ถ้าหากเป็นหลิงม่อล่ะก็…

เดี๋ยวก่อน!

ถ้าหากรู้จุกประสงค์ของอีกฝ่าย…ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้…

“จุดประสงค์? น่าจะเป็นเรียนรู้และสังเกตการณ์ล่ะมั้ง อยากเข้าใจรูปแบบพฤติกรรมของเผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่ง วิธีที่ดีที่สุดก็คือสังเกตพฤติกรรมการแข่งขันกันเองของพวกมัน ไม่ใช่หรอ? ก็เหมือนกับการต่อสู้แย่งชิงคู่ผสมพันธุ์ในโลกของสัตว์ หรือการเข่นฆ่ากันเพื่ออาหาร หรือไม่ก็การแย่งชิงอาณาเขต…แล้วมนุษย์ที่ฉันเคยเจอก็มีแค่นี้ ดังนั้นฉันก็เลยจำเป็นต้องให้พวกแกสาธิตทั้งหมดที่ว่ามานี้ให้ฉันดูอย่างสุดความสามารถน่ะสิ ถ้าหากเป็นไปได้ ความจริงฉันก็ไม่ได้อยากใช้วิธีง่ายๆ อย่างนี้หรอก…” อีกฝ่ายตอบ

“แกไม่ใช่คน? แล้วแกเป็นอะไร? ซอมบี้ร่างแม่?” จางซินเฉิงที่เงียบมาตลอดพลันถามขึ้น

“ร่างแม่งั้นหรอ…ก็น่าจะใช่มั้ง แต่ว่าซอมบี้…ฉันจำได้ว่าซอมบี้จะค่อยๆ ฟื้นความจำตอนเป็นมนุษย์กลับมาใช่ไหม? ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นสิ่งเผ่าพันธุ์ใหม่ แต่ก็ยังมีลักษณะเด่นของมนุษย์หลงเหลืออยู่บนตัว…ถ้าจะพูดให้ถูก ซอมบี้น่าจะเป็นระยะเปลี่ยนผ่านจากมนุษย์มาสู่พวกฉันล่ะมั้ง รูปแบบดั้งเดิม รูปแบบเปลี่ยนผ่าน รวมถึงรูปแบบโตเต็มที่ การมีตัวตนอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันอย่างนี้…เดิมทีควรเป็นกระบวนการวิวัฒนาการที่ใช้เวลานานถึงหลายหมื่นปีหรือนานเป็นแสนปีเลยทีเดียวล่ะ…จะว่าไงดีล่ะ นี่คงจะเป็นการล่มสลายครั้งหนึ่งของชีวภาคล่ะมั้ง…” ชายคนนั้นทำหน้าครุ่นคิดแล้วตอบ และพอพูดถึงตรงนี้ เขากลับโบกมือไปมาอย่างขอโทษขอโพย “ฮ่าฮ่า โทษทีนะ อยู่ๆ ก็เผลอพูดความคิดเพ้อเจ้อของจัวเองออกมาซะงั้น ปกติเพราะต้องเสแสร้งแกล้งทำตลอดเวลา ก็เลยไม่ค่อยได้พูด อุตส่าห์มีโอกาสได้เจอคนแปลกหน้าอย่างพวกแก ดังนั้นก็เลย…แต่เทียบกับพวกแก ฉันอยากคุยกับหลิงม่อมากกว่า เพราะว่าเขา…”

“ไม่ต้องพูดมาก! ไหนบอกว่าสองนาทีไม่ใช่หรอ? จะเริ่มก็เริ่มเลยสิ! รูปแบบโตเต็มที่บ้าบออะไรกัน…ความสามารถในการคุยอวดของแกน่ะสิที่โตเต็มที่ พูดซะสวยหรู ความจริงก็แค่สัตว์ประหลาดไม่ใช่หรือไง? เริ่มเลย! หรือว่าแกคิดจะทำอะไรอีก?” เย่ไคบันดาลโทสะ

“หึหึ…วางใจเถอะ ฉันแค่มาถ่ายทอดคำพูด และสิ่งที่ฉันจะเอามาให้พวกแกได้ ก็มีแค่นี้แหละ…” ชายคนนั้นราวกับสามารถพูดได้เองอีกครั้ง “จะว่าไป…ก็น่าขำนะ…ตอนแรกพวกฉันก็ตั้งใจจะฆ่าพวกแก แต่กลับไม่คิดเลยว่าจะต้องใช้วิธีนี้…อีกอย่าง…ถึงจะบอกว่าเป็นผู้ไล่ล่า แต่ความจริงคนที่จะไล่ล่าพวกแกก็มีแต่ร่างกายร่างนี้เท่านั้นแหละ ส่วนฉันอยากมากก็ถือว่าเป็นได้แค่คนดู…”

ผู้รอดชีวิตที่นอนแบ็บอยู่กับพื้นเริ่มคำรามอย่างทุกทรมาน ทันใดนั้นเขาโก่งหลังขึ้นสูง สองมือสองขาติดพื้นเหมือนจิ้งจอกหิวโซ เงยหน้าจ้องพวกเขาเขม็ง สายตาของชายคนนี้ก็ดูทุกทรมานมาก ปากของเขายังคงพึมพำอย่างต่อเนื่อง “ไม่…ไม่…”

“โครม!”

