บทที่ 466 บริษัทอสังหาริมทรัพย์
บทที่ 466 บริษัทอสังหาริมทรัพย์
“คนพวกนั้นจะตื่นเต้นมาก ตอนนี้คนอื่นมักมาขอให้ตระกูลหลี่ของเราช่วยเหลือ ถ้าคนคนนั้นทำตัวดี ฮ่าวหรานจะยื่นมือเข้าไปช่วยแน่นอน”
“…”
เสียงกระซิบนินทาของคนในตระกูลตรงข้ามกับไม่กี่เดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง ทุกคนต่างออกปากยกยอเขาเป็นเสียงเดียวกัน…
“พี่เขย พวกเขากำลังพูดถึงพี่น่ะ”
หลี่หรงพูดขณะเหลือบมองสมาชิกตระกูลที่ยืนอยู่ข้างทางเดิน
“ช่างพวกเขาเถอะ
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ว่าร้ายและไม่ทำให้อึดอัด ชายหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจคนพวกนั้น
ทั้งสองเดินเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลหลี่
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในลานบ้าน ทั้งสองก็ได้ยินเสียงหลี่จิงเทียนมาจากระยะไกล
“ฮ่า ๆ ฉันยอมตายดีกว่ายอมก้มหัวให้พวกมัน! ทุกคนรู้อะไรไหม? จู่ ๆ พี่เขยก็ตอบตกลงแข่ง! ไอ้พวกตระกูลเส้าไม่รู้ว่าเขาเก่งแค่ไหนเลยหัวเราะเยาะ ฮึ่ม ไอ้พวกโง่ แกประเมินพี่เขยฉันต่ำเกินไปแล้ว!”
“สุดท้ายแล้วผลเป็นยังไง? เกิดอะไรขึ้น?”
“หลี่จิงเทียนอย่ามัวแต่ชักช้า รีบเล่าเร็วเข้า”
“…”
คนหนุ่มสาวและเด็ก ๆ หลายคนยืนล้อมรอบหลี่จิงเทียนต่างถามด้วยความสงสัย
หลี่จิงเทียนภูมิใจในเรื่องนี้มาก
“ในที่สุดการแข่งขันก็เริ่มขึ้น! พี่เขยไม่สนใจแข่งกับพวกมันด้วยซ้ำ แต่พวกมันมั่นใจมากว่าจะเอาชนะพี่เขยได้ พวกนายรู้ไหมหลังจากปล่อยตัว รถทุกคันก็แล่นออกไปทันที แต่พี่เขยฉันยังอยู่ที่เส้นปล่อยตัว เขารอให้พวกนั้นนำหน้าไปก่อน”
เขาเล่าการแข่งขันในวันนั้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นอย่างมาก เขาจดจำการแข่งขันในวันนั้นไปจนตาย
“ไม่กี่นาที? เขาตามทันด้วยเหรอ?”
“ใช่แล้ว หลี่จิงเทียนนายไม่ได้โม้ใช่ไหม ฉันเคยไปสนามที่นั่น พวกเขาแข่งกันไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ แล้วเขาจะให้คู่แข่งล่วงหน้าไปก่อนได้ยังไง?”
“พวกนายไม่เชื่อเหรอ? ฮ่า ๆ เด็กน้อยเอ๋ย ฉันเล่าความจริงทั้งนั้น เชื่อฉันเถอะ!”
หลี่จิงเทียนหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ
“หลี่จิงเทียน ถ้าพี่ไม่เล่า พวกเราจะไปแล้วนะ!”
