บทที่ 254 พ่ายแพ้หน้าตาเฉย
หลินอี้เดินลงจากเวทีไปพร้อมกับความปราชัย
เขาไม่พอใจที่ตนเองพ่ายแพ้ให้กับเยว่เว่ยหยาง เขาไม่พอใจที่ฝีมือของตนเองยังต่ำต้อยมากเกินไป
เมื่อเผชิญหน้ากับนาง ประตูที่เขาจะเข้าสู่รอบสุดท้ายของการแข่งขันครั้งนี้ก็ปิดตายเรียบร้อยแล้ว
นับว่าเขาโชคร้ายเกินไปจริงๆ
หลินอี้คิดด้วยความเศร้า
หลินเจิ้นหนานผู้เป็นบิดายืนดูบุตรชายด้วยแววตาเคร่งเครียด
ที่พวกเขาสามารถเอาชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ ก็เป็นเพราะยอมละทิ้งศักดิ์ศรีและขอร้องอ้อนวอนให้องค์จักรพรรดิทรงเมตตา ในที่สุด หลินเจิ้นหนานก็ยังคงรักษาตำแหน่งขุนนางของตนเองเอาไว้ได้ และเขาคาดหวังว่าบุตรชายจะแสดงฝีมือในการแข่งขันครั้งนี้ ยกระดับพวกเขาสองพ่อลูกขึ้นไปแทนที่บิดาของหลินเป่ยเฉิน
หลินอี้เป็นอัจฉริยะประจำตระกูล
อย่างน้อยก็สมควรได้เข้ารอบสุดท้ายของการแข่งขันแบ่งกลุ่มชิงธง
นี่คือก้าวแรกของการประสบความสำเร็จ
แต่บุตรชายของเขายังไม่ทันจะขยับขาด้วยซ้ำ ก็ต้องมาพบเจอเยว่เว่ยหยางขวางทางเสียแล้ว
หลินเจิ้นหนานโกรธแค้นแต่ทำอะไรไม่ได้ เยว่เว่ยหยางเป็นนักบวชจากวิหารเทพกระบี่ ไม่ใช่คนที่ผู้ใดจะลบหลู่ดูหมิ่นได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น ชายชราจึงต้องกลืนความคับแค้นใจกลับลงคอไปอีกครั้ง
เสียงโห่ร้องให้กำลังใจเยว่เว่ยหยาง ทำให้หลินเจิ้นหนานรู้สึกระคายหูยิ่ง
บนเวทีประลอง
เยว่เว่ยหยางยังคงยืนงดงามดั่งเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ นางหันมายิ้มแย้มและประสานมือคำนับให้กับกลุ่มคนดูโดยรอบ
เสียงให้กำลังใจนางยิ่งดังมากขึ้น
หลินเป่ยเฉินที่นั่งดูอยู่ในห้องแต่งตัวรู้สึกขัดใจขึ้นมาชอบกล
ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด เยว่เว่ยหยางเอาชนะหลินอี้ได้รวดเร็วไม่แพ้เขา แล้วทำไมถึงไม่มีคนดูตะโกนด่านางบ้างล่ะ? แบบนี้มันเลือกที่รักมักที่ชังกันนี่นา
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความขมขื่น
หลังจากเปลี่ยนถ่ายพลังลมปราณเล็กน้อย บนหน้าจอถ่ายทอดสดก็ประกาศรายชื่อของคู่ต่อสู้คู่ต่อไป
“เฮ้อ ทำไมศิษย์พี่ฮันถึงได้ดวงซวยแบบนี้วะ…”
เมื่อเห็นรายชื่อของคู่ประลองที่ฮันปู้ฟู่ต้องพบเจอ หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว
เพราะคู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ฮันก็คือเด็กสาวยอดอัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวง หลิงเฉิน
จบกันศิษย์พี่
ณ ที่นั่งคนดูซึ่งจัดไว้ให้ตัวแทนจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม หลิวฉีไห่และคณะไม่ได้มีสีหน้าผิดหวังสักเท่าไหร่
ฮันปู้ฟู่มาได้ไกลถึงรอบนี้ ก็เกินฝันของพวกเขาแล้ว มีใครบ้างไม่อยากสร้างปาฏิหาริย์ให้เป็นจริง?
แต่คู่ต่อสู้ของเขาคือหลิงเฉิน แล้วฮันปู้ฟู่จะไปสร้างปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?
