ตอนที่ 309

The Divine Nine Dragon Cauldron

ผู้ตรวจการไป่ฮีถอยด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาตกใจและหวาดกลัว

 

“หลิงเสี่ยวเทียน เจ้าคิดจะสู้เพื่อทำลายกันเองงั้นรึ? ขะ…ข้าก็แค่ถูกอารมณ์ครอบงำและเผลอไปก็เท่านั้น!”

 

“ข้าจะขอโทษก็ได้ถ้าเจ้าต้องการ!”

 

หลิงเสี่ยวเทียนใบหน้าเบื่อหน่าย

 

“เผลอไปเท่านั้นรึ? ถ้าข้าไม่แอบตามมา คนของข้าไม่ตายเพราะความเผลอของเจ้าไปหมดแล้วรึ?”

 

“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าขอโทษ! ข้าต้องการเลือดของเจ้าเป็นเครื่องแทนความยุติธรรมให้คนของข้า!”

 

จิตสังหารมากมายก่อตัวขึ้นในหลิงเสี่ยวเทียน

 

ยังคงไม่เป็นไรแม้เขาจะใส่ร้ายซือหยูและพยายามอย่างมากที่จะฆ่าซือหยู

 

แต่เมื่อแผนล้มเหลว เขากลับใช้วิธีที่น่ารังเกียจโดยการลอบฆ่าซือหยู!

 

มีแค่การฆ่าคนเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้คนในกลุ่มซือหยูไม่ต้องกังวลว่าจะเจอการลอบโจมตีจากข้างหลังอีก!

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีไม่พอใจอย่างมาก

 

“หลิงเสี่ยวเทียน! เจ้าควรจะคิดให้ดี เจ้ากล้าฆ่าข้ารึ? ข้าเป็นผู้ตรวจการ ข้ารับผิดชอบการกระทำของพวกเจ้าทุกอย่าง ฆ่าข้าก็ไม่ต่างจากการเป็นกบฏ!”

 

“ยังไม่สายไปถ้าเจ้าจะหยุดตอนนี้!”

 

หลิงเสี่ยวเทียนยังคงมีจิตสังหารตามเดิม

 

“เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาพูดกับข้า หลังจากฆ่าเจ้าข้าจะกลับไปที่ตำหนักหลัก! เจ้าจะได้ใช้ชีวิตในโลกหน้าอย่างสงบ!”

 

“หอกเทพพังทลาย!”

 

หลังจากตะโกน หอกใสดั่งแก้วก็เปล่งประกายแสง

 

แสงอันคมกริบที่สามารถคร่าชีวิตได้ปลอดปล่อยออกมาอย่างน่ากลัว

 

ครืน—-

 

ครืน—

 

แผ่นดินสะเทือน นภาเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม

 

ในระยะสามร้อยลี้ของการโจมตี เหล่าวิหคทุกตัวบินหนีไปคนละทิศละทางด้วยความกลัว

 

พลังวิญญาณบ้าคลั่งจากระยะสามร้อยลี้ปะทุขึ้น สายลมเกรี้ยวกราดพัดกระหน่ำผ่านขอบนภา

 

เพียงครู่เดียว จักรวาลก็สูญเสียเฉดสีไป ราวกับไม่มีแสงจากตะวันจันทรา!

 

ในความมืดมิด มีเพียงหอกแก้วที่เปล่งประกายแสงอันงดงาม

 

ราวกับมีเพียงหอกแก้วนี้เพียงอย่างเดียวที่มีตัวตนอยู่ในจักรวาล!

 

ซือหยูตกใจมาก

 

นี่คือพลังที่แท้จริงของหอกเทพพังทลายงั้นรึ?

 

เมื่อมันปรากฏตัว ทั้งจักรวาลก็เสียสีสันไปจนหมด!

 

แววตาของผู้ตรวจการไป่ฮีเต็มไปด้วยความกลัว เขาหยุดกายที่สั่นไม่ได้เลย

 

ฟึ่บ–

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีรีบหนีอย่างไม่ลังเล!

 

หอกในมือหลิงเสี่ยวเทียนพุ่งทะลวงขอบนภา

 

ฉั่วะ–

 

ร่างของผู้ตรวจการไป่ฮีกลายเป็นฝุ่นผงโดยไม่เหลือเวลาให้กรีดร้อง

 

ผู้ตรวจการเช่นเขาถูกสังหารอย่างง่ายดายด้วยสมบัติเทพ!

 

ฟึ่บ–

 

หลิงเสี่ยวเทียนโบกมือให้หอกเทพกลับมา

 

แสงที่เปล่งประกายดับลง จักรวาลกลับมาเป็นดังเดิม

 

ซือหยูตกตะลึง เขามองหอกเทพพังทลายอย่างไม่เชื่อสายตา

 

“นี่คือหอกเทพพังทลาย หนึ่งในสิบสองสมบัติเทพของอาณาจักรทมิฬ ตำหนักทั้งห้ากับจ้าวแห่งความมืดจะมีสมบัติคนละชิ้น”

 

“สมบัติเทพถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่ยุคโบราณและมีพลังทำลายล้างมากที่สุดในอาณาจักร ถ้าวันหนึ่งเจ้าได้กลายเป็นเจ้าตำหนักหรือหนึ่งในเจ็ดจ้าวแห่งความมืด เจ้าก็จะมีโอกาสได้รับหนึ่งในสมบัติเทพเช่นกัน”

 

ซือหยูตื่นเต้นจนเลียริมฝีปาก พลังทำลายล้างสูงสุดของอาณาจักรทมิฬงั้นรึ?

