บทที่ 255 แอบตกลงกันเรื่องอะไร
หลี่สงฟู่ เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองนั่งขมวดคิ้วอยู่บนที่นั่งของแขกระดับสูง
ผู้ที่ฝึกวิทยายุทธ์อย่างจริงจังล้วนมองออกว่าหลิงเฉินเจตนาถอนตัวออกจากการแข่งขัน และนางไม่ยอมจู่โจมกระบวนท่าที่จะสามารถสลายการป้องกันของฮันปู้ฟู่ได้
แต่นางทำเพราะเหตุใดกัน
เหมือนกับว่าหลิงเฉินไม่มีความสนใจที่จะแข่งขันต่อไปอีกแล้ว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
หลี่สงฟู่พยายามคิดหาคำตอบ
ตระกูลหลิงมีสถานะสูงส่งในจักรวรรดิ
แล้วบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลจะรู้สึกอย่างไรบ้างกับพฤติกรรมของหลิงเฉินในครั้งนี้?
หรือว่านี่คือการส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง?
จากหลายเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก็พอจะตีความได้เช่นกันว่าตระกูลหลิงไม่ค่อยสนใจการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองในครั้งนี้สักเท่าไหร่
ตัวอย่างเช่น ระหว่างพิธีเปิดการแข่งขัน หลิงจุนเซวียนซึ่งมีสถานะเป็นผู้ว่าการเมืองกลับไม่ค่อยยินดีออกมาปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ต้นจนจบของพิธีการ
นี่แสดงให้เห็นถึงสิ่งใดกันแน่?
ในปีที่ผ่านมา จักรวรรดิเป่ยไห่และจักรวรรดิจี้กวงปะทะกันดุเดือดอยู่ที่เขตชายแดนเหนือ สถานการณ์ทางการเมืองของทั้งสองจักรวรรดิอยู่ในสภาวะตึงเครียด ว่ากันว่ามันเป็นเหตุผลที่ทำให้ดินแดนตงเต้าไม่มั่นคงและอาจเปิดโอกาสให้กองทัพจากต่างแดนแทรกซึมเข้ามาได้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว …หลี่สงฟู่คิดได้ดังนี้ก็เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
นับตั้งแต่ที่หลินจิ้นหนานถูกปลดออกจากตำแหน่ง เขาก็รู้สึกได้ถึงพายุลูกใหญ่ที่กำลังจะโหมกระหน่ำเข้ามา
“ใต้เท้าขอรับ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชาพลันปรากฏตัวขึ้นด้านข้างและโน้มกายเข้ามากระซิบกระซาบว่า “มีแขกระดับสูงจากกระทรวงศึกษาเดินทางมาขอรับ ใต้เท้าออกไปรับหน้าเขาผู้นั้นก่อนดีกว่า”
“หืม?” หลี่สงฟู่เลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “ใต้เท้าฟางเพิ่งจะเดินทางกลับไปไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงมีคนใหม่มาแทนอีกเล่า?”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไปพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงศึกษาผู้มาเยือน
…
ณ จวนผู้ว่า
“เฮ้อ ยัยหนูกำลังคิดอะไรอยู่นะ?”
หลิงจุนเซวียนค่อยๆ วางถ้วยชาลงบนโต๊ะขณะมองหน้าจอถ่ายทอดสดที่แขวนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ซึ่งกำลังแสดงผลการแข่งขันบุตรสาวของเขา หลิงจุนเซวียนหันกลับมามองหน้าภรรยาและพูดด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง “ก่อนหน้านี้นางบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะอย่างไรก็ต้องคว้าตำแหน่งผู้ชนะการแข่งขันมาให้ได้? แล้วทำไมอยู่ดีๆ ยัยหนูถึงได้ยอมแพ้ง่ายดายขนาดนี้เล่า?”
ชินหลันซูมีสีหน้าเรียบเฉย ยิ้มมุมปากเล็กน้อยตอนที่ตอบว่า “ยอมแพ้ก็ดีแล้ว การแข่งขันเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์กับตระกูลหลิงอยู่แล้ว และสำหรับเฉินเอ๋อร์ มันก็มีแต่ทำให้นางเสี่ยงต่ออันตรายเท่านั้น ข้าไม่เห็นด้วยที่นางจะเข้าแข่งขันตั้งแต่แรก แต่ในเมื่อเฉินเอ๋อร์ยืนกราน ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ บัดนี้ เมื่อนางหมดความสนใจ มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้…” หลิงจุนเซวียนหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง “แต่ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
ชินหลันซูพลันนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงด้วยสิ เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงศึกษามาที่เมืองของเราไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมท่านถึงยังไม่ออกไปต้อนรับเขาอีก? ดูเหมือนว่าช่วงหลังท่านจะปฏิบัติหน้าที่เจ้าเมืองบกพร่องเหลือเกิน ท่านจะทำตัวเป็นท่านพ่อไปอีกคนหรือไร?”