เมื่อหลิงเฉินเดินออกมาจากอุโมงค์ เสียงตะโกนให้กำลังใจก็โหมกระหน่ำราวกับคลื่นสึนามิ เป็นรองก็แต่เพียงเสียงให้กำลังใจตอนที่หลินเป่ยเฉินปรากฏตัวเท่านั้น
ชาวเมืองจำนวนไม่น้อยเคยได้ยินแต่เสียงเล่าลือว่าหลิงเฉินเป็นเด็กสาวที่มีหน้าตางดงามที่สุดในเมือง แต่พวกเขาไม่เคยเห็นตัวจริงของนางมาก่อน บัดนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว นับว่าหลิงเฉินมีความงดงามยิ่งกว่าข่าวลือ นางเปรียบเสมือนภาพวาดที่มีชีวิต มีแต่ต้องเห็นตัวจริงของนางเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าใจได้ว่าความงามที่แท้จริงเป็นเช่นไร
และเด็กสาวที่มีหน้าตางดงาม กิริยาอ่อนช้อยเช่นนี้ ไม่น่าจะหยิบจับกระบี่มาฆ่าฟันผู้คนได้เลย
แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากเยว่เว่ยหยางก็คือ ใบหน้าของหลิงเฉินไม่ได้ประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ถึงกระนั้น นางกลับทำให้บุรุษสามารถคุกเข่ายอมถวายชีวิตให้ โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ
เมื่อหลิงเฉินเดินขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลอง นางก็เปรียบเสมือนดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูหนาว สวยงามท่ามกลางความเย็นยะเยือก
ไม่มีใครทันสังเกตว่าในหอประชุมขณะนี้เงียบเสียงไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ทุกคนตกตะลึงกับความงามของนางจนลืมหายใจ
ราวกับพวกเขากลัวว่าถ้าหายใจออกมาดังมากเกินไป มันจะไปทำลายความสวยงามที่บริสุทธิ์ดั่งเทพธิดาของหลิงเฉิน
แม้แต่หลินเป่ยเฉินที่ไม่ได้อยากข้องเกี่ยวอะไรกับนาง เมื่อได้เห็นเด็กสาวยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเวทีประลอง หัวใจของเขาก็เต้นตึกตักผิดจังหวะขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
และผู้ที่กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามหลิงเฉินก็คือฮันปู้ฟู่ เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากอย่างไรชอบกล
“คุณหนูหลิง ต้องรบกวนท่านแล้ว”
ฮันปู้ฟู่เลิกคิดฟุ้งซ่าน ประสานมือคำนับคู่ต่อสู้
หลิงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดคำใด
นี่คือนิสัยประจำตัวของนาง
นอกจากหลินเป่ยเฉิน นางก็ไม่ค่อยพูดคุยกับใครทั้งสิ้น
ฮันปู้ฟู่ไม่ได้เก็บมาคิดใส่ใจ เขาชักกระบี่ออกมาและโคจรพลังลมปราณ เตรียมตัวใช้กระบวนท่ากระบี่ตัดภูผา หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็ถลันกายไปข้างหน้าและลงมือโจมตีโดยทันที!
เขามีพลังปราณธาตุดิน เป็นพลังแห่งความอดทน เหมาะสมกับการตั้งรับที่สุด
เพลงกระบี่ตัดภูผาคือวิชาที่อาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม เลือกสอนให้แก่ฮันปู้ฟู่โดยเฉพาะ เพราะว่ามันเหมาะสมกับพลังปราณธาตุดินของเขา และสามารถรีดเค้นระดับพลัง ณ ปัจจุบันของเด็กหนุ่มออกมาได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ฮันปู้ฟู่แทงกระบี่ออกไปข้างหน้า
ได้ยินเหมือนเสียงภูเขาถล่มทลาย
แม้ว่าเพลงกระบี่นี้จะเป็นวิชากระบี่ระดับ 2 ดาว แต่ฮันปู้ฟู่กลับสามารถใช้งานมันออกมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เขาเน้นที่การป้องกันมากกว่าการบุกทะลวง และละกระบี่ที่จู่โจมออกไป จะใช้พลังแค่เจ็ดส่วน ฮันปู้ฟู่รอที่จะใช้พลังเต็มอัตราก็ตอนโต้กลับเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องทำคือการรอคอยจังหวะที่เหมาะสม