 

ด้วยพลังมหาศาลของสมบัติเทพทั้งสิบสอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาณาจักรทมิฬถึงยังมีตัวตนอยู่ได้แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายหมื่นปี

 

แต่ก็ไม่ยากที่จะบอกว่าเขาต้องสละมหาศาลในการใช้สิบสองสมบัติเทพถ้าฟังจากที่ผู้ตรวจการไป่ฮีบอก

 

ซือหยูเพ่งสมาธิและตระหนักว่าแม้ภายนอกหลิงเสี่ยวเทียนจะเปลี่ยนไปไม่มากนัก แต่เขาก็หน้าซีดเล็กน้อยและทั้งร่างก็ไม่เหลือพลังวิญญาณเลย!

 

เพียงแค่ครั้งเดียวก็ทำให้เจ้าตำหนักใช้แรงและพลังวิญญาณไปจนหมดงั้นรึ?

 

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าเดินทางต่อไปได้ จำไว้ว่ากลับมาให้เร็วที่สุด ข้ามีเรื่องใหญ่ให้เจ้ากับฉีหลาน”

 

หลิงเสี่ยวเทียนลูบหัวซือหยูอย่างอ่อนโยน เขายิ้มและจากไป

 

จากนั้น ฮั่วฉีหลาน ฉีหยุนเซี่ยงและตู่หลงก็กลับมาหาซือหยู

 

“นั่นคือสมบัติของตำหนักงั้นรึ?”

 

แววตาอันงดงามราวจันทร์เสี้ยวของฮั่วฉีหลานหม่นหมอง นางมองซือหยูอย่างลึกซึ้ง

 

ตลอดการเดินทางของพวกเขา ฮั่วฉีหลานมองซือหยูหลายครั้งจนเขาอึดอัด

 

ครึ่งวันผ่านไป ขณะที่พวกเขาพัก ฮั่วฉีหลานเข้ามาใกล้ซือหยูและจ้องมอง

 

“เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าตำหนักหลิงถึงเลือกเจ้าเป็นรองเจ้าตำหนักลำดับสิบ?”

 

ซือหยูตกใจ

 

“นั่นเป็นเพียงแค่น้ำใจที่ข้าไม่สมควรได้รับ”

 

แต่ฮั่วฉีหลานก็ส่ายหัวอย่างเชื่อมั่น

 

“ไม่ใช่! สายตาของเจ้าตำหนักหลิงน่ากลัวกว่าทุกผู้คน เขาจะต้องไม่มองพลาด! การที่ให้เขตนิรนามกับเจ้าก็ชัดเจนอยู่แล้ว!”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“เขตนิรนามนั่นเป็นเพียงดินแดนที่แร้นแค้น มันมีค่าเช่นนั้นเชียวรึ? เพราะข้าเป็นคนสุดท้าย เขาต้องไม่มีตัวเลือกอื่นอยู่แล้ว”

 

“ฮ่าๆๆ แล้วถ้าข้าบอกเจ้าว่าเจ้าตำหนักเฉินคงอยากจะได้เขตของเจ้ามาโดยตลอดล่ะ? ถ้าเขาทำแม้แต่ยอมแลกเขตเฉินคงล่ะ?”

 

ฮั่วฉีหลานหรี่ตาราวกับจะมองบางสิ่งจากดวงตาของซือหยู

 

เอ๋? เจ้าตำหนักเฉิงคงรึ?

 

เขตที่ติดกับเขตนิรนามคือเขตเฉินคง!

 

เจ้าตำหนักเฉินคงที่เป็นหัวหน้าของสิบรองเจ้าตำหนักและยังเป็นรองเจ้าตำหนักที่แข็งแกร่งที่สุดคนนั้นน่ะรึ?

 

เขาหมายตาเขตนิรนามที่รกร้างว่างเปล่านี้น่ะรึ?

 

“เขาไม่ใช่คนเดียว รองเจ้าตำหนักคนอื่นรวมถึงข้าก็หวังจะได้ดินแดนนั้น แต่พวกเราก็ถูกเจ้าตำหนักหลิงปฏิเสธ!”

 

รองเจ้าตำหนักทั้งเก้าต่างต่อสู้เพื่อดินแดนนี้รึ?

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าเขตของเจ้ามันสำคัญแค่ไหน!”

 

“เจ้าไม่รู้รึว่าดินแดนนั้นคือศูนย์กลางของทวีปตอนเหนือ?”

