บทที่ 253 เข้ารอบอย่างรวดเร็ว
นี่คือการโจมตีด้วยวิชาฝ่ามือเทพเจ้า ร้อยก้าวสู่ปรภพ!
หลังจากที่หลินเป่ยเฉินได้ฝึกฝนวิชานี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้ใช้มันออกมา
“สงสัยเรา…จะปล่อยพลังเยอะเกินไปใช่ไหมเนี่ย?” หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเองด้วยความปวดหัว
เขารู้สึกว่าตงฟางจันไม่ได้เก่งกาจเหมือนก่อนอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าหลี่ชิงสวน
เจ้าหน้าที่ชราผู้เป็นกรรมการกระโดดขึ้นมาบนเวทีประลองเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของตงฟางจัน
คนดูเงียบกริบ
การต่อสู้ครั้งนี้…จบลงแล้วหรือ?
ทำไมถึงได้รวดเร็วนัก?
พวกเขายังไม่ทันได้เริ่มต้นดูสักนิด
เสียงหัวเราะจากกลุ่มคนดูที่ตลกขบขันคำถามของหลินเป่ยเฉินที่ว่า “ข้าจัดการเขาได้หรือยังขอรับ?” ยังไม่ทันจางหายไปด้วยซ้ำ
“การประลองคู่แรก หลินเป่ยเฉินชนะ”
ในระหว่างที่แพทย์สนามหามตัวตงฟางจันลงไปจากเวที หลี่ชิงสวนก็ประกาศผลการแข่งขันของหลินเป่ยเฉิน “ตงฟางจันตกรอบ”
“รวดเร็วเกินไปแล้ว”
“ขอประท้วง นี่มันไม่คุ้มค่าตั๋วเข้าชมเลยนะ”
“ไม่เห็นจะตื่นเต้นเลย”
“ฝีมือของพวกเขาห่างชั้นกันมากเกินไป”
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าคนหลอกลวง จ่ายเงินค่าตั๋วของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้”
คนดูจำนวนมากไม่พอใจ หลายคนถึงกับสบถสาบานประโยคที่หลินเป่ยเฉินไม่คิดว่าจะได้ยินออกมา
แม้แต่คนที่ก่อนหน้านี้ยังส่งเสียงให้กำลังใจหลินเป่ยเฉิน ก็พลอยผสมโรงตะโกนต่อว่าเขาด้วยเช่นกัน
เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ให้ตายเถอะ เจ้าคนดูพวกนี้
เขาเองก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจะเข้ารอบอย่างรวดเร็ว
สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็เดินตามหลังเจ้าหน้าที่ลอดผ่านอุโมงค์กลับเข้าไปยังห้องแต่งตัวส่วนตัวหมายเลข 22 ด้วยสีหน้าบึ้งตึง
นี่คือการประลองรอบแรก
เมื่อมีผู้เข้าแข่งขันตกรอบครบ 20 คน การประลองรอบที่สองก็จะเริ่มขึ้น หลังจากนั้นก็ต้องมีคนตกรอบอีก 10 คน เหลือผู้เข้าแข่งขันที่จะได้เข้าสู่รอบสุดท้ายแค่ 10 คนเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์แข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มชิงธง
หลินเป่ยเฉินยังต้องประลองอีกหนึ่งครั้ง ถึงจะสามารถเข้าสู่รอบสุดท้ายได้สำเร็จ
อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น
หน้าจอที่ติดอยู่ในห้องแต่งตัวของเขา แสดงรายชื่อของคู่ประลองคู่ต่อไป
ปรากฏว่าเป็นหลิงเซวียนกับเด็กหนุ่มที่ชื่อมู่อวี่ซุน
ผลการประลองออกมาไม่ได้เหนือความคาดหมาย
หลิงเซวียนชักกระบี่ออกมาใช้เพียง 3 กระบวนท่าเท่านั้น ก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย!
หลังจากนั้น คังซานเสว่ มี่หรู่หยาน โจวเค่อและหวังซินอวี่ก็ผ่านเข้ารอบเช่นกัน
เนื่องจากคู่ต่อสู้ของพวกนางไม่แข็งแกร่งมากพอ
จนกระทั่งเยว่เว่ยหยางก้าวขึ้นสู่เวทีเท่านั้น บรรยากาศถึงได้กลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง
คิดไม่ถึงเลยว่าคู่ต่อสู้ของนักบวชสาวจะเป็นหลินอี้ ซึ่งมีรายชื่ออยู่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน 10 อันดับแรกเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินจ้องมองหน้าจอด้วยความสนใจ
ถึงแม้ว่าหลินอี้จะเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก กลับกลอกเจ้าเล่ห์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหมอนี่มีฝีมือแข็งแกร่งไม่ใช่เล่น ตลอดการแข่งขันที่ผ่านมาทำผลงานได้ดี สามารถรักษาตำแหน่งอยู่ใน 10 อันดับแรก และเป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองจำนวนมาก
แล้วหลินอี้จะสามารถรับมือเยว่เว่ยหยางได้หรือไม่?