เด็กหญิงอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีเบิกตากว้างขณะพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สนใจบทสนทนาของคนกลุ่มนั้นสักเท่าไหร่
“พี่เขยดูพี่รองสิ เขาภูมิใจอะไรนักหนา? ทำกับว่าตัวเองเป็นคนแข่งชนะยังงั้นแหละ”
หลี่หรงกระแนะกระแหนพี่ชาย
พี่ชายคนรองชอบโอ้อวดให้เด็ก ๆ ในตระกูลฟังเสมอ
“ฮ่า ๆ ปล่อยเขาไปเถอะ”
อวี้ฮ่าวหรานโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นทั้งสองจึงเดินเข้าไปในห้องรับแขกของคฤหาสน์
ขณะเดียวกัน หลี่จิงเทียนก็สังเกตเห็นพี่เขยจากหางตา
“เอ๊ะ! พี่เขย! พี่มาเร็วจังเลย”
เมื่อเห็นทั้งสองคนมาถึง เขาก็หยุดเล่าแล้วรีบวิ่งไปทักทายพี่เขยและน้องสาวทันที
“อืม”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า หลี่หรงก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้
“พี่รอง! พี่เก่งจริง ๆ วันนั้นฉันก็อยู่ด้วยนี่นา ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าพี่ยอมตายดีกว่ายอมก้มหัวให้พวกมันล่ะ?”
“ฮี่ฮี่…ฉัน ฉันแค่พูดเล่นน่ะ”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเผชิญหน้ากับน้องสาว เขาก็มักจะถูกอีกฝ่ายพูดเสียดสีทุกครั้ง
“อวี้ฮ่าวหราน! คุณคืออวี้ฮ่าวหรานจริง ๆ ด้วย! หล่อชะมัด! ไม่เหมือนที่พ่อเล่าเลยสักนิด”
“อวี้ฮ่าวหราน อวี้ฮ่าวหราน! เล่าผลการแข่งขันวันนั้นให้พวกเราฟังหน่อยสิคะ!”
“ใช่ ๆ พี่หลี่จิงเทียนชอบโม้เกินจริงตลอดเลย”
ทันใดนั้นเด็ก ๆ อายุสิบหกสิบเจ็ดปีก็วิ่งเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้ก่อนถามเกี่ยวกับผลการแข่งขัน
อวี้ฮ่าวหรานตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อถูกรายล้อมไปด้วยเด็กสาววัยรุ่นเหล่านี้ เขาไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรจึงชะงักไปชั่วครู่ ก่อนหันมองหลี่จิงเทียนอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขา!
แต่หลี่หรงกลับเป็นฝ่ายไม่พอใจเมื่อเห็นอย่างนั้น!
“ไป ไป ไป! เด็กพวกนี้! จะไปทำอะไรก็ไปทำซะ!”
เธอรีบโบกมือไล่เด็กสาวกลุ่มนั้น หญิงสาวไม่อยากให้เด็กสาวพวกนี้สนิทสนมกับพี่เขยแม้แต่นิดเดียว!
ถ้าเด็กพวกนี้สนิทกับพี่เขยแล้ว มีหวังเธอต้องคอยปกป้องกันเขาจากเด็กสาวพวกนี้ทุกวันแน่!
เธอรู้ดีว่าพี่เขยหล่อเหลาและมีเสน่ห์มาก!
คนที่อายุน้อยน้อยที่สุดในกลุ่มเด็กสาวมีอายุแค่สิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าพวกเธอเพิ่งแตกเนื้อสาว
หลี่หรงซึ่งเป็นทายาทรุ่นสองของตระกูลหลี่โบกมือไล่เด็กสาวเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง ต่อให้ไม่พอใจ แต่พวกเธอก็ต้องยอมเดินจากไปอยู่ดี
“ฮ่า ๆ พี่เขย ผมเล่าวีรกรรมเท่ ๆ ของพี่ให้พวกเขาฟังเยอะเลย ผมรู้เมื่อก่อนพวกเขาไม่ค่อยชอบพี่ ผมว่ามันเป็นความคิดที่แย่มาก”
หลี่จิงเทียนอธิบายด้วยความประหม่า
อวี้ฮ่าวหรานนึกรังเกียจเขาขึ้นมาทันใด สถานะเขาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าอคติกับเขาแล้วล่ะ
หลี่หรงพยักหน้า
“พี่รอง พี่ชอบประจบประแจงตั้งแต่เมื่อไรเหรอ?!”
