ตอนที่ 1 จุดจบความฝันอันเลิศเลอ

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ตอนที่ 1 จุดจบความฝันอันเลิศเลอ

 

 

ฤดูใบไม้ผลิเดือนสามคือเวลาที่ทุ่งหญ้าเบ่งบานไปทั่วหุบเขา

 

ในสถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าสูงยาวเท่าหัวเข่า  บุพผาล้วนบานสะพรั่งงดงามจับจิต

 

เหนือยอดเขาศาลาฟ้า

 

ชายหญิงคู่หนึ่งยืนเคียงข้างกันอยู่ริมต้นสนโบราณ  ดรุณีน้อยโอบอิงกับคนสำคัญข้างกายอย่างสนิทชิดเชื้อ ทั้งสองทอดสายตามองชมทิวทัศน์ในระยะไกล

 

ชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้างนางนั้นมีอายุราวๆ 17 ปี ขนคิ้วเหยียดตรงทรงคุณธรรม ใบหน้าหล่อเหลาหมดจด  ร่างสูงโปร่งอกผายไหล่ผึ่ง

 

 

เขาสวมอาภรณ์ยาวเต็มไปด้วยบรรยากาศและกลิ่นอายที่โดดเด่นราวกับวีรบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง เขาคือบุรุษที่เกิดในตระกูลขุนนางใหญ่

 

ส่วนดรุณีน้อยในชุดกระโปรงขาวบริสุทธิ์ที่กำลังแอบอิงพิงกายชายหนุ่มอยู่นั้นมีอายุราวๆ 15-16 ปี เรือนกายสูงโปร่งบอบบางน่าทะนุถนอม ดวงหน้าที่งามหมดจนล้วนเต็มไปด้วยความสดใสของวัยสาวผสานความสง่างามของผู้ดีมีชาติตระกูล

 

ดรุณีน้อยผินดวงหน้าเหม่อมองชายหนุ่มเล็กน้อย  วงหน้าอันงดงามปรากฏรอยยิ้มเบาบางขึ้นสายหนึ่ง เปล่งวาจาคมชัดสดใสอย่างแผ่วเบา

“พี่ใหญ่เทียนซิงคะ อีกสามวันจะเป็นวันรับสมัครศิษย์ใหม่ของนิกายหนุนสวรรค์  เหล่าผู้มีความสามารถจะไปรวมตัวกันกลางเมืองจักรวรรดิเพื่อเข้าร่วมในการประเมินผลการเข้าร่วมนิกาย”

 

“ พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านตั้งเป้าจะเข้าร่วมนิกายหนุนสวรรค์มานานแล้ว ตอนนี้ท่านพร้อมแล้วหรือไม่ ?”

 

จี้เทียนซิงกุมมือนุ่มนิ่มขาวพ่องของดรุณีน้อยและเผยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ

 

“ น้องหยุนเฟย นิกายสนุนสวรรค์เป็นนิกายอันดับหนึ่งของภูมิภาคดาราสวรรค์ของเรา มันควบคุมอาณาจักรทั้งสิบของภูมิภาคดาราสวรรค์ ทุกๆสามปีนิกายหนุนสวรรค์จะเปิดรับศิษย์ใหม่ แต่หาใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าเป็นศิษย์ที่นั่น”

 

“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันและพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดของข้า อาจจะเพียงพอเข้าร่วมนิกายหนุนสวรรค์ได้ก็เป็นได้”

 

ได้ยินสิ่งที่จี้เทียนซิงกล่าว หลิงหยุนเฟยก็เผยสีหน้างุนงง คนผุดยิ้มตื้นและกล่าวว่า

 

“พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว ท่านเป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองจักรวรรดิ, คุณชายใหญ่แห่งตระกูลจี้ อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองจักรวรรดิในรุ่นนี้”

 

“สามปีก่อนท่านมีพลังในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่เก้าก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะแห่งเต๋าในเชิงยุทธ์ของเมืองจักรวรรดิแล้ว  นับตั้งแต่ที่ข้ามอบลูกปัดที่เป็นมรดกสืบทอดของตระกูลหลิงให้ท่านไป สายเลือดปราณกระบี่ของท่านก็พัฒนาไปอย่างล้ำลึก ท่านเพียงใช้เวลาสามปีนี้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 7 จากปรับแต่งกายาขั้นที่  9”

“ด้วยความเร็วการฝึกฝนของท่าน นับประสาอันใดกับการเป็นอันดับหนึ่งในเมืองจักรวรรดิ ท่านสมควรถูกเรียกว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งทั่วทั้งรัฐฟ้ากระจ่างต่างหาก เวลานี้ท่านไม่เพียงจะสามารถผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย แต่สมควรผ่านได้อย่างสบายใจต่างหาก  ก่อนอื่นท่านต้องเป็นศิษย์หลักของนิกายหนุนสวรรค์ให้ได้”

