บทที่ 1010 เกมเอาชีวิตรอด

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

ขณะเดียวกัน บนพื้นดินเหนือศีรษะพวกหลิงม่อ…

“ทุกคนฟังให้ดี หลิงม่อบอกให้พวกเราพลิกเกมล้อมผู้รอดชีวิตพวกนั้นไว้ให้หมด จากนั้นก็ค่อยล่อซอมบี้บนถนนไปแถวๆ ตึกใหญ่หลังนั้น…พอถนนเริ่มเงียบและปลอดภัย พวกเราก็เข้าไปในบริษัทลอว์สันได้แล้ว พอถึงตอนนั้น พวกหลิงม่อก็น่าจะออกมารวมตัวกับพวกเราพอดี หากทำได้ ภารกิจในครั้งนี้ก็ถือว่าสำเร็จ เรื่องต่อจากนี้ ก็จะง่ายขึ้นมา ทุกคนเข้าใจแล้วใช่ไหม?”

มู่เฉินนำสมาชิกทีมปาฏิหาริย์มาปรากฏตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่ง หากมองออกไปซ้ายขวาจากตรงนี้ บริษัทและตึกใหญ่หลังนั้นอยู่ในครรลองสายตาพอดี เขาทวนคำสั่งที่เจ้าลิงผอมนำกลับมา พลางชี้ไปที่ตึกสองหลังนั้นเพื่อทำท่าประกอบคำอธิบาย

“เข้าใจแล้ว คุณเคยบอกครั้งหนึ่งแล้วนี่…” ทุกคนต่างตอบพร้อมกัน

กู่ซวงซวงอ้าปากถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ถ้าอย่างนั้น…พวกเราไม่ต้องสนใจเขาแล้วหรอ?”

“ไม่ต้องเป็นห่วง…” มู่เฉินบอก

เย่ไคแค่นเสียงเย็นชา บอกว่า “ไม่ว่าใคร หากยังมีชีวิตรอดอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ก็จะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อหัวหน้าทีมพูดอย่างนี้แล้ว ก็แสดงว่าเขาได้เตรียมใจแบกรับอันตรายไว้แล้ว เธอไม่ต้องเป็นห่วงไม่เข้าเรื่องหรอก”

“ฉัน!” กู่ซวงซวงหน้าแดง ปากพึมพำเสียงเบส “ใครห่วงไม่เข้าเรื่องกัน…”

“เอาล่ะ!” มู่เฉินขมวดคิ้วตัดบทพวกเขา แล้วบอกว่า “เวลาอย่างนี้ กลยุทธ์การเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดก็คือแบ่งออกเป็นสองทีม แต่เจ้าลิงผอมบอกว่าหลิงม่อค้นพบว่าคนพวกนั้นมีความสามารถแปลงร่างเป็นซอมบี้ได้ชั่วคราว นั่นแสดงว่าระดับความอันตรายของพวกนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นพวกเราเคลื่อนไหวไปด้วยกันดีกว่า…”

“หึหึ!”

ยังไม่ทันพูดจบ เสียงหัวเราะแผ่วเบาหนึ่งพลันดังมาจากบริเวณใกล้ๆ

“มีคนอื่น!”

ทุกคนต่างถอยหลังแนบหลังติดกำแพง ตวัดสายตามองไปทางที่เสียงดังมา

มู่เฉินยกสัญญาณมือให้เจ้าลิงผอม เขาพยักหน้าอย่างรู้หน้าที่ จากนั้นก็ค่อยๆ แนบหูติดกำแพงอย่างระมัดระวัง

“ไปดูกัน” เย่ไคกระชับมีดในมือแน่น พลางบอก

จางซินเฉิงพยักหน้าให้เขา เขาหมุนตัวยันกำแพง จากนั้นก็ปีนป่ายขึ้นไปข้างบนอย่างคล่องแคล่วว่องไว พริบตาเดียว เขาก็มาปรากฏตัวอยู่บนจุดที่สูงเกือบเท่าตึกสี่ชั้น หลังกวาดมองหนึ่งรอบก็ก้มหน้าส่งสัญญาณมือลงไปข้างล่าง

“พวกเราไปกัน” เย่ไคควงมีดหมุนหนึ่งรอบ แล้วก็พุ่งออกไปข้างหน้าตามแนวกำแพงอย่างรวดเร็ว

พวกมู่เฉินตามหลังไปติดๆ…

“หึหึหึ…”

เสียงหัวเราะนั้นดังขึ้นอีกครั้ง…หากได้พบผู้รอดชีวิตในสถานที่อย่างนี้ ถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกมู่เฉิน…แต่อีกฝ่ายปรากฏตัวอย่างกะทันหันและประหลาดอย่างนี้ กลับทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความหวาดระแวงที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง…คนแบบไหนกันที่จะหัวเราะในที่แบบนี้ได้? ไม่กลัวซอมบี้ได้ยินหรอ? ถึงแม้ไม่สนซอมบี้ แต่ก็ควรระวังมนุษย์พวกนั้นที่ถูกพวกเขา “ล้อม” ไม่ใช่หรอ…

“ฮ่าฮ่าฮ่า!”

