บทที่ 117 ทำลายสัมผัสทั้งห้า

บุหลันเคียงรัก

นางถูกกระแทกหนักจนหน้ามืด หากไม่ใช่เพราะมีเกล็ดมังกร เกรงว่ากระดูกนางคงแตกไปครึ่งหนึ่งได้

 

 

คอถูกรัดแน่น เซ่าอี๋กดนางไว้แน่น แผลที่ถูกนางข่วนเป็นรอยไม่รู้สมานกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เขามีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ในแววตาหงส์ของเขาราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เยือกเย็นหนาวเหน็บ เขากล่าวเสียงต่ำช้าๆ ว่า “เดิมข้าไม่คิดจะทรมานเจ้าเลย แต่ว่าเจ้ามันตามใจตัวเองเกินไป ความเฉลียวฉลาดของเจ้าใช้ไปกับความเห็นแก่ตัวและโอหังอวดดี ข้าทนเห็นเจ้าเอาแต่ใจอย่างนี้ไม่ไหวจริงๆ ”

 

 

เสวียนอี่พลันเป่าลมหายใจออกมาคล้ายกับไม่ได้ยิน มังกรน้ำแข็งขนาดยักษ์ปรากฏออกมาพลางแผดเสียงคำราม รัดรึงร่างเขาไว้ นางดึงแขนขวาออก ไอน้ำในสายลมกลับเหมือนผ้าม่านโปร่งบางที่ถูกนางเปิดออก ก่อนจะกลายเป็นกำแพงน้ำแข็งไร้รูป มังกรหิมะโยนเขาไปยังหลังกำแพงอย่างแรง สองมือนางประกบเข้าหากันราวกับกำลังปิดฝามิปาน ขังเขาเอาไว้ในกล่องหิมะจู๋อิน

 

 

มังกรน้ำแข็งพันวนไปรอบกล่อง เงาร่างสีดำสนิทของเขาประเดี๋ยวถูกดึงไปทางตะวันออก ประเดี๋ยวก็ถูกดึงไปตะวันตก ท้องฟ้าพลิกกลับ ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลยกระมัง ให้เขาได้ลองบ้าง

 

 

ประกายแสงวาบผ่านไป มีดยาวราวกับขนนกในมือของเซ่าอี๋เล่มนั้นตกลงบนพื้นเบาๆ มังกรน้ำแข็งถูกมันทำให้สลายกลายเป็นชิ้นๆ ในพริบตา เสียงน้ำแข็งตกลงพื้นดังเกรียวกราว

 

 

เขาเดินย่างสามขุมมาหน้ากำแพงน้ำแข็งช้าๆ แล้วยกมือขึ้นลูบพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นับว่าเจ้าเรียนเวทได้ไม่เลวเลย ทำไมไม่ใช้ท่าไม้ตายเล่า”

 

 

เสวียนอี่ผ่อนลมหายใจออกมา ปัดเศษน้ำแข็งบนร่างออก ตระกูลจู๋อินสู้กันมักกินอาณาเขตกว้างขวาง หากสู้กันต้องใช้ท่าไม้ตายตลอด ยังไม่ต้องพูดถึงที่จะไม่ให้เขาเห็นความสามารถที่แท้จริงของนาง แค่พูดถึงตัวนางเองอย่างเดียวก็ไม่อาจลงมือรุนแรงได้อยู่แล้ว นางไม่อยากเจ็บจนหมดสติไป

 

 

“ท่านไม่หนีแล้ว?” นางถามกลับ

 

 

เซ่าอี๋สะบัดมีดขนนกแล้วกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “เจ้าไม่หนีก็ดี”

 

 

มีดยาวกรีดบนกำแพงน้ำแข็ง กำแพงน้ำแข็งก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง จากนั้นรอยแตกมากมายปรากฏขึ้น เสวียนอี่เป่าลมออกมาอีกครั้ง รอยแตกก็สมานกันใหม่ เซ่าอี๋กระดิกปลายนิ้ว มีดยาวเล่มนั้นก็กลายเป็นกลุ่มแสง แล้วทำลายกำแพงน้ำแข็งอย่างแรงจนเสียหายไปมาก เสวียนอี่ขมวดคิ้ว ได้ยินเสียงดังตูม สุดท้ายกำแพงน้ำแข็งก็ถูกเขาทำลายลงจนได้ คอของนางถูกมือร้อนจัดของเขาบีบไว้อีกครั้ง แผ่นหลังก็กระแทกบนหินอย่างแรง