 

จากการชมไม่หยุดปากหลิงหยุนเฟย จี้เทียนซิงไร้ซึ่งอาการเย่อหยิ่งทะนงตนแต่อย่างใด  สีหน้าของเขายังคงสงบเสงี่ยม

 

เขาเหยียดมือออกไปลูบศีรษะน้อยของหลิงหยุนเฟยพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องหยุนเฟย เจ้าก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เจ้าไม่เพียงแค่เป็นธิดาของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่เท่านั้น แต่เจ้ายังเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในหมู่รุ่นเยาว์ทางด้านโอสถศาสตร์ ขอบเขตต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ห้าของข้านั้นมิได้ต่างอันใดกับสถานะสูงส่งของเจ้าเลย”

 

“หลังจากนี้อีกสามวันเจ้าจะต้องผ่านการประเมินและเข้าร่วมกับข้าในนิกายหนุนสวรรค์ได้อย่างแน่นอน  พวกเราหมั้นหมายกันมาได้สามปีแล้ว หลังจากเข้าร่วมนิกายได้แล้วข้าจะเตรียมของหมั้นให้ตระกูลหลิงและพาเจ้าเข้าตระกูลจี้”

 

“อะ… พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านอย่าพูดเช่นนี้…. ข้าอาย…”

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่จี้เทียนซิงกล่าว หลิงหยุนเฟยก็หน้าแดงเข้มและเอนตัวลงซบไหล่ของมัน

 

จี้เทียนซิงยิ้มอย่างอบอุ่นและเหยียดแขนออกไปโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน มันเอ่ยเบาๆว่า “หยุนเฟย หากมิได้พบเจ้า ข้าคงไม่มีวันนี้ ฉายาอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองจักรวรรดิเป็นผลงานของเจ้าครึ่งหนึ่งแล้ว”

 

“หยุนเฟยพวกเราเข้านิกายหนุนสวรรค์พร้อมกันให้ได้นะ พวกเราจะได้ฝึกฝนร่วมกันและไล่ตามมรรคายุทธ์ไปให้ถึงจุดสูงสุด…”

 

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความคาดหวังในอนาคตที่สวยงาม ทว่ามันมิได้สังเกตเห็นแสงเย็นเยือกที่ทอประกายอยู่ในดวงตาคู่งามของหลิงหยุนเฟยในอ้อมแขนมันเลยแม้แต่น้อย…

 

มือขวาขาวเนียนของหลิงหยุนเฟยดูเหมือนจะกดลงที่ท้อง ณ จุดตันเถียนของจี้เทียนเซิงโดยไม่ได้ตั้งใจและระเบิดพลังอันรุนแรงออกมา ทันใดฝ่ามือของนางก็ระเบิดเป็นไฟสีแดง

 

 

ปัง**!**

 

จี้เทียนซิงร่ำร้องดังสนั่นและรับฝ่ามืออันรุนแรงของหลิงหยุนเฟยเข้าเต็มเปา มันล้มลงกับพื้นที่แทบเท้าของนางด้วยใบหน้าซีดขาวไร้สีสัน

 

จี้เทียนซิงพยายามลุกขึ้นและปาดแขนเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของมัน มันมองไปที่หลิงหยุนเฟยอย่างไม่น่าเชื่อและร่ำร้องออกมาว่า “หยุนเฟย  เจ้า…  เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้กับข้า !!!”

 

มันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลิงหยุนเฟยผู้ซึ่งครองรักกับมันมานานถึงสามปีจะทำร้ายมัน

 

ในเวลานี้เองบุคลิกของหลิงหยุนก็เปลี่ยนแปลงไป อารมณ์ที่สดใสน่ารักและสง่างามของนางหายไปหมดสิ้น

 

นางจากจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงอย่างเย็นชาด้วยท่าทางเหยียดหยามและเดินไปอย่างช้าๆทีละก้าวพร้อมทั้งกล่าวว่า

“จี้เทียนซิง เจ้าคิดว่าด้วยความมั่งคั่งและพลังของตระกูลจี้ของเจ้าจะทำให้ข้ารู้สึกดีเช่นนั้นหรือ ?”

“เจ้าคิดว่าตั้งแต่สามปีก่อน เจ้าทำให้ข้ารู้สึกดีและเกิดรักแรกพบกับเจ้าเช่นนั้นหรือ ?”

“ฮึฮึ จี้เทียนซิง เจ้าช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว !”