 

ซือหยูรู้ถึงข้อมูลนั้น อาณาจักรทมิฬตั้งอยู่ที่กลางทวีปตอนเหนือ

 

และบังเอิญนักที่เขตหยินหยูตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของตอนเหนือมากที่สุด

 

“มันก็แค่เขตที่อยู่ตรงกลาง มีเหตุผลอื่นที่สำคัญด้วยรึ?”

 

ซือหยูไม่เข้าใจ

 

ฮั่วฉีหลานแววตาริษยา

 

“เช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาณาจักรทมิฬตั้งต้นมาจากเขตตรงกลางนั่น?”

 

“ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักร เมื่ออาณาจักรทมิฬมาที่ทวีปเฉินหลงครั้งแรก มันตั้งอยู่ที่เขตนิรนาม!”

 

“เขตนั่นคือเขตชี้ชะตาของอาณาจักรทมิฬ! ตลอดหลายรุ่นที่ผ่านมา ราชาแห่งความมืดจะส่งยอดฝีมือลึกลับมาปกป้องเขตแห่งนี้ เจ้าตำหนักธรรมดาไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะปกครองเขต! ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าตำหนักหลิงถึงส่งเขตนี้ให้กับเด็กน้อยเช่นเจ้า!”

 

ฮั่วฉีหลานไม่ค่อยพอใจนัก

 

“เจ้าตำหนักหลิงไม่ใจดีกับเจ้าเกินไปหน่อยรึ? เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยเมื่อใช้สมบัติเทพของอาณาจักรช่วยชีวิตเจ้า”

 

ซือหยูประหลาดใจมาก เขตนิรนามมีพื้นเพเช่นนี้เองรึ?

 

และราชาแห่งความมืดยังส่งยอดฝีมือมาเป็นการส่วนตัวเพื่อปกป้องเขตแห่งนี้ด้วย!

 

ใครกันคือยอดฝีมือคนนั้น? เขาไปอยู่ไหนในเขตหยินหยูกัน?

 

“ลืมไปซะเถอะ ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!”

 

ฮั่วฉีหลานแอบมองดูสีหน้าและคำพูดของซือหยู หลังจากนางรู้แล้วว่าซือหยูไม่รู้เรื่อง นางก็เลิกสนใจ

 

“รีบเดินทางเถอะ ฝูงสัตว์อสูรกำลังจะมาแล้ว จะเสียเวลาไปไม่ได้”

 

หลังจากพักไปไม่นาน ทั้งสี่ก็เดินทางอีกครั้ง

 

แต่พวกเขาทุกคนไม่รู้เลยว่าในที่ที่เกิดการต่อสู้เมื่อครู่ ในซากที่ถูกทำลายจากการต่อสู่ได้เกิดความเคลื่อนไหว รอยแตกปรากฏที่พื้น

 

มืออันแก่เฒ่าปืนออกมาจากรอยแยกอย่างยากลำบาก

 

คนที่ปรากฏตัวขึ้นคือผู้ตรวจการไป่ฮีที่ควรจะตายไปแล้ว!

 

ร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ใบหน้าซีดเผือด

 

ฐานพลังของเขาลดลงมาเหลืออำมฤตระดับสามขั้นสูง ซึ่งต่ำกว่าฐานพลังของร่างเงาของเขา!

 

เขาปีนออกมาด้วยใบหน้าและผมที่เต็มไปด้วยฝุ่น ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความกลัวแม้จะผ่านภัยร้ายมาได้

 

“พลังของสิบสองสมบัติเทพนั้นไร้เทียมทานนัก! ถ้าวิชาร่างเงาของข้าไม่ทะลวงขั้นเมื่อเดือนก่อนข้าก็คงจะสร้างร่างเงามาหลอกหลิงเสี่ยวเทียนไม่ได้ ข้าคงต้องถูกฝังที่นี่ไปแล้ว”

 

แต่แม้เขาจะรอดกลับมา เขาก็บาดเจ็บและฐานพลังก็ลดลงไปมาก

 

เขารู้สึกถึงร่างกายที่อ่อนแอและฐานพลังที่ลดลาม แววตาเขาเปลี่ยนไปดั่งวิญญาณร้าย

 

“หลิงเสี่ยวเทียน! แค้นนี้ต้องชำระ!”

 

พรึ่บ–

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีหยิบนกกระดาศออกมา หลังจากที่กระอักเลือด นกกระดาษบินไปตามทางกลางทวีป

 

“บอกจ้าวไป่ลั่วว่าหลิงเสี่ยวเทียนใช้สมบัติเทพไปแล้ว นี่คือโอกาสดีของพวกเรา!”

 

นกกระดาษพยักหน้าราวกับมนุษย์ จากนั้นจึงบินหายลับไป

 

จากนั้นเขาก็มองไปในทิศที่ซือหยูเดินทาง

 

“หลิงเสี่ยวเทียน! ข้าจะต้องทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยากตาย! ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าได้ฆ่าพวกมัน ข้าก็จะฆ่ามันให้หมด!”

 

ฟึ่บ–

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีลากร่างที่บาดเจ็บสาหัสมุ่งหน้าไล่ตามซือหยู