หงส์เพลิงยักษ์สีน้ำเงินบินวนกลางอากาศรอบหนึ่ง ก่อนจะกระพือปีกบินกลับมา ครั้นแตะถึงพื้นก็กลายเป็นเทพบุตรหนุ่มในชุดนักรบสีดำสนิท เขายกมือขึ้นแล้วเก็บมีดขนนกนั้นไว้ข้างเอวตามเดิม อัญมณีสีแดงเพลิงบนหน้าผากแกว่งไกวไปมาน้อยๆ
นับตั้งแต่ที่รู้จักกับเซ่าอี๋มา เสวียนอี่มักรู้สึกว่าเซ่าอี๋ทำให้นางรู้สึกแปลกๆ ยิ่งนัก ซึ่งนางเองก็บอกไม่ถูกว่านั่นเป็นความรู้สึกอย่างไรและยิ่งไม่เคยคิดอย่างละเอียดด้วย ทว่าตอนนี้ ทันใดนั้นนางก็ค้นพบแล้วว่าคำที่เหมาะสมนั่นคืออะไร นั่นก็คือ กระทำการอย่างระวัง
ตระกูลชิงหยางและตระกูลจู๋อินหากเทียบกันแล้วต่างมีเอกลักษณ์ของตนเอง แต่ทว่าตอนที่พวกเขาอยู่ตำหนักหมิงซิ่งด้วยกันนั้นกลับเสมือนเป็นก้อนดินและเศษหินที่ไม่มีจุดเด่นอะไร กล่าวถึงการท่องตำราก็ธรรมดา กล่าวถึงตบะและฝีมือ ก็จัดว่าแค่ทั่วไป และการกระทำราวกับคนเสเพลของเขาเหล่านั้น เขาได้จัดตัวเองไว้ในจุดที่ไม่เด่นอะไรเลย ไม่แย่เกินไปและไม่ดีเกินไป จนทำให้ในความทรงจำนางจดจำได้เพียงว่า เซ่าอี๋ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร
นางเหมือนจะดูถูกเขาอยู่นิดหน่อย…หรือบางทีอาจจะไม่ใช่แค่นิดหน่อย แต่นางดูถูกอย่างมาก
จังหวะก้าวที่เป็นไปอย่างใจเย็นไม่สะทกสะท้านเหล่านั้นของเขา เป็นการกระทำที่มีแบบแผนของมันอยู่ ความสามารถที่สามารถเผาเผ่ามารให้ร้องลั่นได้เช่นนี้ เพียงพอที่จะทำให้เขาไปอยู่ในหน่วยนักรบชั้นยอดได้แล้ว แต่เขากลับจงใจเก็บงำความสามารถตนไว้ แล้วมาอยู่ในหน่วยที่ไม่เด่นสะดุดตา มีบ้างที่เปล่งประกายออกมาบ้าง แต่เขาก็มักจะกลับมาเป็นคนธรรมดาอย่างรวดเร็ว เขามักจะมีวิธีที่ทำให้ตัวเองปิดบังซ่อนเร้นได้อย่างมิดชิด
สำหรับจุดนี้ เหล่าเทพไม่ได้สงสัยอะไร รวมถึงนางด้วย
ใช้ขนหัวใจมาช่วยชีวิตนางแต่กลับไม่ยอมตัดสัมพันธ์ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ เกี่ยวข้องกับความบาดหมางของสองตระกูลในอดีตหรือไม่ เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว แม้แต่มหาเทพไป๋เจ๋อเองยังไม่รู้สาเหตุของเรื่องเก่าก่อนนั้น แล้วเขารู้หรือ
เซ่าอี๋เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เขาก้มหน้ามองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ทั้งยังใช้น้ำเสียงหยอกเย้าไม่จริงจังกับนาง “ยอมแช่แข็งแต่ไม่ยอมสู้ เห็นตระกูลจู๋อินอย่างเจ้าแล้ว ข้าถูกเจ้ายั่วโมโหจนอกจะแตกอยู่แล้ว”
