บทที่ 271 การเชิญของราชายุทธ์สำนักฉางเหอ
หลังจากขึ้นมาบนเรือรบ หลัวซิวบอกให้ปี้เซียนเสว่มาอยู่ห้องเดียวกับตัวเอง เพื่อไม่ให้คนของราชวงศ์ตระกูลฝาน ทำร้ายเธอ
“เราจะทำยังไงดี” ปี้เซียนเสว่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ทั้งกลัวผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์สามคน ของราชวงศ์ตระกูลฝาน และกังวลว่าหลัวซิวจะพลอยติดร่างแหจากเรื่องนี้
เพราะถ้าไม่ใช่เพื่อจัดการสยบวิญญาณที่เธอโดน หลัวซิวคงไม่ต้องมาติดร่างแหไปด้วย
“ไม่ต้องกังวล ถ้าเรื่องสยบวิญญาณถูกพูดออกไป เพียงพอที่จะทำให้ราชวงศ์ตระกูลฝาน เสื่อมเสียชื่อเสียง ขอแค่มีเรื่องนี้อยู่ในมือฉัน พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรเราง่ายๆ” หลัวซิวเอ่ยขึ้น
เวลาสามวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ในช่วงนี้ สี่อำนาจใหญ่ ล้วนตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนปริศนา ฝานเฟยหยางก็ไม่ได้มาหาเรื่องหลัวซิวกับปี้เซียนเสว่
วันนี้ สำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ ส่งคนมาข้างนอกห้องหลัวซิวกับปี้เซียนเสว่
“สงสัยในตัวฉันหรือไง”
เมื่ออีกฝ่ายมาหาถึงที่ หลัวซิวรู้ทันทีว่าเพราะอะไร เพราะมีคนเห็นเขาเข้าไปในถ้ำโบราณเป็นจำนวนมาก สุดท้ายคนที่เข้าไปในถ้ำโบราณ มีเพียงเขากับปี้เซียนเสว่ ที่ถูกส่งออกมา ไม่มีทางที่จะไม่โดนสงสัย
“เดี๋ยวตอนที่ไป บอกว่าหลังจากเข้าไปในถ้ำ ไม่เคยเจอใคร เห็นซากศพในสำนักเท่านั้น” หลัวซิวพูดกับปี้เซียนเสว่
ปี้เซียนเสว่ฉลาดเป็นกรด เมื่อได้ยินก็เข้าใจความหมายของหลัวซิว เพราะเรื่องแบบนี้ ยิ่งอธิบายก็จะยิ่งเผยพิรุธได้ง่าย สู้กัดฟันไม่ยอมรับว่าเจอใครจะดีกว่า ในเมื่อทำให้คนสงสัยแล้ว อีกฝ่ายไม่มีหลักฐาน ก็ทำอะไรตัวเองไม่ได้
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองเห็นราชายุทธ์สองคน ของสำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ
สำหรับเรื่องที่ถ้ำโบราณ หลัวซิวกับปี้เซียนเสว่ พูดตามบทที่ได้ปรึกษากันล่วงหน้า ดึงดันว่าทั้งสองคนไม่เคยเจอใครในถ้ำ
ราชายุทธ์ของสำนักเสวียนหยางขมวดคิ้ว จ้องไปทางหลัวซิว “ที่ปากถ้ำโบราณมีวิชาห้ามค่ายกล ต้องมีตัวสำนึกฝึกจิตขั้น9 ขึ้นไป ถึงจะเข้าไปได้ แต่นายยังพาปี้เซียนเสว่เข้าไปได้ด้วย หรือว่าวิญญาณตัวสำนึกของนาย ถึงแดนราชายุทธ์แล้ว”
แน่นอนว่าหลัวซิวไม่ยอมรับเรื่องนี้ อธิบายว่า “ผู้น้อยมีผลการฝึกตนแค่ฝึกจิตขั้น7 ไม่มีพลังตัวสำนึกแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่อาศัยสมบัติชิ้นหนึ่ง จึงสามารถพาปี้เซียนเสว่เข้าไปด้วยกันได้”
ระหว่างที่พูด หลัวซิวเอายันต์หยก ออกมาจากแหวนเก็บของ
