บทที่ 467 ภายใต้เนตรเทวะ

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 467 ภายใต้เนตรเทวะ

บทที่ 467 ภายใต้เนตรเทวะ

“ฮ่าวหราน ไม่ได้เจอกันหลายวัน หลี่จิงเทียนลูกฉันก่อปัญหาบ้างไหม?”

หลี่ชงซานถามถึงความเป็นไปของหลี่จิงเทียนเป็นอย่างแรก สิ่งที่เขากังวลที่สุกคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะก่อปัญหาแล้วทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ

“พ่อ พูดอะไรน่ะ ผมเชื่อฟังพี่เขย ไม่ทำให้เขาต้องปวดหัวแล้ว ครั้งล่าสุด…”

“แค่ก ๆ อย่าพูดแทรก!”

จู่ ๆ หลี่อิงไห่ก็โพล่งออกมาขัดบทสนทนา

หลี่จิงเทียนยังจำสีหน้าเยาะเย้ยของหลี่อิงไห่ตอนที่เห็นตัวเองทำผิดพลาดได้อย่างแม่นยำ!

“หลี่อิงไห่! อายังโกรธผมอยู่เหรอ? ผมบอกเลยว่าถ้าไม่ใช่เพราะพี่เขย…”

“หุบปาก!”

หลี่จิงเทียนขมวดคิ้วพร้อมตวาดเสียงดังด้วยความโมโห

“เขาเป็นอารองของแก! แกกล้าดียังไงถึงเรียกชื่อจริงเขา?”

“แม่งเอ๊ย! อารอง! พ่อลืมไปแล้วเหรอว่าเขาเคยหัวเราะเยาะพวกเรา?”

นอกจากพี่เขยของเขา หลี่จิงเทียนก็ไม่เคยเคารพคนอื่นเลย

“ตึก! ตึก!”

ขณะเดียวกันผู้อาวุโสลำดับสองของตระกูลหลี่ ซึ่งมีผมและหนวดเคราสีขาว อายุราว ๆ เจ็ดสิบปีก็ใช้ไม้เท้าเคาะพื้นอย่างแรง

“แก! ออกไปเดี๋ยวนี้!”

ผู้อาวุโสลำดับสองของตระกูลหลี่โกรธหลี่จิงเทียนมาก! เพราะเขาให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโสอย่างมาก

“ได้ยินไหม! ไอ้หลานไม่รักดี! ออกไปซะ!”

หลี่ชงซานรู้สึกกังวลเล็กน้อย ต่อให้มีอคติกับหลี่อิงไห่ แต่เขาพูดออกมาในสถานการณ์นี้ได้ยังไง?

ไอ้ลูกโง่!

หลี่อิงไห่ยังคงนิ่งเงียบ ขณะมองหลานชายที่ลุกขึ้นยืนด้วยสายตาไม่พอใจ

เมื่อก่อนเขาเกลียดหลานชายคนนี้มาก! แต่ตอนนี้กลับรู้สึกมีความสุขกว่าเดิมเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าหลี่จิงเทียนยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาผุดลุกยืนขึ้นเพื่อโต้เถียงผู้อาวุโส แต่เมื่อมองไปที่อวี้ฮ่าวหราน สายตาของเขาก็เปลี่ยนไป

อารมณ์โกรธที่เคยพลุ่งพล่านก็ค่อย ๆ เย็นลง

“ผม…ผมออกไปก็ได้”

เขาไม่กลัวฟ้าดิน แต่กลัวว่าพี่เขยจะมองตัวเองเป็นคนไม่ดี…จึงรีบวิ่งออกจากห้องรับแขกด้วยความสิ้นหวัง

เมื่อเห็นอย่างนั้น ผู้อาวุโสลำดับสองแห่งตระกูลหลี่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะจึงหันมองหลี่ชงซานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

“ชงซาน แกสอนลูกยังไง เขาถึงก้าวร้าวอย่างนี้!”

“ครับ เป็นความผิดผมเองครับอารอง!”

หลี่ชงซานไม่กล้าแย้งอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขาจึงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ

“ไม่เหมือนฮ่าวหรานลูกเขยตระกูลหลี่ของเราเลย”

ผู้อาวุโสลำดับสองหันมองอวี้ฮ่าวหรานที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะด้วยสายตาชื่นชม

เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสลำดับสองให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมากกว่าหลานชายผู้ไม่เอาอ่าว

แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่ใส่ใจเรื่องนี้สักนิดเดียว

เขาสนใจบทสนทนาของคนตระกูลหลี่ที่อยู่ข้างนอกเมื่อครู่มากกว่า

“ผมได้ยินคนข้างนอกพูดคุยกันว่ามีสมาชิกตระกูลหลี่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยเหรอครับ?”

เมื่อเขาพูดอย่างนั้น ภายในห้องโถงก็เงียบลงทันที

ไม่กี่วินาทีต่อมา สมาชิกตระกูลหลี่คนหนึ่งก็ลุกยืนขึ้น

“ฉันเอง ฉันเป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเงินมาหมุนเวียนเลยทำให้บริษัทใกล้ล้มละลาย”

ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมที่นั่งอยู่ข้างประตูเป็นคนตอบ ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่แก่สักเท่าไหร่

“ฉันอยากขอให้นายช่วย ฮ่าวหราน…ถ้านายตอบตกลง ฉันจะยกที่ดินผืนที่นายต้องการให้ หรือ…”

ชายวัยกลางคนอธิบาย ด้วยท่าทีลังเล

“พูดต่อสิ น่าสนใจดีนะ”

