บทที่ 256 จะยิงดีหรือไม่
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนกระโดดเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังโขดหินก้อนหนึ่ง
ขืนปรากฏตัวออกไปตอนนี้ ถ้าเกิดหลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยางหน้ามืดเพราะความรักเข้าตามากเกินไป จนสุดท้ายก็ร่วมมือร่วมใจกันมาฉีกกระชากร่างเขาทั้งเป็น หลินเป่ยเฉินจะไม่แย่เอาหรือ?
เสือตัวเดียวจะไปรับมือกับหมาป่าสองตัวได้อย่างไร
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าเด็กสาวทั้งสองมีความน่ากลัวขนาดไหน
หากพวกนางร่วมมือกัน เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้
แต่หลังจากเฝ้ามองอีกเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะภาพแห่งความสยดสยองที่จินตนาการเอาไว้มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง
หลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยางพูดคุยด้วยความผ่อนคลาย เหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี พวกนางยังคงจ้องมองท้องทะเลที่อยู่ห่างไกลออกไป และกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง…
แต่เนื่องจากว่าหลินเป่ยเฉินอยู่ไกลมากเกินไปและเสียงลมก็ค่อนข้างแรง ต่อให้เด็กหนุ่มจะพยายามฟังเต็มที่ เขาก็ยังจับใจความไม่ได้อยู่ดีว่าพวกนางคุยกันเรื่องอะไร
ทว่า สัญชาตญาณก็บอกหลินเป่ยเฉินว่า เนื้อหาที่พวกนางพูดคุยกันนั้น คงไม่ได้มีความสุขสนุกสนานเหมือนบรรยากาศแน่ๆ
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่น่าไว้ใจ
เขาเห็นว่าเยว่เว่ยหยางซ่อนกระบี่อยู่ด้านหลัง
เป็นสัญญาณที่บอกว่านักบวชสาวพร้อมที่จะลงมือโจมตีได้ทุกเมื่อ
แต่หลิงเฉินก็ยังคงมีท่าทีเยือกเย็นอยู่เช่นเดิม
สุดท้าย เยว่เว่ยหยางก็พูดอะไรบางอย่าง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากมา
ทิ้งให้หลิงเฉินยืนอยู่ที่ริมหน้าผาเพียงลำพัง
นางไม่ได้ชำเลืองมองกลับไปที่เยว่เว่ยหยางสักนิด แต่ยังคงยืนอยู่ในความเงียบ เหม่อมองท้องฟ้าที่อยู่เหนือผืนทะเล ราวกับว่ากำลังดื่มด่ำทิวทัศน์อันงดงามเบื้องหน้า
ลมทะเลโชยพัดมาจากเส้นขอบฟ้า พัดพาเส้นผมของหลิงเฉินปลิวไสวเสมือนเปลวไฟสีดำที่กำลังลุกโชน
โลกทั้งใบคล้ายกับเป็นสีดำ
หลินเป่ยเฉินชั่งใจอยู่สักครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจหมุนตัวเดินจากมา
แต่เขาเพิ่งจะหันหน้ามาเท่านั้น เด็กหนุ่มก็ต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย เพราะสังเกตเห็นว่าใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป ร่างกายที่สูงโปร่งของใครบางคนกำลังจ้องมองหลิงเฉินด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความเทิดทูนบูชายิ่งชีวิต
ดูจากสายตาของเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้ว หลินเป่ยเฉินเข้าใจได้ทันทีว่าหลิงเฉินเป็นเสมือนโลกทั้งใบของเขา
ว่าแต่เจ้าหมอนั่นมันเป็นใครหว่า?