 

 

หินแตกกระจาย มีดยาวกลายเป็นแสงสีทองอ่อนจางในฝ่ามือเขา เซ่าอี๋ค้อมตัวลง หน้าผากก้มลงมาที่หัวของนางแล้วหัวเราะเบาๆ “น่าเสียดาย ใช้แค่เวทอย่างเดียวถึงอย่างไรก็ไม่พอหรอก”

 

 

กล่าวจบ มังกรน้ำแข็งที่แตกสลายบนพื้นและกำแพงน้ำแข็งก็กลายเป็นเกล็ดหิมะลอยฟุ้งไป เซ่าอี๋รู้สึกร่างแข็งทื่อ ตั้งแต่ใต้ฝ่าเท้าลามไปถึงศีรษะถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างมีเพียงดวงตาและริมฝีปากเท่านั้นที่ยังขยับได้

 

 

เฮ้อ นับว่าติดกับแล้ว

 

 

เสวียนอี่มุดออกมาจากใต้รักแร้ของเขาช้าๆ นางหันหลังกลับไปมองใบหน้าเขา แล้วเสกหิมะออกมาพร้อมโยนไปมาระหว่างมือสองข้าง ไม่ง่ายเลย เขาหนีได้เร็ว หิมะยากจะแช่แข็งเขาได้ และยังไม่สามารถใช้วิชาเวทร้ายกาจจัดการกับเขาได้อีก หากว่ายังปล่อยให้เขากระแทกนางต่อไป ไม่ช้าก็เร็วนางได้บาดเจ็บภายในแน่

 

 

“ศิษย์พี่เซ่าอี๋” นางเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “ท่านกำชีวิตข้าไว้ในมือ แล้วจะมาสนใจการบำเพ็ญตบะของข้าอีกทำไม ท่านทำไปเพื่ออะไรกันแน่”

 

 

เซ่าอี๋แลดูไม่ได้ตกใจอะไร ตรงกันข้าม เขากลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานราวฤดูใบไม้ผลิ “เจ้าเดาดูสิ”

 

 

หิมะจู๋อินเย็นเฉียบแนบอยู่บนริมฝีปาก ปลาดุกอุยน้อยตรงหน้าค่อยๆ เอาหิมะเข้าปากเขาทีละคำๆ อย่างไม่รีบร้อน เขาขมวดคิ้วแล้วพลันอ้าปากกัดไปที่ปลายนิ้วของนางที่กำลังจะผละออกไป ทั้งยังเลียไปทีหนึ่ง

 

 

“…รสชาติไม่เลว” เซ่าอี๋หรี่ตาลง

 

 

เสวียนอี่ใช้หิมะสีขาวเช็ดนิ้วมือ แล้วยัดหิมะเข้าปากเขาอีกครั้งพร้อมถอยไปชิดหินใหญ่ เพราะเมื่อครู่นี้ถูกเขากระแทกไปหลายที บนหินจึงขรุขระเป็นหลุมบ่อ ไม่สบายสักนิด นางถอนหายใจแล้วลุกขึ้น นางงอนิ้ว เซ่าอี๋ที่ถูกแช่แข็งไว้ก็ลอยตามนางมาด้านหลัง

 

 

นางไม่พูดอะไร เขาเองก็ไม่พูดพลางหรี่ตาจ้องไปยังเงาหลังสีขาวเงินยวงของนาง ชุดนักรบพอมาอยู่บนร่างนางกลับไม่มีรัศมีของนักรบเลยแม้แต่น้อย เอวนางบางยิ่งนัก เมื่อลอยละล่องหมุนไปมากลับคล้ายผีเสื้อยิ่งกว่า เซ่าอี๋พลันนึกถึงตอนที่นางกล่าวอย่างเด็กๆ ออกมาว่า ข้างกายเขามีแต่หญิงที่รู้จักแต่แต่งหน้าแต่งตัว แต่มาตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่คำพูดเด็กๆ เสียแล้ว

 

 