บนเวทีประลอง
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าข้าจะต้องมาพบกับนักบวชเยว่ตั้งแต่รอบแรก”
หลินอี้โคจรพลังลมปราณโดยไม่รอช้า พลัน ร่างกายของเขาก็ปกคลุมไปด้วยม่านพลังสีแดง
ปรากฏว่าเด็กหนุ่มเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุเรียบร้อยแล้ว เขามีพลังปราณธาตุไฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าปราณธาตุศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่าเป็นพลังที่มีระดับการโจมตีรุนแรงมากที่สุด และบ่อยครั้งที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของพลังปราณธาตุแห่งการต่อสู้
ด้วยเหตุนี้ หลินอี้จึงมีความมั่นใจในตัวเอง
เยว่เว่ยหยางยังคงยืนอย่างสวยงามอยู่กลางเวที ยิ้มแย้มอ่อนหวานและพูดว่า “คุณชายหลิน เชิญท่านลงมือก่อน”
หลินอี้หัวเราะในลำคอ ตอบว่า “นักบวชเยว่คงรู้สึกว่าถ้าท่านลงมือก่อน ข้าคงไม่มีโอกาสได้โจมตีกระมัง?”
รอยยิ้มที่อ่อนหวานบนใบหน้าของเยว่เว่ยหยาง ยิ่งทำให้นางดูงดงามมากกว่าเดิม
“มิผิด” นักบวชสาวกล่าว
“หึหึ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจ” หลินอี้ใช้วิชาตัวเบาวิ่งวนรอบเวทีประลอง ร่างกายของเขาเป็นเหมือนลูกบอลไฟขนาดใหญ่ แล้วในพริบตานั้นเอง กระบี่สีแดงเพลิงเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา!
นี่คือกระบี่ที่มีไฟลุกด้วยพลังปราณธาตุ
อุณหภูมิบนเวทีประลองสูงขึ้นมาทันที
บรรดาคนดูยิ่งส่งเสียงตะโกนให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง
การที่คู่ประลองคู่นี้เป็นผู้เข้าแข่งขันจาก 10 อันดับแรกทั้งคู่ ทำให้การต่อสู้ดำเนินไปด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เยว่เว่ยหยางก็ยังคงได้รับความนิยมมากกว่าหลินอี้อย่างเห็นได้ชัด
นี่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ
รอยยิ้มที่อ่อนหวานของเยว่เว่ยหยางเป็นตัวแทนความศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งของวิหารเทพกระบี่ นางมีความงดงามจับขั้วหัวใจ อีกทั้งยังมีความสามารถในการรักษาอาการบาดเจ็บเป็นเลิศ!
แต่กลุ่มคนดูก็ต้องยอมรับว่าหลินอี้มีพลังแข็งแกร่งจนพวกเขาต้องประหลาดใจ
เปลวไฟจากพลังปราณธาตุของเขากำลังเผาไหม้
ร่างกายของหลินอี้แผ่รัศมีความร้อนออกมารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
จากตอนแรกมันเป็นเพียงเปลวเพลิงเบาบาง แต่บัดนี้ เปลวไฟจากร่างกายของเขาพุ่งสูงเท่ากับครึ่งตัวคน สีสันของเปลวไฟสว่างเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เส้นผมของหลินอี้ก็ดูเหมือนจะถูกเผาไหม้ไปแล้วเช่นกัน
ทันใดนั้น…
“วันนี้ท่านต้องตกรอบแล้ว!”
หลินอี้คำรามออกมาในขณะที่วิ่งวนรอบเวที พลัน ร่างกายของเขาก็เป็นเหมือนลูกบอลไฟพุ่งเข้าใส่เยว่เว่ยหยางด้วยความเร็วสายฟ้าฟาด
มวลอากาศรอบกายปะทุตัวดังเปรี๊ยะ
เปลวไฟแผ่กระจายเป็นระลอกคลื่น กลืนกินร่างของเยว่เว่ยหยางหายเข้าไปทั้งตัว
เหล่าคนดูพร้อมใจกันร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“นี่คือเพลงกระบี่ไฟโลกันต์!”
เสียงตะโกนของหลินอี้ดังกึกก้องทั่วหอประชุม
กระบี่ของเขาถูกตวัดออกไปในจังหวะที่อันตรายที่สุด และพลังทำลายล้างของมัน ก็รุนแรงถึงระดับที่สามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ไม่ยาก!