ทันใดนั้น เสียงครึกโครมพลันดังมาจากอีกด้านของกำแพง ทุกคนสะดุ้ง รีบหันไปมองเป็นตาเดียว

มาอีกสองคนแล้ว…

สองคนนี้ดูเหมือนบาดเจ็บหนักมาก แต่ร่างกายกลับกลายเป็นเหมือนซอมบี้อย่างสมบูรณ์แบบ สายตาที่มองมาทางพวกเขาทั้งงุนงงระคนตื่นกลัว…

“ชิท!” เย่ไคสบถ

มู่เฉินเดือด “ชิท! ฉันนึกว่ามีแค่สองคนซะอีก!”

“เห็นตึกหลังนั้นไหม…” ชายที่ถือมีดอ้าปากพูดอีกครั้ง “ที่นั่นคือจุดหมายปลายทางของพวกเรา…กฎคือ ห้ามไปทางถนนใหญ่ ขอเพียงอยู่ในตรอกและในอาคารบ้านเรือน แล้วแต่ว่าพวกแกจะหนียังไง แต่อย่าลืมล่ะ พวกแกมีเวลาแค่สองนาที”

เขายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา จากนั้นก็ชายตามอง บอกว่า “จับเวลา…เริ่มได้!”

…………

“พวกเธอไปก่อน” พอเห็นว่าข้างหน้าคือทางออกแล้ว อยู่ๆ หลิงม่อกลับพูดขึ้น

“หา?” สวี่ซูหานชะงัก เธอหยุดวิ่ง

“ฉันต้องกลับเข้าไปข้างใน” หลิงม่อบอก

ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินยังอยู่ข้างใน และทางเข้าออกอีกเส้นที่ทะลุไปถึงบ่อน้ำ ก็น่าจะอยู่แถวๆ นี้

นอกจากนี้ เฮยซือก็น่าจะอยู่ที่ด้วยเหมือนกัน…ส่วนอยู่จุดไหนกันแน่นั้น ยังยากจะบอกได้

“ถ้าอย่างนั้นพวกฉันจะรอนาย” สวี่ซูหานอยากห้ามเขา แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเปลี่ยนคำพูด

อวี๋ซือหรานเองก็หยุดวิ่งด้วย เธอขยับตัวเข้าไปใกล้หลิงม่อ “ฉันก็จะไป ฉันจะไปตามหาเฮยซือ”

“ถ้าหากสัตว์ประหลาดพวกนั้นมา พวกนายไม่ต้องลังเล ให้ออกไปทันทีเลยนะ” หลิงม่อหันไปบอกอวี่เหวินซวนกับสวี่ซูหาน ทว่าเพิ่งพูดจบ อยู่ๆ เขาก็นิ่งเงียบไป

“นี่ เป็นอะไรไป?” อวี่เหวินซวนถาม

หลิงม่อกลับไม่ตอบ…

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

ไม่นานหุ่นซอมบี้ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว แต่พอคิดว่ายังพอลากระยะห่างออกไปได้อีก เขาจึงวิ่งต่อไปไม่หยุด…ความจริงขอเพียงเขาตัดขาดสายสัมพันธ์ทางจิตกับหุ่นซอมบี้ ความรู้สึกแย่ๆ เหล่านี้ก็จะหายไปทันที…แต่ภายใต้สถานการณ์ที่หมดแรงแล้ว หลิงม่อกลับพยายามแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมาสองเส้น และฝืนลากหุ่นซอมบี้ไปข้างหน้าต่อ…

แต่ในขณะที่เขาวิ่งผ่านช่องโหว่บนผนังจุดหนึ่ง ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งกลับยื่นออกมา และดึงเขาเข้าไป

“ขึก…” เงานั้นส่งสัญญาณให้หลิงม่อเงียบทันที ทำให้หนวดสัมผัสที่หลิงม่อเพิ่งแผ่ออกมาต้องชะงักไปก่อน

ใครกัน?

—————————————-