เด็กหนุ่มคนนั้นจ้องมองหลิงเฉินด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความหลงใหล
เหมือนคนที่แอบมาเฝ้ามองหญิงสาวเจ้าของดวงใจ โดยที่นางก็ไม่รู้ตัวว่าเขามีความรู้สึกเช่นไร
ช่างน่าสงสารเหลือเกิน หลินเป่ยเฉินเกิดความรู้สึกสมเพชเวทนาเด็กหนุ่มคนนั้นยิ่งนัก เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่หลิงเฉินจะมาหลงรักคนอย่างเจ้าหมอนั่น
หลินเป่ยเฉินทำใจดูต่อไปไม่ได้ ก็ล่าถอยออกมาเงียบๆ
ผ่านไปชั่วเวลา 1 ก้านธูป หลิงเฉินถึงได้หันหน้ากลับมาจากทะเล
ทันใดนั้น เด็กสาวเผยรอยยิ้มที่แสนสดใส ร้องเพลงพลางกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข นางกางแขนออกกว้างสัมผัสกับสายลม บรรยากาศคึกคักแจ่มใส คล้ายกับว่าหลิงเฉินไม่ได้อยู่ในตัวตนเจ้าหญิงจอมเย็นชาอีกต่อไป…
นี่ไม่ใช่ตัวตนของหลิงเฉินที่คนทั่วไปจะได้พบเห็น
นางเปลี่ยนไปเหมือนกับเป็นคนละคน
รอยยิ้มของนางช่างอ่อนหวาน แม้ในยามที่วิ่งไปเด็ดดอกไม้ข้างทางก็ตาม
แต่แล้วหลิงเฉินก็หันมาเห็นว่าหลิงเซวียนกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
สีหน้าของนางกลับมาเย็นชาทันที
บรรยากาศเปลี่ยนไปเหมือนตะวันตกดินและมีดวงจันทร์ขึ้นมาแทนที่ ความอบอุ่นในดวงตา กลายเป็นความเย็นชาที่น่าขนลุกเมื่อจ้องมองหลิงเซวียน
เด็กหนุ่มทำได้เพียงประสานมือก้มหัวคำนับในความเงียบ
“ไสหัวไปซะ”
หลิงเฉินพูด
หลิงเซวียนไม่กล่าวว่าอะไร ได้แต่หมุนตัวเดินจากมา
…
3 เค่อต่อมา
“หลินเป่ยเฉิน!”
“หลินเป่ยเฉิน!!!”
เสียงตะโกนจากคนดูจำนวน 6,000 ชีวิตดังกึกก้องสนามประลองอีกครั้ง
คนดูเหล่านี้ช่างเอาใจยากเหลือเกิน
เมื่อตอนเช้ายังร่วมมือร่วมใจกันด่าเขาอยู่เลย บัดนี้กลับมาส่งเสียงเชียร์กันอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินเดินขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลอง รู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมาอย่างประหลาด
เพราะว่าคู่ต่อสู้ของเขาในรอบนี้ ก็ยังไม่ใช่เฉาพั่วเถียน
แต่หลินเป่ยเฉินจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างก็อยากเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มชิงธงในฐานะหัวหน้าทีมทั้งนั้น ที่นี่มีความฝันจำนวนมากที่รอการเปลี่ยนสภาพเป็นความจริง
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกเสียใจก็คือ คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก เพียงเห็นหน้าก็รู้สึกใจอ่อน ไม่อยากจะทำร้ายนางเลย
คู่ประลองของเขาในรอบนี้ คือเด็กสาวร่างบาง มี่หรู่หยาน
“คุณชายหลิน ต้องรบกวนท่านแล้ว”
มี่หรู่หยานเดินมายืนอยู่กลางเวทีและชักกระบี่ออกจากฝัก ร่างกายของนางบอบบางราวกับกิ่งไม้ แววตาที่จ้องมองมายังหลินเป่ยเฉินบอกชัดถึงความไม่เป็นมิตร
แต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรง นับตั้งแต่ที่หลินเป่ยเฉินใช้ยารักเดียวไม่มอดไหม้วางยาสลบเสือสายฟ้า เหล่าผู้เข้าแข่งขันหญิงก็มักจะมองเขาด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์เช่นนี้อยู่แล้ว
หลินเป่ยเฉินมองหน้ามี่หรู่หยานด้วยความลังเลใจ
ลองยิงเลยดีไหมนะ?
หรือว่าจะปล่อยผ่านไปก่อนดี?
ตอนแรก หลินเป่ยเฉินคิดจะฝึกฝนการยิงศรมังกรคราสด้วยการใช้มันกับคู่ต่อสู้ในรอบนี้ แต่เมื่อเห็นเด็กสาวร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาก็รู้สึกว่าตนเองออกจะใจร้ายเกินไปหน่อย ถ้าใช้ลูกธนูเหล็กยิงใส่นางไปอย่างนั้น
ทว่า แววตาของหลินเป่ยเฉินกลับยิ่งทำให้มี่หรู่หยานเข้าใจเขาผิดมากกว่าเดิม
ความโกรธแค้นปะทุขึ้นในดวงตาของนาง
วูบ!