ราชายุทธ์ของสำนักเสวียนหยาง ยื่นมือมาคว้า กำยันต์หยกเอาไว้ในมือ ใช้ตัวสำนึกตรวจสอบ จู่ๆ สีหน้าก็อึมครึม “คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบเหรอ นี่เป็นแค่ยันต์หยกธรรมดา ไม่ได้สลักสัญลักษณ์ลายเส้นค่ายกลอะไรทั้งนั้น”
“ผู้น้อยมิกล้า ยันต์หยกใบนี้ ตอนแรกมีตราสำนึกระดับราชายุทธ์อยู่ข้างใน หลังเข้าไปในถ้ำนั้น สูญเสียการจู่โจมตัวสำนึกไปในสำนักนั้น ดังนั้นจึงกลายเป็นยันต์หยกธรรมดา” หลัวซิวอธิบายด้วยสีหน้าปกติ
“หึ โกหกไร้สาระ ดูเหมือนข้าไม่ทำอะไร นายก็จะไม่พูดความจริงใช่ไหม” ราชายุทธ์ของสำนักเสวียนหยาง สีหน้าโมโห อำนาจอันแข็งแกร่ง พุ่งเข้าไปกดดันหลัวซิว
ขณะเดียวกัน พลังตัวสำนึกที่แข็งแกร่งโถมเข้ามา จะแทงเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของตัวเอง ต้องรู้แน่นอนว่าตัวสำนึกของตัวเอง ถึงแดนกลายรูปแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ถึงเขามีร้อยปาก ก็ไม่สามารถโต้แย้งได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลัวซิวกัดฟัน จะรีบทำลายตัวสำนักกลายรูปในตัวหยั่งรู้ทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ พลังตัวสำนึกของเขาจะลดจากราชายุทธ์ขั้น2 เป็นฝึกจิตขั้น7
ถึงตัวสำนึกลดต่ำลง ก็จะให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวสำนึกของตัวเอง ถึงระดับราชายุทธ์ขั้น2 ไม่ได้ ไม่งั้นการตายของกู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ จะโยนความผิดมาที่ตัวเอง
“กู้โจว๋เสวียน นายจะเกินไปแล้ว”
ขณะที่หลัวซิวเตรียมจะทำลายตัวสำนึกของตัวเอง ราชายุทธ์สำนักฉางเหอ ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นทันที
พลังตัวสำนึกขัดขวางตัวสำนึกของราชายุทธ์สำนักเสวียนหยางเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ขจัดพลานุภาพของอีกฝ่าย
คนที่ลงมือ เป็นราชายุทธ์ของสำนักฉางเหอคนนั้น
“เหลียงชิวจู่ว นายหมายความว่ายังไง” กู้โจว๋เสวียนถามเย็นชา
“ยังไงนายก็เป็นผู้อาวุโสราชายุทธ์ กลับลงมือตรวจสอบตัวหยั่งรู้ของคนรุ่นเด็ก เกินไปหน่อยหรือเปล่า” เหลียงชิวจู่วพูดอย่างไม่สนใจ
“ข้าสงสัยว่าการตายของกู้เค่ออาน เกี่ยวข้องกับเขา ตรวจสอบหน่อยจะเป็นไรไป ยิ่งไปกว่านั้น ซือโคงสวี่ของสำนักฉางเหอของพวกนาย ไม่แน่อาจตายเพราะฝีมือไอ้เด็กนี่ก็ได้!” กู้โจว๋เสวียนพูดอย่างเคร่งขรึม
“ฉันรู้ว่ากู้เค่ออานเป็นหลานชายของนาย แต่ฉันคิดว่าการตายของเขากับซือโคงสวี่ น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับหลัวซิว ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน นายจะตรวจสอบตัวหยั่งรู้ของเขา การกระทำนี้ดูวู่วามไปหน่อยนะ”
ระหว่างที่พูด เหลียงชิวจู่วยิ้มแล้วมองหลัวซิว “ผู้น้อยพรสวรรค์โดดเด่น ไม่ทราบว่าสนใจมาพัฒนาในสำนักฉางเหอไหม”