เธอจำได้แม่นยำว่าไม่มีใครในตระกูลหลี่กล้าสั่งสอนพี่รองของเธอ ดังนั้นเขาจึงทำตัวเอาแต่ใจ และนอกจากนี้ตระกูลหลี่ก็มีผู้อาวุโสเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
หลี่จิงเทียนชะงักไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาคิดในแง่ดีว่ามันเป็นคำชมเชยจากน้องสาว
“ฮ่า ๆ เรื่องนั้น…เราไปที่ห้องรับแขกกันก่อนเถอะ พ่อและคนอื่น ๆ คุยเรื่องธุรกิจกันอยู่ที่นั่นก่อนกินอาหารเย็นน่ะ”
หลังจากชะงักไป เขาก็พูดต่อ
ทั้งสองคนไม่ตอบ แต่เดินเข้าไปในห้องรับแขกคฤหาสน์ตระกูลหลี่ด้วยกัน
หลังจากเดินเข้าไปในห้องโถง อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ยินบทสนทนาต่าง ๆ ที่มีชื่อเขาอยู่ในนั้นด้วย
“นี่…ครั้งที่ก่อนฮ่าวหรานช่วยพวกเราแล้ว นายไม่คิดว่ามันมากไปหน่อยเหรอถ้าจะให้เขาช่วยเราอีก”
“ช่วยไม่ได้ ฉันไม่มีทุนสำรองสำหรับบริษัทอสังหาฯ เลย ฉันไม่อยากเสียที่ดินทำเลดีไป อีกอย่างฉันไม่อยากแย่งชิงที่ตรงนั้นกับพวกบริษัทเล็ก ๆ ด้วย”
“จริงสิ เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันได้ยินว่าฮ่าวหรานเพิ่งซื้อบริษัทอสังหาฯ นายน่าจะไปขอโอกาสกับเขานะ”
“…”
การสนทนาเหล่านั้น ทำให้คิ้วของอวี้ฮ่าวหรานขมวดเข้าหากัน
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย
ไม่นานหลังจากอวี้ฮ่าวหรานเข้าไปในห้องรับแขก คนทั้งสามก็หันมองเขาทันที
“ฮ่าวหรานมาถึงแล้วเหรอ! มา ๆ! นั่งลงสิ!”
เมื่อหลี่ชงซานสังเกตเห็นผู้มาเยือน เขาก็ลุกยืนขึ้นแล้วทักทายด้วยความตื่นเต้นทันที
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเบา ๆ จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเขาไม่ได้เจอกันแค่สองสามวัน แต่พ่อตากลับดูแก่ลงมาก
เมื่อคิดอย่างนั้น เขาก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายมีอายุห้าสิบเกือบหกสิบแล้ว
เขาจำได้เลือนรางอีกฝ่ายเคยบริหารบริษัทในเครือตระกูลหลี่มาก่อน และตอนนี้เกษียณออกไปแล้ว แถมยังมีผมหงอกมากขึ้นอีกด้วย
ข้าง ๆ หลี่ชงซานคือชายชราที่มีผมและหนวดสีขาว ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเจ้าของวันเกิดที่จัดขึ้นในวันนี้
หลังจากมองสำรวจอย่างละเอียดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็เดินไปบนโซฟาที่ตั้งอยู่ข้างผนังห้องรับแขกด้วยท่าทางสบาย ๆ
ถึงในห้องรับแขกจะมีผู้อาวุโสหลายคนอยู่ในนั้นด้วย แต่ก็ไม่มีใครกล้าตำหนิเขาแม้แต่คนเดียว
ปัจจุบันนี้บริษัทที่อยู่ในเครือตระกูลหลี่ต่างจับมือช่วยเหลือกันและกันไม่มากก็น้อย
แน่นอนว่าเครือฮ่าวหรานก็เป็นเหมือนกระดูกสันหลังของตระกูลหลี่อย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยว่าเป็นตระกูลใหญ่ เมื่อถึงวันรวมญาติของตระกูลหลี่ ทุกคนรวมไปถึงคนที่หายหน้าหายตาไปนานก็จะมารวมตัวกันทุกครั้ง