หนึ่งเดือนต่อมา
ที่รอยต่อระหว่างทวีปตอนเหนือกับตะวันออก
ป่าไร้ขอบเขตตั้งอยู่กลางหมู่เมฆา ขอบนภาปกคลุมทอดยาว
ราวกับคลื่นที่ทอดยาวบนนภา
ต้นไม้สูงใหญ่อยู่รวมกันอย่างหนาแน่น
นี่คือป่าทมิฬ
เป็นดินแดนรกร้าง ไม่มีคนอยู่อาศัยมาหมื่นปี
ว่ากันว่าสัตว์อสูรมากมายอยู่ลึกภายในป่าทมิฬ ทำให้เป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับมนุษย์
นอกจากคนที่แข็งแกร่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีพรสวรรค์ที่จะอยู่ที่นี่ได้ มนุษย์ธรรมดาอื่นไม่เคยกลับออกมาอีกเลยเมื่อเข้ามายังป่าทมิฬ
ที่จุดสิ้นสุดของป่าทมิฬคือสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ ดูเหมือนกับดินแดนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันยิ่งใหญ่ตระการตา
หากมองลงไปก็จะพบผู้คนที่เข้าออกอยู่มากมาย
ฮั่วฉีหลานมองเมืองอย่างนับถือ
“เมืองอันยี่เต็มไปด้วยนักรบที่แข็งแกร่งและไม่ขึ้นตรงกับกุมกำลังใด เมื่อเข้าไปสถานะของพวกเราก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เจ้าต้องระวังตัว”
ฐานที่ตั้งของเมืองอันยี่นั้นเป็นเอกลักษณ์ไม่ต่างกันอาณาจักรทมิฬ
สามขุมกำลังแห่งตอนเหนือ ร้อยดินแดน คณะวิหคเพลิง และหอสดับหิมะมิอาจปกครองเมืองนี้ได้อย่างเต็มตัว
ดังนั้นจึงมียอดฝีมือมากมายที่ไร้พื้นเพมารวมตัวกันที่เมืองอันยี่
และยังมีกลุ่มคนทรยศจากขุมอำนาจพร้อมกับเหล่ายอดฝีมือที่เลือกจะปิดบังตัวตนของตัวเอง
และก็มีคนอย่างพวกซือหยู คนที่เป็นของขุมกำลังแต่ถูกส่งมาเพื่อบ่มเพาะในป่าทมิฬ
ตู่หลงมองเมืองอันยี่ที่คุ้นเคยและถอนหายใจ
“ข้าไม่ได้กลับมาหลายสิบปีแล้ว ใครกันจะหวังให้ข้ากลับบ้านอีก?”
หืม? ซือหยูเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าตู่หลงจะตั้งใจกลับมาที่ตระกูลตู่ แต่ก็ยังคงกล้าๆกลัวๆ
หรือว่าจะเป็นเพราะเขาไม่กล้าจะกลับตระกูล?
ซือหยูส่ายหัวและลงไปยังทางเข้าเมือง
ทางเข้าเมืองนั้นมีการป้องกันอย่างหนาแน่น มีกฎที่เคร่งเครียดว่าใครเหมาะสมจะได้เข้าเมือง
“ต้องให้เหรียญทองพวกเขาก่อนจะเข้าไปงั้นรึ?”