เสียงหัวเราะพลันเปลี่ยนไปทันใด ให้ความรู้สึกเหมือนเจ้าของเสียงหัวเราะเห็นอะไรบางอย่างที่น่าขบขัน จนต้องหัวเราะออกมาไม่หยุด…

พวกมู่เฉินเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ ไม่นานก็มาถึงมุมที่ค่อนข้างลับตามุมหนึ่งของตรอกเส้นนี้

ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นประตูหลังของร้านค้าแห่งหนึ่ง กล่องไม้มากมาย รวมถึงผ้าใบกันฝนสีขาวถูกวางกองกันไว้ในตรอกแคบๆ แห่งนี้…บนผ้าใบกันฝนมีจุดสีแดงน้ำตาลให้เห็นอยู่บ้างบางส่วน ด้านล่างเหมือนมีเงาดำทะมึนอยู่…

“ระวัง”

มู่เฉินส่งสัญญาณมือให้พวกเขา จากนั้นก็เดินเข้าไปอย่างระมัดระวังเพียงลำพัง

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

เสียงหัวเราะนั้นดังออกมาจากกองกล่องไม้ และในขณะที่มู่เฉินกำลังเดินเข้าไปใกล้ ผ้าใบกันฝนเหล่านั้นก็กระเพื่อมเบาๆ

เจ้าลิงผอมหลบข้างหลังอย่างหวาดกลัว ส่วนกู่ซวงซวงยกมือปิดปาก

ถึงแม้ระยะห่างไม่ถึงสิบเมตร แต่ทุกคนกลับรู้สึกว่าระหว่างที่มู่เฉินเดินเข้าไปนั้นช่างยาวนานเหลือเกิน

เธออยากร้องเตือนมู่เฉินมาก แต่ในสถานการณ์อย่างนี้กลับทำได้เพียงกลั้นใจเต็มที่ ชั่วขณะหนึ่ง ในตรอกเส้นนี้ถูกปกคลุมด้วยสียงหัวเราะที่ฟังดูมีความสุข และประหลาดขึ้นเรื่อยๆ…

“ฟืดฟาดๆ…” ฝ้าใบกันฝนกระตุกอีกสองสามที

มู่เฉินจ้องเงาดำนั้นอยู่นานสองนาน แล้วค่อยๆ ยื่นมีดสั้นออกไป

วินาทีนี้ไม่ใช่แค่เขาที่กลั้นหายใจ พวกเย่ไคที่อยู่ข้างหลังต่างก็หายใจไม่ทั่วท้องไปด้วย

เมื่อใช้ปลายมีดเขี่ยผ้าใบกันฝนออกช้าๆ โฉมหน้าที่แท้จริงของเงาดำนั้นก็เผยสู่สายตาของทุกคน แต่มู่เฉินเพิ่งจะเหลือบเห็นแวบแรก เงาร่างนั้นก็หดตัวเข้าไปข้างในดัง “สวบ” อีกครั้ง

“ออกมานะ!” มู่เฉินหน้าเปลี่ยนสี ตัดสินใจยกเท้าเตะกล่องไม้กองนั้น

กล่องไม้เหล่านั้นผุพังไปนานแล้ว พอถูกมู่เฉินเตะทีหนึ่ง ก็แตกกระจายดัง “โครม”

เมื่อกล่องไม้แหลกละเอียด ภาพชวนช็อกก็ปรากฏขึ้น…

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

มีคนคนหนึ่งอยู่ในกล่องไม้ใบนั้น…ดวงตาทั้งสองข้างของเขาแดงก่ำ ใบหน้าและลำตัวเต็มไปด้วยรอยเลือด ด้านข้างของเขามีศพนอนอยู่ร่างหนึ่ง และสิ่งที่พวกมู่เฉินเห็นเมื่อกี้ ก็คือขาข้างหนึ่งของศพศพนี้…

ประเด็นคือ ระหว่างที่คนคนนี้หัวเราะออกมา เขายังกัดทึ้งแขนท่อนหนึ่งที่ถือไว้ในมือไม่หยุดด้วย…เห็นชัดว่าแขนข้างนั้นเป็นของศพที่อยู่ข้างๆ เขา เพราะบนแขนท่อนนั้นมีรอยสักรูปผีเสื้อที่เหมือนกับบนศพ…เขาหัวเราะไปพลาง กัดเคี้ยวศพด้วยปากท่วมเลือดไปพลาง…เสี้ยววินาทีที่สบตากับพวกมู่เฉิน คนคนนี้กลับหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม เขาขว้างแขนท่อนนั้นออกไป แล้วคลานกึ่งวิ่งเข้าใส่มู่เฉินทันใด

“อย่านะ ไม่เอา ฉันไม่อยากไป…” ทั้งๆ ที่เขาวิ่งออกมาเอง แต่คำพูดที่ตะโกนออกมาจากปากกลับมีความหมายตรงกันข้าม…พฤติกรรมแปลกๆ ของเขา ทำให้พวกเย่ไคที่อยู่ข้างหลังต่างตกตะลึงไปพร้อมกัน