เหลียงชิวจู่วก็สงสัยว่าการตายของกู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ เกี่ยวข้องกับหลัวซิว แต่เขาไม่สนใจสักนิด เพราะถึงซือโคงสวี่เป็นอัจฉริยาที่ไม่เลว แต่ยังไงก็ตายไปแล้ว
อัจฉริยะที่ตายไปแล้ว ไม่มีค่าอะไรทั้งนั้น ถึงหาฆาตกรมาได้ แล้วจะทำอะไรได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเอาอัจฉริยะที่โดดเด่นกว่าซือโคงสวี่ มาอยู่ในสำนักฉางเหอได้ ไม่ดีกว่าหรือไง
มีหรือที่หลัวซิวจะไม่เข้าใจความหมายของเหลียงชิวจู่ว แต่เขาไม่มีความคิดจะเข้าสำนัก
ถ้าปฏิเสธอีกฝ่ายตรงๆ ขืนเหลียงชิวจู่วโกรธขึ้นมา จะทำยังไง
ช่วงเวลากะทันหัน ความคิดต่างๆ นานาผุดขึ้นในหัวหลัวซิว
สามอำนาจใหญ่รอบประเทศเทียนหวู สำนักเสวียนหยางมีสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์ตระกูลฝาน ตำหนักจื่อมีอำนาจครอบครองส่วนหนึ่ง ตำแหน่งสูงส่ง เว้นแต่สำนักฉางเหอ ที่เหมือนจะมีความขัดแย้งกับตำหนักเสวียนหยางค่อนข้างมาก
หลัวซิวเงียบพักหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “ขอบคุณความเมตตาของผู้อาวุโส แต่ตอนนี้ผู้น้อยยังไม่มีความคิดเข้าสำนัก……”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหลียงชิวจู่วขมวดคิ้ว เห็นหลัวซิวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ชี้ปี้เซียนเสว่ที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “พรสวรรค์เซียนเสว่สูงมาก อายุ 19 ปี ก็มีผลการฝึกตนถึงฝึกจิตขั้น6 แถมยังมีร่างแห่งเสวียนหยิน ศักยภาพยิ่งใหญ่มาก”
“ร่างแห่งเสวียนหยินงั้นเหรอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไม่เพียงแค่เหลียงชิวจู่ว ขนาดกู้โจว๋เสวียน ก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน
คุณสมบัติร่างกายที่พิเศษตั้งแต่เกิด เจอได้น้อยมาก แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แต่ละคนเป็นอัจฉริยะชั้นยอดทั้งนั้น ทุกครั้งที่ปรากฏตัว จะโดนอำนาจใหญ่ต่างๆ แก่งแย่งช่วงชิง ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะ
“แม่นาง ยอมเข้าสำนักฉางเหอไหม ฉันจะให้เธอเป็นศิษย์คนสำคัญ ได้รับการอบรมที่ดีที่สุดของสำนัก!” เหลียงชิวจู่วพูดขึ้นทันที
“ถ้าเธอเข้ามาในสำนักเสวียนหยาง ไม่ว่าเธอต้องการอะไร ข้าจะรับปากทุกอย่าง” กู้โจว๋เสวียนวางเรื่องการตายของกู้เค่ออานเอาไว้ชั่วคราว และรีบพูดออกมาทันที
นี่เป็นร่างแห่งเสวียนหยิน ที่พบได้น้อย ถ้าเติบโตขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงราชายุทธ์ เป็นจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่ลำบากเลย อีกทั้งยังมีโอกาสถึงมกุฏยุทธ์ หรือแดนที่สูงยิ่งกว่า!