ซือหยูถาม
บางเมืองจะขอเหรียญทองเพื่อตรวจสอบความร่ำรวยของคนที่จะเข้าเมือง นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก
ฮั่วฉีหลานชี้ทางเข้าที่มีแผ่นศิลาสูงเท่ากำแพงเมือง
“พวกเราไม่ต้องใช้เหรียญทอง เพียงแค่พิสูจน์พลังเท่านั้น”
“เมืองอันยี่มีคนหลายประเภท ถ้าเจ้าเข้าไปโดยไม่มีพลังพอ เจ้าก็อาจจะพบจุดจบอันน่าเศร้า ดังนั้นจึงมีการกำหนดขอบเขตพลังที่ขั้นต่ำเอาไว้ ใครที่มีพลังไม่ถึงขั้นต่ำจะเข้าเมืองไม่ได้ เพื่อป้องกันการถูกรังแกในเมือง”
“เจ้าจะเข้าเมืองได้ก็ต่อเมื่อเป็นขอบเขตมังกรขึ้นไป การทดสอบจะทำโดยการวางมือเจ้าลงบนแผ่นศิลาและรวบรวมพลังวิญญาณมาที่ฝ่ามือ แผ่นศิลาจะให้ผลลัพธ์ออกมา คนที่แผ่นศิลาให้ผ่านเท่านั้นที่จะได้เข้าเมือง”
ทุกคนพยักหน้าและต่อแถววัดพลัง
พวกเขารอนานครึ่งชั่วยามอย่างอดทนใต้แสงตะวันร้อนระอุก่อนจะถึงคราวของตัวเอง
“ข้าจะไปก่อน”
ฮั่วฉีหลานอาสา นางวางมือลงบนแผ่นศิลาและรวบรวมพลังวิญญาณออกมา
ซ่า—-
แผ่นศิลาส่งเสียงออกมาทันที
“มังกรระดับเจ็ดขั้นสูง ผ่าน! ไปได้!”
ผู้เฒ่าอำมฤตระดับหนึ่งที่อยู่ข้างแผ่นศิลาพูด
ฮั่วฉีหลานเข้าเมืองและรอซือหยูอยู่ข้างใน
“ต่อไป”
ผู้เฒ่าไม่หันมอง เขานั่งข้างแผ่นศิลาอย่างหยิ่งยโสเมื่อสั่ง
ซือหยูกำลังจะก้าวเข้าไป
ในตอนนั้นเองก็มีสายลมพัดเข้ามาผลักซือหยู
เป็นบุรุษชุดสีมรกตอายุประมาณยี่สิบปี เขาใบหน้ารูปวามและดูอ่อนโยน
ฐานพลังของเขาไม่ได้อ่อนแอ เขาสำเร็จขอบเขตอำมฤตระดับสาม!
เขาเป็นอำมฤตระดับสามตั้งแต่อายุยี่สิบปี!
ในด้านพรสวรรค์ เขาเหนือยิ่งกว่ารองเจ้าตำหนักอังฟางที่เป็นลำดับสี่!
เขาถือพัดในมือ พัดในมือแตะอกของซือหยูเบาๆและผลักร่างของเขาเพื่อเปิดทาง
ขณะเดียวกันเขาก็หยุดพัดไว้ที่อกซือหยู เพื่อไม่ให้ซือหยูเดินไปข้างหน้า
เขาไม่เคยมองซือหยูตรงๆเลยสักครั้ง เขามองด้านหลังอย่างสง่างาม
“ศิษย์พี่เว่ยไปก่อนเถอะ”
ซือหยูเลิกคิ้ว ยังไม่เป็นไรหากเขาจะแซงแถว มันเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่หยุดพัดไว้ที่อกซือหยูและจัดคิวให้คนอื่นเช่นนี้มันรับไม่ได้!
“ออกไป!”
ซือหยูใจเย็น
แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจเขา เขายิ้มและมองศิษย์พี่เว่ยที่ค่อยๆเดินมาทางแผ่นศิลา
ราวกับว่าไม่ได้ยินคนที่พูดอยู่ข้างๆ
ในตอนนั้นศิษย์พี่เว่ยก็เดินตามทางเข้ามา
เขาอายุยี่สิบปี เขาตัวสูงใหญ่ เส้นผมสีดำเรียบลื่น ใบหน้าเฉียบคม เขาดูไม่เหมือนผู้ใด
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือรังสีพลังที่เขาปล่อยออกมาเล็กน้อย
เขามีพลังอำมฤตระดับสามขั้นกลาง!