เสวียนอี่ยกแขนเก็บพลังมืดจู๋อินของนางกลับไป ท้องฟ้าที่มืดครึ้มพลันสว่างขึ้นมาก นางไม่ได้มองเขา เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า “หากเรื่องอะไรก็ให้ข้าทำทุกเรื่อง ยังจะต้องการศิษย์พี่เซ่าอี๋นักรบผู้ร้ายกาจยอดเยี่ยมไปทำไมอีก”
ไม่รู้เซ่าอี๋กำลังฝืนยิ้มหรือหยอกเย้า จู่ๆ เขาก็บีบคางนางเอาไว้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ “ปลาดุกอุยน้อย เจ้ามักจะพูดจามีความนัยอย่างนี้กับข้าเสมอเลย ข้าไม่รู้ว่าควรจะชอบความฉลาดนี้ของเจ้าดี หรือไม่ชอบสมองที่มองเรื่องทุกอย่างทะลุปรุโปร่งของเจ้าดี เป็นเทพธิดาบางทีรู้จักโง่บ้างถึงจะน่ารัก”
เสวียนอี่ผลักมือเขาออกไปอย่างเชื่องช้าทว่าเด็ดเดี่ยว ใครจะรู้ว่าเขากลับลงมืออีกครั้ง นางรีบเบี่ยงศีรษะหลบทันที แต่จะเร็วไปกว่าเขาได้อย่างไร คางของนางถูกเขาบีบไว้แน่น นางผลักออกไปสามครั้ง เขาก็บีบคางนางกลับสามครั้งได้อย่างง่ายดาย นางขมวดคิ้วขึ้นแล้วจ้องเขาโดยไม่พูดไม่จา
“ไร้ฝีมือ” แพขนตาของเซ่าอี๋หลุบลง แล้วคลี่ยิ้มบางๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน “มีแต่ปากนี้ของเจ้าที่ร้ายกาจที่สุด ไหนจะความคิดพิลึกพิลั่นร้อยแปดในหัวเจ้าอีก ข้าควรจับเจ้าเปลื้องผ้าให้หมดเสีย หากเมื่อไหร่รู้จักเชื่อฟังบ้างแล้ว ค่อยสวมเสื้อผ้าให้เจ้าใหม่”
แววตาของเสวียนอี่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เซ่าอี๋รู้สึกว่ามีไอเย็นหนาวเสียดกระดูกสายหนึ่งถาโถมเข้ามาปะทะหน้า และพลันเห็นมีดน้ำแข็งโปร่งแสงสองเล่มจ่อที่ตาเขาเตรียมจะทิ่มลงมา เขาจึงจำต้องปล่อยนาง มือหนึ่งกำมีดน้ำแข็งเอาไว้ ทันใดนั้นลำคอกลับรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาอีกจึงเบี่ยงกายหลบ มีดใสโปร่งแสงอีกเล่มเฉียดผ่านลำคอเขาไป
“ใช้มีดน้ำแข็งพวกนี้ถลกหนังท่านก็ไม่เลวนะ” เสวียนอี่กล่าวเสียงเย็น
เซ่าอี๋ใช้มือคลำที่ลำคอดู มีดน้ำแข็งเมื่อครู่กรีดผิวเขาจริงๆ จนทำให้มีเลือดไหลซึมออกมา
เขาบีบมีดน้ำแข็งจนแตกอย่างช้าๆ น้ำเสียงเจือแววยิ้มทว่าแผ่วเบายิ่ง “เจ้านี่น่ากลัวจริงๆ ”
จางลู่ที่อยู่ตรงข้ามกำลังถูกเหล่านักรบหน่วยอี่ปิ่งอิ๋นใช้เชือกกักปีศาจและชาดสีแดงลงคาถาอย่างแน่นหนา หัวหน้าหน่วยตื่นเต้นจนหน้าแดง เขาจับเป็นจางลู่ได้! นี่เป็นคุณงามความดีแบบไหน! นี่เป็นถึงผลงานความดีระดับเดียวกับที่หน่วยติงเหม่าที่ฆ่าราชาฟู่เฉวี่ยนในตอนนั้นได้เลย!
น้ำเสียงของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ “เร็ว รีบมัดให้แน่นหนา แล้วนำกลับไปส่งที่ประตูสวรรค์ทิศใต้!”