จากรูปโฉมบริสุทธิ์งดงามของนาง และความเฉลียวฉลาดหลักแหลมรู้กาลเทศะ ช่างเป็นสิ่งที่น่าชมชอบนัก แต่ว่านางกลับชอบทำท่าทีราวกับองค์หญิงสูงศักดิ์ ทั้งยังแสดงนิสัยเห็นแก่ตัวไม่สนใจใครออกมา และนิสัยร้ายกาจเหล่านี้กลับทำให้เขาแทบอยากจะบีบนางให้แตกไปเสีย และในความร้ายกาจและความน่ารักนี้เอง กลับก่อเกิดความรู้สึกลึกซึ้งขึ้นมาอีกหนึ่ง ผูกพันวนเวียนกับฝูชางมามากกว่าสองหมื่นปี หากว่านางไร้หัวใจคงจะดี

 

 

ความเสียดายในใจของเซ่าอี๋นับวันยิ่งล้ำลึก น่าเสียดาย น่าเสียดายเกินไปแล้ว นางกลับเติบโตมามีนิสัยอย่างนี้ได้

 

 

เสวียนอี่บินบนภูเขาอยู่นาน ในที่สุดก็หาต้นโพธิ์ใหญ่ต้นหนึ่งได้ ด้านล่างต้นโพธิ์คือผืนหญ้าเขียวขจี มีร่มเงาใหญ่ยิ่ง หากสอบสวนเขาในสถานที่อันน่ารื่นรมย์เช่นนี้จะต้องสบายใจแน่นอน

 

 

นางดีดปลายนิ้ว เซ่าอี๋ที่ถูกแช่แข็งไว้จนขยับไม่ได้ก็ร่วงลงไปใต้ต้นโพธิ์ นางเองก็เข้าไปนั่งลงอีกด้าน แล้วก้มหน้าลงมองเขาก่อนจะยิ้มจนตาหยี ผมยาวของเขาแผ่ไปบนพื้นหญ้า อัญมณีบนหน้าผากแกว่งไกวไปมา เขาเองก็ยิ้มจนหยีและมองสบตากลับมาเช่นกัน ราวกับไม่หวั่นเกรงอะไร

 

 

เสวียนอี่ถอนหายใจเบาๆ “เดิมข้าอยากจะเลาะฟันถลกหนัง แต่ว่านั่นจะต้องเจ็บมากแน่”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวเสียงนุ่ม “ข้าทนได้ ไม่ต้องกลัว”

 

 

เสวียนอี่ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เขา “ตอนนี้ข้ามีความคิดดีๆ อย่างอื่นแล้ว ไม่รู้ว่าท่านจะชอบไหม”

 

 

นางเป่าลมไปทางเขา ลมหายใจราวกับกลิ่นดอกกล้วยไม้ เซ่าอี๋เลิกคิ้วขึ้น ทันใดนั้นร่างทั้งร่างพลันราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง ความเย็นแทรกเข้าไปในกระดูกมากมายมหาศาล เขาถูกแช่แข็งจนใบหน้าเขียวซีดในพริบตา ฟันก็กระทบกันดังกึก

 

 

“หลังจากหลับใหลพันปีแล้วก็จะเป็นขั้นเหนือสรรพสิ่ง วิชาเวทมายาทั้งหลายจะไร้ประโยชน์” เสวียนอี่พิงไปกับต้นโพธิ์แล้วกล่าวเนิบช้าว่า “แต่ว่าวิชาที่ข้าใช้ออกมานี่ไม่ใช่วิชามายา แต่ส่งตรงเข้าไปในประสาทสัมผัสทั้งห้าของท่านเลย ไม่ถึงชีวิต และไม่ทำให้บาดเจ็บด้วย ท่านไม่บาดเจ็บข้าเองก็วางใจ”

 

 

เซ่าอี๋รู้สึกว่าความเย็นประหลาดแทรกซึมลงไปถึงกระดูก อวัยวะทั้งห้าของเขาแทบจะจับตัวกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมดแล้ว ความหนาวเย็นเสียดกระดูกเช่นนี้ทรมานเขามานานแล้ว เขารู้สึกราวกับมีมือเล็กมาข่วนที่หัวใจ จนร่างทั้งร่างเริ่มชา มันแผ่ลามมาตั้งแต่ปลายนิ้วของเขา ชาจนกระทั่งเขาเริ่มหน้ามืด ไม่รู้เขาทนอยู่นานเท่าไหร่ ความชาจนแทบคลั่งนี่ถึงเปลี่ยนไปกลายเป็นความหอมหวาน เขารู้สึกราวกับตนเองได้ลิ้มรสน้ำหวาน ไม่นานก็รู้สึกราวกับถูกน้ำผึ้งหวานกรอกในลำคอ สุดท้ายมันหวานเสียจนใบหน้าเขาเขียวขึ้นมา เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความหวานเองจะทรมานขนาดนี้

 

 

เสวียนอี่เห็นเขาหอบหายใจหนักขึ้นก็ถามว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ตอนนี้ท่านอยากพูดแล้วหรือไม่”

 

 

เซ่าอี๋นั้นตั้งแต่ความหวานถึงที่สุดจนเปลี่ยนเป็นความเค็มจนใจแทบสลาย จากรสเผ็ดจนขนลุกจนกระทั่งขมเสียจนหน้าตาไหลเต็มใบหน้า เขาลิ้มลองมาแล้วทุกอย่าง เขาหอบหายใจแล้วเหลือบตามองไปยังใบหน้าเกลี้ยงเกลา งดงามและอิ่มเอิบของนาง เทพธิดาผู้งามพิสุทธิ์ มารสาวที่ชั่วร้าย ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่เสียงกลับแหบพร่า “เอาให้มากกว่านี้อีกหน่อย”

 

 

ดี

 

 

เปรี้ยว หัวใจเขารู้สึกเปรี้ยวขึ้นมา ไม่รู้เลยว่าในรสชาติทั้งห้านี้ยังมีรสเปรี้ยวอยู่ด้วย มันค่อยๆ แผ่ลามไปตามกระดูกแขนขา หน้าผากของเซ่าอี๋ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่นางเขม็ง

 

 

แววตาเช่นนี้นางไม่เคยพบเจอมาก่อน คล้ายกับเต็มไปด้วยไอสังหาร แต่ก็คล้ายกับอดกลั้นอย่างถึงขีดสุด มันไม่ใช่สายตาที่ทำให้นางรู้สึกสบายใจได้เลย แต่ว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขาไม่ได้มีรอยยิ้มที่น่ารังเกียจปรากฏอยู่อย่างแต่ก่อนแล้ว นางก็รู้สึกดีใจจริงๆ

 

 

ความรู้สึกเปรี้ยวที่ทำให้อวัยวะทั้งห้าแทบบิดเป็นเกลียวนั้นพลันเปลี่ยนไป มันกลับกลายเป็นความหวานล้ำอย่างถึงขีดสุด ในที่สุดเซ่าอี๋ก็ทนไม่ไหวครางเสียงต่ำออกมาครั้งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ความหวานเคยลิ้มลองมาแล้วแท้ๆ นางกลับยังส่งมาอีกเป็นครั้งที่สอง นี่เรียกว่าจะบีบให้เขาคลั่งชัดๆ

 

 

เขาหลับตาลง หยาดเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก อวัยวะภายในเขาพลันรู้สึกราวกับถูกปักด้วยขนนกที่อ่อนนุ่มที่สุดเส้นหนึ่ง ความรู้สึกทั้งคันทั้งชาลามไปทั่วทั้งร่าง ข่วนเสียจนหัวใจและอวัยวะภายในเขาคันอย่างรุนแรง

 

 

เซ่าอี๋สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกัดฟันแน่นราวกับรบพ่ายแพ้ เขาขมวดคิ้ว หน้าอกพลันมีแสงสีทองพาดผ่านไปทำให้น้ำแข็งที่แช่แข็งร่างของเขาอยู่ละลายไปหมด

 

 

เขาพลิกตัวขึ้นนั่งแล้วคว้าบ่าเสวียนอี่เข้ามา ใบหน้านางยังคงแสดงสีหน้าตะลึงงัน พอถูกเขาคว้ามาร่างก็ปะทะกับร่างของเขา พวกเขากลิ้งไปบนพื้นหญ้าหลายตลบ จากนั้นคอของนางก็ถูกเขาใช้มือบีบไว้อย่างแรง ราวกับว่าจะบีบให้นางแตกสลายไป มืออีกข้างก็กดข้อมือทั้งสองของนางไว้ เสียงหอบหายใจหนักพ่นรดใบหน้าของนาง

 

 

เขาเผยรอยยิ้มประหลาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา น้ำเสียงเย็นชานุ่มนวลทว่าแฝงไปด้วยความน่ากลัว “เจ้าปลาดุกอุยน้อยตัวร้าย เจ้าว่าข้าควรจะทุบเจ้าให้ร่างพังไปสักครึ่งดีหรือจะจับเจ้าถอดเสื้อผ้าทั้งหมดดี”