มี่หรู่หยานขยับเข้ามาโจมตี คมกระบี่สาดประกายแล้ว
ร่างกายของนางเคลื่อนไหวได้รวดเร็วราวกับสายลม
“ยัยนี่มีพลังปราณธาตุลมเหรอวะเนี่ย”
เป็นครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินต้องฉากหลบการโจมตีของคู่ต่อสู้
พลังปราณธาตุลมไม่ได้อยู่หนึ่งในห้าพลังปราณธาตุศักดิ์สิทธิ์ก็จริง แต่พลังในการโจมตีนั้นไม่ต่ำต้อย มีจุดเด่นอยู่ที่เรื่องของความเร็ว กระบี่ในมือนางเคลื่อนไหวรวดเร็วเสียจนหลินเป่ยเฉินมองแทบไม่ทัน และวิชาตัวเบาที่มี่หรู่หยานใช้ออกมาอีกเล่า เรียกได้ว่าแม้แต่วิญญาณภูตพรายก็ยังมีความเร็วได้ไม่เท่ากับนางด้วยซ้ำ
วูบ!
คมกระบี่สาดประกายแวววับ
เพียงพริบตาเดียว มี่หรู่หยานก็เข้ามาประชิดตัวเด็กหนุ่มได้สำเร็จ
กระบี่ของนางแทงเข้าใส่หว่างคิ้วของหลินเป่ยเฉิน
กระบี่ยังมาไม่ถึง
แต่ลมจากกระบี่มาถึงแล้ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหว่างคิ้ว
เขาต้องหมุนตัวตีลังกาหลบการโจมตี
ยัยเด็กนี่เล่นแรงเกินไปแล้วนะ
คิดอยากจะทำให้ใบหน้าของเขาเสียโฉมหรืออย่างไร?
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจได้แล้ว
เขาจะไม่ใช้ศรมังกรคราสกับนาง
กระบี่สำรองทั้งสองเล่มที่ได้มาจากร้านหัวค้อนเหล็ก พลันปรากฏขึ้นในมือของหลินเป่ยเฉิน
กระบี่ในมือซ้ายยกขึ้นมาปัดป้องการโจมตี ได้ยินเสียงดังเคล้ง ประกายไฟสาดกระจาย ปรากฏว่าเขาสามารถรับการโจมตีจากกระบี่ในมือมี่หรู่หยานได้อย่างแม่นยำ
ในเวลาเดียวกันนั้น กระบี่ที่มือขวาก็ตวัดฟันแทงออกไปอย่างรุนแรง ทำให้เด็กสาวต้องล่าถอยอย่างไม่มีทางเลือก
เห็นได้ชัดกว่ามี่หรู่หยานก็หวาดเกรงพลังการโจมตีของเขาอยู่ไม่น้อย
แต่นางก็มีปฏิกิริยาฉับไว เมื่อล่าถอยไปอยู่ในระยะห่าง 10 วาเศษ ก็โคจรพลังลมปราณเตรียมตัวตั้งรับการโจมตีจากหลินเป่ยเฉิน
แต่เขาไม่ได้ตามติดเข้าไป
เพราะเด็กหนุ่มทำในสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด
เขาเดินมาหยุดยืนอยู่ที่กลางเวที ยกกระบี่ในมือทั้งสองข้างขึ้นมาไขว้กันบริเวณหน้าอก โดดเด่นสะดุดสายตาของผู้ชมทั่วทั้งหอประชุม และแน่นอนว่าภาพของเขากำลังฉายไปทั่วหน้าจอถ่ายทอดสดตลอดทั้งเมือง
ขณะนี้ ทุกคนได้เห็นแล้วว่าบนกระบี่ของเขามีตัวอักษรสีแดงถูกเขียนเอาไว้ โดยที่ตัวอักษรบนกระบี่ในมือซ้ายนั้นอ่านได้ความว่า…
“ร้านกระบี่อาจารย์ฟานสาขาเมืองหยุนเมิ่ง”
และข้อความที่อยู่บนกระบี่ในมือขวาก็คือ…
“ผู้ได้รับรางวัลร้านขายกระบี่ขวัญใจมหาชน 10 ปีซ้อน!”
ให้ตายเถอะ
หลินเป่ยเฉินอาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัวโฆษณาสินค้าอีกแล้วหรือ?
กรรมการผู้ยืนอยู่ข้างเวทีแทบบ้าตาย
เสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นในหอประชุมพลันชะงักขาดหายด้วยความตกตะลึง
ทั้งที่กำลังแข่งขันอยู่แท้ๆ
แต่เด็กหนุ่มกลับยังมีกะจิตกะใจมาโฆษณาสินค้าได้ลงคอ
นับว่าหลินเป่ยเฉินไร้ยางอายเกินที่ผู้ใดจะเทียบเคียงได้อีกแล้ว !!!