อวี้ฮ่าวหรานบอกให้อีกฝ่ายอธิบายต่อ

“หรือ…นายจะควบรวมบริษัทของฉันเข้ากับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชิงปังแลกกับหุ้นบางส่วนก็ได้ ธุรกิจนี้ไม่เหมาะกับฉันจริง ๆ”

ชายวัยกลางคนเสนอข้อแลกเปลี่ยนด้วยท่าทีท้อแท้

“คุณอยากได้หุ้นกี่เปอร์เซ็นต์? ถ้าเป็นบริษัทในเครือ ผมจะแบ่งให้คุณสิบเปอร์เซ็นต์และถ้าอยากได้มากกว่านั้น คุณสามารถซื้อเอง”

ความโลภเข้าเกาะกุมจิตใจอวี้ฮ่าวหราน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเสนอข้อแลกเปลี่ยน

ชายวัยกลางคนประหลาดใจอย่างมาก!

“นาย…นายเห็นด้วยเหรอ? นี่…นี่ดีกว่าที่ฉันคิดซะอีก!”

แม้จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ แต่ในตอนนี้เขากลับไม่สามารถเสาะหาที่ดินทำเลดีได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป มีหวังบริษัทต้องล้มละลายแน่นอน

เมื่อถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่รายรับเลย เขาจะต้องแบกหนี้จำนวนมหาศาลทั้งหมดไว้คนเดียว

การที่อีกฝ่ายซื้อบริษัทเขาก็เป็นเหมือนการให้ถ่านกลางหิมะ!

“โอเค ตกลงตามนั้น หลังจากกลับไป ผมจะส่งคนไปประเมินค่าบริษัทแล้วแปลงเป็นหุ้นและเงินสดในส่วนของบริษัทอสังหาฯ ชิงปัง”

อวี้ฮ่าวหรานตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

เขารู้สึกอุ่นใจที่จะลงทุนกับคนตระกูลหลี่มากกว่านายทุนคนอื่น แต่ตอนนั้นเอง หลี่อิงไห่ก็โพล่งขึ้น

“ฮ่าว…ฮ่าวหราน…นายอยากได้ผู้จัดการบริษัทอสังหาฯ ไหม?”

เขาถามตรงประเด็น

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองอีกฝ่ายทันที

“คุณทำได้เหรอ?”

“ฉัน ฉันเคยเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เมื่อเจ็ดแปดปีที่แล้ว ก่อนก่อตั้งบริษัทของตัวเองน่ะ”

หลี่อิงไห่ลังเลชั่วครู่ก่อนแนะนำตัว

“หือ? คุณไม่ทำงานบริษัทอิงเหมาแล้วเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วพร้อมถามด้วยความสงสัย

“ตอนนี้สถานการณ์ในบริษัทอิงเหมาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ความต้องการในตลาดอุตสาหกรรมเครื่องยนต์มีไม่มากเท่าเมื่อก่อน ฉันเลยไม่ต้องทำอะไรมาก”

หลี่อิงไห่อธิบายเหตุผล นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่เขาคาดหวังอะไรบางอย่าง

“ฉันอยากทำงานในบริษัทอสังหาฯ ชิงปัง ฉันมั่นใจว่ามีประสบการณ์มากพอ!”

ดวงตาเขาเปล่งประกายด้วยความหวังอันริบหรี่ ถ้ายังทำงานที่บริษัทอิงเหมาต่อไป เขาคงได้เป็นมนุษย์เงินเดือนไปตลอดชีวิต ซึ่งรายได้ดังกล่าวไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาด้วยซ้ำ

“คุณต้องการหุ้นของชิงปังไหม?”

อวี้ฮ่าวหรานสามารถมองทะลุจิตใจของคนตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย

“อืม ฉันอยากได้หุ้นบริษัทชิงปัง เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันรับรองได้ว่าบริษัทชิงปังจะได้รับกำไรมหาศาลภายในครึ่งเดือน!”

หลี่อิงไห่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองหมดหนทางอย่างที่หลี่จิงเทียนสบประมาท เพราะก่อนหน้านี้เขาค้นคว้าข้อมูลและเตรียมการเป็นเวลานานสำหรับเรื่องนี้

หลังจากได้ยินคำยืนยัน ใบหน้าของอวี้ฮ่าวหรานก็เปลี่ยนเป็นพึงพอใจทันที

“ผมแบ่งหุ้นของบริษัทชิงปังให้คุณก่อนสองเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ารายได้ของบริษัทเป็นไปตามที่คุณพูด ผมจะพิจารณาเพิ่มให้เป็นห้าเปอร์เซ็นต์”

“โอเค! ไม่มีปัญหา!”

หลี่อิงไห่ตื่นเต้นอย่างมาก เขาจึงตอบตกลงทันควัน นี่มันราบรื่นกว่าที่เขาคาดไว้ซะอีก!

“ตกลงตามนั้น”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าพร้อมตอบอีกฝ่าย แต่ขณะเดียวกันสีหน้าของเขากลับเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม

“สุดท้ายแล้วผมขอถามคุณอีกอย่างสิ”

เขาเหลือบตาขึ้นมองหลี่อิงไห่เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่โกหก

“คุณไม่โกรธที่ผมฮุบบริษัทคุณเหรอ? ไม่คิดจะแก้แค้นเลยสักนิด?”

ทันทีที่เขาพูดแบบนั้น เสียงกระซิบในห้องโถงก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เม็ดเหงื่อจึงได้ผุดขึ้นบนหน้าผากของหลี่อิงไห่

เขารู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายสามารถอ่านใจตัวเองได้ นี่ไม่มีความเป็นส่วนตัวเอาซะเลย!