หลิงเฉินชักกระบี่ออกมาจากฝักและพุ่งเข้ามารับการโจมตีจากฮันปู้ฟู่
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
คมกระบี่ปะทะกัน ประกายไฟสาดกระจาย
ฮันปู้ฟู่ถูกแรงปะทะจากกระบี่เล่นงานจนเซถอยหลังมาหลายก้าว เขารวบรวมพลัง แล้วโจมตีกลับไปด้วยความหนักหน่วงมากกว่าเดิม
เด็กหนุ่มเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับคลื่นยักษ์ เขาพยายามยืนหยัดอยู่ที่เดิม กัดฟันใช้กระบวนท่ากระบี่ตัดภูผาออกมาให้ดีที่สุด
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
ประกายไฟสาดกระจายต่อเนื่อง
กลุ่มคนดูเห็นเพียงคมกระบี่ปะทะกันไม่ได้หยุด และพวกเขาแทบมองไม่ออกแล้วว่า เงาร่างทั้งสองบนเวทีประลองนั้นใครเป็นใครกันแน่
การต่อสู้ดำเนินไปราว 20 ลมหายใจ
ฮันปู้ฟู่รู้สึกหมดเรี่ยวแรงเหมือนจะถือกระบี่ไม่ไหว แขนซ้ายของเขาชาดิก ไม่สามารถใช้กระบวนท่ากระบี่ตัดภูผาได้อีกต่อไป
เขากำลังจะชักกระบี่กลับคืนมา เพื่อยอมรับความพ่ายแพ้
แต่ในจังหวะนั้นเอง พลังกดดันที่คุกคามเข้ามาก็สลายหายไป
“ข้าไม่สามารถทำลายกระบวนท่าของท่านได้ ถือว่าข้าพ่ายแพ้แล้ว” หลิงเฉินสอดกระบี่กลับฝัก ก่อนที่จะหมุนตัวเดินลงจากเวทีไปหน้าตาเฉย
“คุณหนูหลิง ท่าน…”
ฮันปู้ฟู่เบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น หลิงเฉินก็เดินหายลับกลับเข้าไปในอุโมงค์แล้ว
ทุกสายตาเฝ้ามองด้วยความไม่อยากเชื่อ
จนกระทั่งกรรมการประกาศผลการแข่งขันว่าฮันปู้ฟู่เป็นผู้ชนะการประลอง กลุ่มคนดูถึงได้รู้ตัวว่าพวกเขาไม่ได้ฝันไป!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“หลิงเฉินยอมแพ้อย่างนั้นหรือ?”
“เมื่อสักครู่นี้…เด็กแซ่ฮันกำลังจะแพ้อยู่แล้วนี่นา?”
“หรือว่านางกลัวอะไร?”
“เหลวไหล หลิงเฉินเป็นบุตรสาวอัจฉริยะของท่านผู้ว่า นางยังจะต้องกลัวใครอีก?”
บรรดาคนดูเริ่มถกเถียงกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ในห้องแต่งตัว เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่ประลองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างก็นั่งดูหน้าจอถ่ายทอดสดด้วยความมึนงงไม่แพ้กัน
โดยเฉพาะหลินอี้ เขาถึงกลับกระอักเลือดออกมาด้วยความช้ำใจ
ในจำนวนผู้เข้าแข่งขันทั้ง 40 คน ทำไมฮันปู้ฟู่ถึงได้โชคดีอย่างนี้ หลิงเฉินถึงกับยอมแพ้หลีกทางให้เข้าสู่รอบต่อไป แล้วทำไมเยว่เว่ยหยางไม่ทำแบบนั้นกับเขาบ้าง?
“หลิงเฉินเป็นอะไรไปนะ?” ในห้องแต่งตัวของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
อยู่ดีๆ นางก็เหมือนจะไม่สนใจการแข่งขันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
โดยเฉพาะการประลองครั้งนี้ ชัดเจนว่าหลิงเฉินไม่ต้องการเข้าสู่รอบต่อไป
ในห้องแต่งตัวของเยว่เว่ยหยาง นักบวชสาวกำลังกัดริมฝีปาก ใบหน้าประดับรอยยิ้มเหยียดหยาม
เจ้าทำได้ แต่ข้าทำไม่ได้
ข้าเป็นตัวแทนของวิหาร
ไม่ใช่ว่าตัวแทนจากวิหารจะพ่ายแพ้ไม่ได้ แต่นางไม่สามารถพ่ายแพ้เอาดื้อๆ อย่างที่หลิงเฉินทำได้เด็ดขาด
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้ ข้าจะพ่ายแพ้ให้กับนางเสียแล้วสิ”
แม้บนใบหน้าจะประดับรอยยิ้มเหยียดหยามดังเดิม แต่ในดวงตาของเยว่เว่ยหยางกลับส่อแวววิตกกังวลยิ่งนัก