มู่เฉินรีบหลบทันที หมายจะโต้กลับ แต่อยู่ๆ กลับได้ยินประตูหลังร้านที่อยู่อีกด้านเปิดออก ใครอีกคนเดินโซซัดโซเซออกมาจากข้างใน

“รู้อะไรไหม? ฉันชอบสังเกตนิสัยของมนุษย์…” คนคนนั้นเองก็เลือดท่วมตัว ในมือหิ้วศพไว้ศพหนึ่ง ศพนั้นดวงตาเบิกกว้าง เหมือนตายตาไม่หลับอย่างไรอย่างนั้น

“เริ่มแรก ฉันอยากเล่นเกมเกมหนึ่งกับพวกแก เรียกว่าเกมเอาชีวิตรอด เคยได้ยินใช่ไหม? หลังจากที่ขังพวกแกไว้ในตึกใหญ่หลังนั้น ฉันก็จะค่อยๆ ทรมานพวกแกจนตาย แล้วรอดูว่าภายใต้สถานการณ์สิ้นหวัง พวกแกจะทำยังไง น่าเสียดายที่เกมดีๆ กลับถูกป่วนจนพังหมดแล้ว…แต่สำหรับมนุษย์พวกนี้ มันกลับกลายเป็นดับความหวังที่มีมาตลอด แต่อย่างนี้ก็ดีนะ ฉันก็ชอบเกมที่ไม่คาดคิดเหมือนกัน”

หลังจากพูดจบ คนคนนั้นพลันทิ้งศพลงพื้น จากนั้นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “คำพูดพวกนี้ ใครบางคนฝากฉันมาบอก! พวกแกรู้ไหมว่าศพนี้เป็นใครศพใคร? เขาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน…แต่พวกฉันจำเป็นต้องสู้กัน คนที่รอด ถึงจะได้มีโอกาสมาถ่ายทอดคำพูดพวกนั้นให้พวกแก” พูดไป เขาก็ยกเท้ากระทืบศพอย่างแรงอีกสองที แล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่อ ทั้งที่ดวงตาของเขากำลังหลั่งน้ำตาอย่างบ้าคลั่ง…

“แม่เอ็ง แกพูดบ้าอะไรวะ!” มู่เฉินก้าวถอยหลายก้าว ถลึงตาจ้องพวกเขา สองคนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ดูจากดวงตา พวกเขากลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว แต่พวกเขากลับยังมีความคิดที่ชัดแจ้งและความสามารถในการพูดอยู่ บนตัวพวกเขายังมีกลิ่นอายประหลาดมากแผ่อยู่รอบๆ อีกด้วย…

คนหนึ่งปากตะโกนบอกไม่ แต่ร่างกายกลับคลานเข้ามาเรื่อยๆ…อีกคนร้องไห้อย่างเศร้าโศกแสนสาหัส แต่กลับกระทืบศพใต้เท้าไม่ยั้ง…

“ผีเข้าสิงรึไงวะ! คิดจะเล่นละครห่วยๆ ตบตากันหรือไง!” เย่ไคพลันตะโกนด่าอย่างเย็นชา เขากระชับมีดเดินเข้ามา

“ใช่…ใช่แล้ว!” มู่เฉินดึงเย่ไคไว้ บอกว่า “เย่ไค นายพูดถูกแล้ว เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว…ฟังจากที่เขาพูด หลิงม่อต้องทำอะไรบางอย่างอยู่ข้างล่าง เพื่อพังแผนการของพวกเขาแน่ๆ ก่อนที่พวกเราจะมาตามหาคนพวกนี้ พวกเขาก็ถูกเล่นงานจนกลายสภาพไปเป็นอย่างนี้แล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ฝั่งหลิงม่อจะเป็นยังไงบ่าง เอาเป็นว่าทางพวกเรา…”

“เอาล่ะ…” ในที่สุดชายคนนั้นก็วางเท่าลง แล้วหันมาพูดกับพวกมู่เฉินต่อ “ที่แกพูด คือสิ่งที่ฉันต้องการสื่อ…เดิมที่ฉันแค่อยากเล่นเกมง่ายๆ นิดหน่อย แต่จะทำไงได้ล่ะ? เกมยังไม่ทันเริ่มก็จบซะแล้ว ดังนั้น ตอนนี้พวกเรามาเริ่มเล่นเกมใหม่กันเถอะ แกน่าจะรู้ คนที่ชื่อหลิงม่อนั่น มีสาวสวยอยู่ข้างกายสามคนใช่ไหม?”

“แกต้องการจะบอกอะไรกันแน่?” มู่เฉินหน้าถอดสีครั้งใหญ่

“หนึ่งในนั้นที่ผมยาวตาโต ตอนนี้อยู่ในสายตาของฉันแล้ว มาเดิมพันกันหน่อยไหมล่ะ? ถ้าหากพวกแกถูกพวกฉันจับได้ก่อน ฉันก็จะฆ่าเธอซะ ถ้าหากพวกแกกล้าตอบโต้ ฉันก็จะฆ่าเธอซะ นอกจากนี้…”

—————————————