นี่คือท่าไม้ตายที่หลินอี้เก็บงำเอาไว้!
เขาไม่เปิดโอกาสให้เยว่เว่ยหยางได้ตอบโต้กลับแม้แต่น้อย
ขณะนี้ ดวงตาของเยว่เว่ยหยางเป็นประกายแวววาว ก่อนที่นางจะชักกระบี่ของตนเองออกมาปัดป้อง
เคล้ง! เคล้ง!
เสียงคมกระบี่ปะทะกันดังขึ้นในอากาศ
พลัน เบื้องหน้าของนักบวชสาวกลับมีม่านพลังที่เป็นรูปทรงกำแพงกระบี่ก่อตัวขึ้น ไม่ว่าหลินอี้จะโจมตีมาอย่างหนักหน่วงแค่ไหน ก็ไม่สามารถทะลวงกำแพงกระบี่เข้ามาได้เลย
วูบ!
เปลวไฟลุกโชนสูงมากขึ้น
เปลวไฟทวีความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น
เปลวไฟกระจายตัวเหมือนกับเกลียวคลื่นกระทบชายฝั่ง แผ่กระจายความร้อนระอุไปรอบทิศทาง
เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังขึ้นจากที่นั่งคนดู
แต่เมื่อเปลวเพลิงสลายตัว ทุกคนก็ได้เห็นว่าเยว่เว่ยหยางยังคงปลอดภัยอยู่ภายใต้การคุ้มกันของกำแพงกระบี่ ซึ่งไม่ได้เกิดความเสียหายแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่ากระบี่สีแดงเพลิงในมือของหลินอี้ จะไม่สามารถทำลายม่านพลังของเยว่เว่ยหยางได้จริงๆ
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ในแววตาของเขาปรากฏความเหลือเชื่อ
จังหวะนั้น คมกระบี่ในมือของเยว่เว่ยหยางก็สาดประกายบ้างแล้ว
มวลพลังที่กระแทกเข้ามาทำให้หลินอี้ลอยกระเด็นออกไป
ร่างของเขาหมุนคว้างกลางอากาศ หลินอี้รู้สึกเหมือนตนเองเป็นเพียงเมล็ดข้าวเล็กๆ ที่ลอยเข้ามาอยู่ในใจกลางพายุหมุน และยังไม่ทันที่ตัวของเขาจะตกกระทบพื้นเวที หูก็ได้ยินเสียงกระบี่แหวกอากาศตามติดเข้ามา
ควับ!
คมกระบี่สาดประกายแวววาว
หลินอี้รู้สึกเย็นวาบตามข้อมือ ข้อเท้าและใบหู
เมื่อร่างของเขาตกกระทบพื้นเวที เด็กหนุ่มก็อยู่ในสภาพที่เส้นผมบริเวณหน้าผากและข้างใบหูถูกฟันขาดเป็นกระจุก เช่นเดียวกับเสื้อผ้าบริเวณข้อมือและข้อเท้าก็เกิดรอยขาดเป็นรูโหว่ชัดเจน มิหนำซ้ำ ผิวหนังของเขายังปรากฏขีดแดงๆ ขึ้นมาเลือนลาง
หลินอี้เหงื่อออกท่วมกาย
เขารู้ดีว่านี่คือความเมตตาของเยว่เว่ยหยาง
หากนี่เป็นการต่อสู้ที่หมายมั่นเอาชีวิตกันจริงๆ คมกระบี่เหล่านี้คงฟันลงมาตามร่างกายของเขา และเขาก็คงตายไปนานแล้ว
หลินอี้ต้องตกรอบ
เด็กหนุ่มรู้สึกผิดหวัง
แต่มันเป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่ได้
…
“ยัยนักบวชนี่ก็โหดไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ”
ในห้องแต่งตัว หลินเป่ยเฉินกำลังนั่งขมวดคิ้ว
เขามั่นใจมาตลอดว่าฝีมือกระบี่ของตนเองไม่เป็นรองผู้ใด
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเยว่เว่ยหยางกลับสามารถสร้างม่านพลังขึ้นมาเป็นกำแพงกระบี่ นี่คือการใช้เวทมนตร์ใช่หรือเปล่า? ถ้าอย่างนั้นเท่ากับว่าเยว่เว่ยหยางทำผิดกติกาแล้วหรือไม่?
แต่ที่น่ากลัวก็คือ ดูเหมือนว่าจนถึงขณะนี้ เยว่เว่ยหยางก็ยังไม่ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาด้วยซ้ำ
แล้วฝีมือที่แท้จริงของนางจะน่ากลัวถึงขนาดไหนกัน!