ทันใดนั้นจางลู่ดิ้นรนขัดขืนอย่างแรงหลายครั้ง เชือกที่ยังไม่ทันจะรัดเสร็จบนร่างและชาดลงคาถาที่มีอานุภาพมหาศาลก็ขาดสะบั้น ฝ่ามือขนาดมหึมาของเขาฟาดลงมา เหล่านักรบหลายคนถูกพายุจากฝ่ามือพัดจนปลิวออกไป
เขาพลิกตัวลุกขึ้นทันใด ดวงตาสีแดงโลหิตชั่วร้ายขนาดใหญ่นั้นจับจ้องไปยังเหล่านักรบเทพที่จัดเรียงแถวเสร็จเรียบร้อยอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนเสียงดังยาวออกมา พลังปีศาจสั่นสะเทือนและสะท้อนออกไปราวกับคลื่นทะเลพิโรธ ถาโถมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ของเหล่าทวยเทพ
ลมปีศาจแฝงไปด้วยคมมีดที่สามารถฉีกทุกอย่างให้เป็นชิ้นๆ ได้ เขาเหยียบไปบนพื้น ภูเขาใกล้ๆ ทั้งหลายต่างก็พังครืนลงมาตามๆ กัน เหล่านักรบเห็นเขาพุ่งเข้ามาราวกับสายฟ้า ใครก็ไม่กล้าเข้าไปขวางไว้ ได้แต่ต่างฝ่ายต่างตื่นตระหนกหลบไปอย่างรวดเร็ว หัวหน้านักรบหลบไปพลาง ตวาดเสียงเกรี้ยวไปพลางว่า “ตระกูลชิงหยาง! ตระกูลจู๋อิน! ไปจับเขาแช่แข็งและใช้เปลวเพลิงเผามันอีกครั้งเร็วเข้า!”
แม่ทูนหัวตระกูลจู๋อินที่อยู่ดีๆ บุกเข้ามาไม่ว่า เดิมตระกูลชิงหยางผู้นั้นคือนักรบหน่วยอู้เฉินอยู่แล้ว ครั้งนี้หลังเรียกเหล่าเทพลงมาฆ่าเผ่ามารและแบ่งแยกหน่วยต่างๆ ใหม่อีกครั้ง เขาได้ใช้ขนหัวใจหงส์เป็นสิ่งประกัน มหาเทพชิงหยวนอดใจต่อสิ่งเย้ายวนนี้ไม่ได้ จึงยอมให้เขาเปลี่ยนหน่วย และมายังหน่วยอี่ปิ่งอิ๋นที่คอยเก็บกวาดเผ่ามารอยู่ใกล้กับเขาไท่สิงของโลกเบื้องล่างนี้
หน่วยอู้เฉินคือหน่วยที่ได้รับงานยากงานลำบาก การที่เขาขอเปลี่ยนหน่วยแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังเป็นตระกูลชิงหยางอีก เดิมหัวหน้านักรบเองก็ตั้งตารอคอยอยู่ไม่น้อย ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เจ้าหนุ่มนี่เก่งกาจที่สุดกลับเป็นการล่อลวงตามเกี้ยวเทพธิดา เดิมหน่วยอี่ปิ่งอิ๋นก็มีเทพธิดาน้อยมากอยู่แล้ว ในใจของหัวหน้านักรบปวดร้าวจนหลั่งเลือด
จะอย่างไรก็เป็นถึงตระกูลชิงหยาง ฝีมือหงส์เพลิงสีน้ำเงินเมื่อครู่นี้ไม่ใช่ร้ายกาจมากหรือไร ทำต่อไปสิ!
บนใบหน้าเซ่าอี๋มีเหงื่อผุดพราย เขาส่ายศีรษะฝืนยิ้มอย่างจนใจ “กระบวนท่านั้นวันหนึ่งข้าใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เผาไม่ได้แล้วจริงๆ ”
นี่มันอะไรกัน! หัวหน้านักรบจึงได้แต่ต้องเรียกอีกครั้งว่า “ตระกูลจู๋อิน! แช่แข็งเขาไว้!”
เสวียนอี่เป่าเกล็ดหิมะออกมา แต่หิมะที่สัมผัสถูกร่างของจางลู่กลับไม่เกิดผล คิดว่าคงเพราะพลังเทพไม่พอ หัวหน้านักรบเห็นแล้วได้แต่คิดว่าสงสัยสถานการณ์วันนี้จะไม่ดีแล้ว จึงถอนหายใจยาวอย่างอดไม่อยู่ “นักรบหน่วยอี่ปิ่งอิ๋น รีบถอยหลังไปห้าพันลี้!”