ไม่ว่าจะผ่านไปที่ไหนคนก็หันมอง เหล่าสตรีในแถวต่างตั้งใจมอง
เว่ยเทียนเฉินดูจะเป็นสุขกับแววตาที่จ้องมอง เขาเดินช้าๆไปยังแผ่นศิลา
ผู้เฒ่าที่คุ้มกันทางเข้าเลิกคิ้ว แววตาของเขาไม่เป็นมิตร แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่สองคนแผ่ออกมาเขาก็ต้องทน
เว่ยเทียนเฉินก้าวไปที่หน้าแผ่นศิลาและวางมือลงบนแผ่นศิลาพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณ
ในตอนนั้นเอง แผ่นศิลาเปล่งแสงสีแดง
“ขอบเขตอำมฤตๅ!”
“แสงสีเขียวแสดงถึงขอบเขตมังกร แสงสีแดงแสดงถึงขอบเขตอำมฤต!”
“พรสวรรค์น่ากลัวนัก เป้นอำมฤตตั้งแต่อายุยี่สิบเช่นนี้!”
ซ่า—
แผ่นศิลาแสดงข้อความ
“อะไรกัน? อำมฤตระดับสามขั้นกลาง!!”
เหล่าผู้คนอ้าปากค้าง!
ผู้เฒ่าที่นั่งด้านหน้าตัวสั่น เขาหวาดกลัวและนับถือ
เขายืนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“อำมฤตระดับสาม โปรดเข้าไป!”
น้ำเสียงของเขาแตกต่างจากตอนที่เขาทดสอบฮั่วฉีหลานอย่างมาก
เว่ยเทียนเฉินนั้นเป็นสุขกับความสนใจของทุกคน สีหน้าของเขาสงบสุข เขาเดินมือไพล่หลังเข้าเมือง
แต่ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้น
“เจ้าหูหนวกรึ ข้าบอกเจ้าว่าเอาแขนออกไป!”
ซือหยูพูดซ้ำ
เสียงของเขาไม่ดังนักแต่ด้วยบรรยากาศที่เงียบกริบ ทุกคนได้ยินเขา!
เหล่าผู้คนต่างหันมองเด็กหนุ่มผมสีเงินที่สวมหน้ากาก
พวกเขามองไม่เห็นรูปลักษณ์แต่ผมสีเงินอันเป็นเอกลักษณ์นั้นทำให้ทุกคนสนใจ
แม้แต่ชายหนุ่มที่ชี้พัดใส่ซือหยูที่แสร้งไม่ได้ยินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากหันมามอง
เขายิ้มแต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีนัก มันเป็นการยิ้มเยาะ
“เจ้าพูดกับข้าอยู่หรอกรึ?”
เขามองซือหยูและส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะ
“จงจำไว้เมื่อเจ้าพูดคราวหน้า เมื่อเจ้าไร้ซึ่งการถ่อมตัว เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะพูดด้วยพลังที่มี เช่นนั้นแล้วคนอื่นจะมาสนใจเจ้าได้”
หรือพูดอีกอย่างก็คือ…ซือหยูไม่มีพลังพอที่เขาจะสนใจ
“ข้าแค่บอกให้เจ้าเอาพัดออกไป เจ้าพล่ามไร้สาระอะไรของเจ้า?”
ซือหยูไม่สนใจ พลังวิญญาณในร่างสั่นไหว
ฟึ่บ—
เขาปล่อยพลังวิญญาณออกมาผ่านพัดไปถึงฝ่ามือของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มดึงมือออกอย่างคิดไม่ถึงหลังจากที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากข้อมือ
“เจ้าหนู เจ้า…”
ชายหนุ่มสะบัดข้อมือที่เจ็บปวด รอยยิ้มเยาะเย้ยของเขาหายไปแทนที่ด้วยความเย็นชา
แต่ซือหยูก็พูดแรกขึ้นมา
“หึ เจ้าเอาพัดออกไปได้แล้วรึ? ข้าบอกเจ้าดีๆแล้วว่าให้เอาพัดออกไปแต่เจ้าก็ไม่สนใจ เจ้าพอใจรึยังที่ข้าต้องทำให้เจ้าเจ็บตัว?”