หลิงจุนเซวียนพูดเสียงอ่อย “ท่านพ่อเก่งกาจยิ่งกว่าเทพเจ้า แล้วข้าจะทำตัวเหมือนเขาได้อย่างไร…”
ชินหลันซูสะบัดมือตบโต๊ะดังปัง นางเลิกคิ้วขึ้นสูง กล่าวว่า “นี่ท่านเห็นว่าพฤติกรรมลุ่มหลงในสุรานารีของท่านพ่อ คือความเก่งกาจยิ่งกว่าเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ถ้วยชาที่อยู่ในมือของหลิงจุนเซวียนสั่นระริก เมื่อกวาดตามองพบว่าไม่มีผู้ใดอยู่รอบข้าง บุรุษซึ่งเป็นผู้ว่าการประจำเมืองก็ไถลตัวลงจากเก้าอี้ คุกเข่าลงต่อหน้าภรรยา และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “เมียจ๋า ข้าไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นเลยจริงๆ…”
ชินหลันซูถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
สุดท้ายก็เป็นเช่นนี้ทุกที
นางยื่นมือออกไปปล่อยพลังลมปราณดันสามีให้ลุกขึ้นยืน “ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้ด้วย…อย่าลืมสิว่าท่านเป็นถึงเจ้าเมืองแล้วนะ จะมาคุกเข่าต่อหน้าข้าบ่อยๆ ได้อย่างไร?”
หลิงจุนเซวียนยิ้มกริ่ม ยกมือปาดเหงื่อออกไปจากหน้าผาก และนั่งลงไปที่เก้าอี้ตัวเดิม
“เห็นว่าการแข่งขันคราวนี้ กระทรวงศึกษาส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาสังเกตการณ์อยู่หลายคน ข้าดูออกว่าเจ้าลูกศิษย์อัจฉริยะจากเมืองไป๋หยุนผู้นั้นมันมีเจตนามาป่วนการแข่งขันตั้งแต่แรก แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะเข้าไปก้าวก่าย ปล่อยให้กระทรวงศึกษาดูแลกันไปเองก็แล้วกัน” หลิงจุนเซวียนอธิบาย
“หืม? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ชินหลันซูพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “มิน่าเล่า กำลังจะเริ่มการแข่งขันอยู่แล้ว เหล่าอาจารย์ระดับสูงจากสถาบันกระบี่ส่วนกลางถึงดูไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ ปกติพวกเขาต้องส่งคนมาดูแววผู้เข้าแข่งขันตั้งแต่รอบแรกแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลิงจุนเซวียนพยักหน้า “แต่ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้พวกเขามีลูกศิษย์เต็มจำนวนแล้ว ยังไม่ต้องรีบเร่งรับลูกศิษย์เพิ่ม แต่ถ้ามีผู้เข้าแข่งขันคนใดแสดงความสามารถออกมาได้เตะตาผู้คน เดี๋ยวสำนักกระบี่ส่วนกลางก็ส่งคนมาทาบทามเองนั่นแหละ ดีไม่ดีอาจจะอนุญาตให้ลูกศิษย์ใหม่ได้เลื่อนชั้นโดยไม่ต้องรอด้วยซ้ำ”
“แต่นั่นมันเกิดขึ้นได้ยากมากไม่ใช่หรือ?”
ชินหลันซูเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ “ถ้าข้าจำไม่ผิด เรื่องราวเช่นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากองค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิเป่ยไห่ให้ความสำคัญที่การศึกษาเป็นอย่างมาก การอนุญาตให้ลูกศิษย์ใหม่เลื่อนชั้นได้ตามใจชอบ ไม่ถือว่าเป็นการขัดต่อหลักการขององค์จักรพรรดิหรือเจ้าคะ”
หลิงจุนเซวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เจ้าพูดถูก แต่นั่นมันเป็นเรื่องในอดีต ไม่กี่เดือนก่อนทางวังหลวงได้แก้กฎหมายใหม่และปรับเปลี่ยนข้อกำหนดบางประการ ทำให้ในขณะนี้ มือกระบี่สามารถเข้าศึกษาต่อที่สำนักกระบี่ส่วนกลางได้ง่ายมากขึ้น และพวกเขาก็มีโอกาสที่จะได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าเดิม”
ชินหลันซูได้แต่พยักหน้า ไม่พูดอะไร
นางมองหน้าสามี ก่อนจะมองออกไปนอกห้องโถงใหญ่
ในสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ ไม่รู้เลยว่ามีลมโชยพัดตั้งแต่เมื่อไหร่ กิ่งไม้ถึงได้โบกสะบัดอยู่อย่างนั้น
…
การประลองรอบแรกจบลง โดยต้องใช้เวลาทั้งหมดถึง 2 ชั่วยามเต็มๆ
เฉาพั่วเถียนเข้ารับการทดลองเป็นคนสุดท้าย เขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ไม่พลิกโผ
เด็กหนุ่มผมทองยังคงแสดงความแข็งแกร่งออกมาดังเดิม
ทำให้คู่ต่อสู้ต้องตกรอบไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บสาหัส
สำหรับคนที่พ่ายแพ้ การแข่งขันในรอบนี้ก็จบลงแล้ว
มีผู้เข้าแข่งขันต้องตกรอบไปอีก 20 คน
บัดนี้ เป็นช่วงเวลารับประทานอาหารกลางวัน
การประลองยุติลงชั่วคราว
และจะกลับมาแข่งขันกันต่ออีกครั้งในรอบบ่าย
หลายวันที่ผ่านมานี้ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างก็มาฝากท้องที่โรงอาหารของสถานศึกษากระบี่หลวง
แต่ผู้ที่ตกรอบต้องออกไปหาอาหารรับประทานเองที่นอกสถาบัน
หลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อย ฮันปู้ฟู่ก็ขอให้หลินเป่ยเฉินช่วยใช้วงแหวนวารีฟื้นฟูร่างกายของเขาให้กลับมาสมบูรณ์มากที่สุด เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ฮันปู้ฟู่ก็ขอตัวกลับมานั่งโคจรพลังอยู่ในห้องแต่งตัวของตนเอง
อีกแค่รอบเดียวเท่านั้น ฮันปู้ฟู่ก็จะได้เข้าสู่รอบ 10 คนสุดท้ายแล้ว
เขาแค่ต้องชนะอีกครั้งเดียว
ต่อให้มีโอกาสเพียงน้อยนิด ฮันปู้ฟู่ก็จะไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด
สิ่งสำคัญก็คือการแข่งขันในครั้งนี้ ฮันปู้ฟู่มาเพื่อตัวของเขาเอง และมาเพื่อศักดิ์ศรีของสถานศึกษากระบี่ที่สาม
ในเวลาเดียวกันนั้น หลินเป่ยเฉินออกมารับธนูเหล็กไหลและศรมังกรบินทั้ง 40 ดอกที่หน้าประตูสถานศึกษา หลู่หลิงโจวเดินทางมาส่งมอบให้เขาด้วยตนเอง หลินเป่ยเฉินเห็นว่ายังเหลือเวลาพอสมควรก่อนเริ่มการแข่งขันรอบต่อไป เขาจึงเดินหิ้วธนูขึ้นไปที่หน้าผาริมทะเลทางทิศตะวันตกของสถานศึกษากระบี่หลวง หวังจะฝึกฝนทักษะการยิงธนูเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยก่อนใช้งานจริง
แต่เมื่อเดินมาถึงริมหน้าผา หลินเป่ยเฉินก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้า เมื่อเห็นว่าหลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยางกำลังยืนอยู่ห่างกันประมาณ 2 วา สายตาของทั้งสองกำลังจ้องมองท้องทะเลภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบ ดูเหมือนว่าพวกนางกำลังพูดคุยอะไรบางอย่าง แต่หลินเป่ยเฉินอยู่ไกลมากเกินไป จึงไม่ได้ยินว่าบทสนทนากำลังกล่าวถึงเรื่องราวใดบ้าง
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
หรือว่าหลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยางแอบมาตกลงกัน ว่าจะแบ่งสันปันส่วนร่างกายของเขาอย่างไรดี?
เพียงคิด หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่หว่างขาขึ้นมาทันที