บรรดานักรบที่เจนจัดมากประสบการณ์เหล่านี้ในเรื่องหลบหนีก็มีประสบการณ์มาไม่น้อยเช่นกัน จึงรีบแยกย้ายทันที แต่ละคนต่างก็หลบหนีไปในทิศทางที่แตกต่างกันไป ขนาดหนูยังหนีได้ไม่ไวเท่าพวกเขาเลย แค่พริบตาก็หายไปเกลี้ยง
คราวนี้นับว่าเสวียนอี่ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ เห็นเหล่านักรบหนีกันไปหมด นางเองก็รีบหนีด้วย และคิดว่าไม่มีทางหยุดพักเด็ดขาด ฉับพลันก็ได้ยินเสียงของเซ่าอี๋ดังมาจากด้านหลัง “ทำไมไม่แช่แข็งเขาเล่า อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะแช่แข็งขาได้หนึ่งวันถึงจะถูก”
นางขมวดคิ้ว “แล้วศิษย์พี่เซ่าอี๋เองทำไมไม่เผาเขาเล่า”
น่าขัน ตัวเขาปิดบังพลังเอาไว้ แต่กลับไม่ยอมให้นางอำพรางบ้างอย่างนั้นหรือ
เขาหัวเราะออกมา สุ้มเสียงดังเข้ามาใกล้ข้างหูในบัดดล “ความสามารถยั่วโมโหคนของเจ้าดีขนาดนี้ มา หนีไปด้วยกันเถอะ”
ร่างของนางถูกเขาจับเอาไว้อย่างแรง ชุดคลุมยาวที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเปลวเพลิงอันร้อนแรงห่อหุ้มร่างนางไว้อย่างแน่นหนาราวกับปีก เซ่าอี๋กลายเป็นสายลมบินขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วและบินผ่านภูเขาที่ทลายลงเหล่านั้นไป นางเวียนศีรษะเพราะเขาจนเกือบจะอาเจียนอยู่แล้ว ใบหน้านางเริ่มเขียวขึ้นขณะคว้าใบหน้าเขาไว้แน่น เล็บมือข่วนหน้าผากเขาเป็นทางยาวอย่างแรง
ชุดคลุมยาวที่เหมือนปีกนั่นเสมือนมีจิตวิญญาณมิปาน มันหุ้มร่างนางไว้อย่างแน่นหนา เสวียนอี่เริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา มิหนำซ้ำยังอ้าปากท่องคาถาไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นนางต้องอาเจียนออกมาจริงๆ แน่ นางจึงได้แต่ใช้มือทั้งสองข่วนใบหน้าเขาสะเปะสะปะ
ทันใดนั้นลมร้อนที่รวดเร็วอย่างเขาก็ดิ่งลงพสุธาร่อนลงพื้น เพลิงหงส์อมตะที่ร้อนแรงของเขาทำให้ภูเขาที่แข็งแกร่งถูกหลอมกลายเป็นเม็ดทรายอ่อนนุ่มในพริบตา เสวียนอี่รู้สึกว่าตัวนางกำลังอยู่ในกองทรายที่ร้อนระอุที่กำลังดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว มันค่อยๆ ช้าลงและหยุดลงในที่สุด
ในที่สุดแขนเสื้อคลุมยาวที่ห่อหุ้มนางไว้แน่นนั้นก็คลายออก ใบหน้าของเสวียนอี่ซีดเขียว นางไม่ทันได้สนใจอะไรทั้งนั้น กลับอุดปากไว้และนิ่งไปนาน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้ตัวเองอาเจียนออกมา นางหอบหายใจมองไปรอบๆ ที่นี่เหมือนกับที่ราบที่รายล้อมด้วยเขาสักแห่ง หินและต้นไม้ระเกะระกะ ดอกไม้ป่าเบ่งบานทั่วทุกหนปห่ง บ้างสีแดงบ้างสีม่วง
เซ่าอี๋กำลังยืนอยู่หน้าหินเขียวขนาดยักษ์ก้อนหนึ่ง ยืนไพล่มือไปด้านหลังโดยหันหลังให้นาง เรือนผมยาวของเขาถูกลมพัดพลิ้วน้อยๆ
คราวนี้ไม่หนีไปไหนแล้ว?
นางเดินนวยนาดไปหยุดอยู่ข้างกายเขา กำลังครุ่นคิดว่าจะลงมือกับเขาตอนไหนดี หากแต่เซ่าอี๋พลันเอ่ยขึ้นมาว่า “ปลาดุกอุยน้อย เจ้านี่นะ คิดเรื่องชั่วร้ายอะไรอีกแล้ว”
ทันใดนั้นเขาคว้าแขนนางไว้ เสวียนอี่รู้สึกว่าตนเองถูกแรงมหาศาลลากเข้าไปอย่างมิอาจต่อต้านได้เลย หัวของนางกระแทกเข้ากับไหล่เขา จากนั้นก็ถูกผลักล้มลงไปบนหินก้อนนั้นอย่างแรง พริบตาเดียวก้อนนั้นก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