 

เสียงของหลิงหยุนเฟยนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและเยาะเย้ย ใบหน้าที่น่ารักงดงามของนางเต็มไปด้วยอาการเย้ยหยัน

 

จี้เทียนซิงพยายามชันกายขึ้นยืนพิงต้นสนโบราณและมองดูนางด้วยสายตาเหลือเชื่อ

 

ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าคู่หมั้นผู้อ่อนโยนและสง่างามตรงหน้าเขานี้ดูแปลกประหลาดมาก

 

หลิงหยุนเฟยเดินมาหามันและมองมันด้วยความสงสารพร้อมกับพูดอย่างเย้ยหยันว่า  “จี้เทียนซิง ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง เหตุผลที่ข้าแสร้งทำเป็นหลงรักเจ้าและมักจะปรุงเม็ดยาให้เจ้านั้น ข้าไม่ได้คิดจะช่วยเจ้าบ่มเพาะแต่อย่างใด มันก็เพื่อลูกปัดดวงจิตเท่านั้น !”

 

“ลูกปัดดวงจิตในร่างกายของเจ้าแท้จริงแล้วคือลูกปัดครองวิญญาณ ! ข้าเก็บมันไว้ในตันเถียนของเจ้า  มันสามารถช่วงชิงพื้นฐานการฝึกฝนและพรสวรรค์ทางสายเลือดที่มีมาแต่กำเนิดของเจ้าได้ ยิ่งพรสวรรค์ทางสายเลือดแข็งแกร่งเพียงใด  ลูกปัดครองวิญญาณก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น !”

สีหน้าของจี้เทียนซิงเปลี่ยนไปในทันที มันไร้ซึ่งสีสันและเผยให้เห็นอาการตกใจ มันตะโกนออกมาด้วยความโกรธาว่า “หลิงหยุนเฟย เจ้าหลอกใช้ข้า เจ้าคิดครอบครองพรสวรรค์เชิงยุทธ์และพื้นฐานพลังบ่มเพาะของข้าด้วยลูกปัดครองวิญญาณ !?”

 

“เจ้า…. เจ้ามันนังอสรพิษ !!”

ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวอย่างสุดแสน ตันเถียนของจี้เทียนซิงกำลังถูกจำกัด โลหิตหลั่งไหลออกมาจากปากของมัน

 

มันใช้พลังต้นกำเนิดโดยไม่รู้ตัวและต้องการที่จะระงับอาการบาดเจ็บของตันเถียน

 

มันพยายามจะหนีอย่างสิ้นคิดแต่กลับพบว่าร่างกายราวกับเป็นอัมพาตและเคลื่อนไหวไม่ได้แม้แต่น้อย

 

เมื่อเห็นภาพลักษณ์อันน่าอนาถาของจี้เทียนซิง หลิงหยุนเฟยก็แสดงท่าทีเหยียดหยาม นางแสยะยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวเย้ยหยันว่า “จี้เทียนซิง เจ้าไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขัดขืน ก่อนจะมาที่ภูเขาแห่งนี้ข้าได้วางยาชาเจ้าเอา พลังต้นกำเนิดของเจ้าถูกผนึกไว้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะหนี !”

 

“อย่าลืมสิว่าข้าคือผู้เชี่ยวชาญโอสถอันดับหนึ่งของเมืองจักรวรรดิ ! เพื่อที่จะจัดการกับเจ้า ข้าใช้เวลาถึงครึ่งเดือนในการหาทางทำลายและปิดผนึกพลังต้นกำเนิดเจ้า !”

“ข้ามิเอ่ยไร้สาระกับเจ้าอีกแล้ว ลูกปัดครองวิญญาณของข้าแฝงอยู่ในตันเถียนของเจ้ามาได้สามปีแล้ว  ถึงเวลาที่ข้าจะได้เห็นมันอีกครั้ง  ฮึฮึ…”

 

ในขณะที่แสยะยิ้มเย้ย หลิงหยุนเฟยก็เคลื่อนกายมาถึงตันเถียนของจี้เทียนซิง ฝ่ามือของนางระเบิดแสงสีแดงออกมา

 

 

อ้ากกกกกกกกกกกกก**!!!**

 

จี้เทียนซิงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและโกรธา แต่มันก็มิอาจต่อต้านอันใดได้  มันทำได้เพียงส่งเสียงคำรามเท่านั้น

 

“หลิงหยุนเฟย….  เจ้ามันนางอัปรีย์ชั่วร้าย ข้า.. ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่ ! หลิงหยุนเฟย !!!!”

ใบหน้าอันงดงามของหลิงหยุนเฟยนั้นแสดงออกถึงความเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม พลังต้นกำเนิดของฝ่ามือนางก็ทะยานขึ้นอีก 30%และลูกไฟสีแดงก็สว่างขึ้น

 

ปัง!****“

จี้เทียนซิงถูกทำลายตันเถียน  ทันใดนั้นเองก้อนโลหิตก็ฉีดพุ่งออกจากปากของมัน

 

ก้อนโลหิตนี้มีขนาดเท่ากับลูกปัดสีแดงเข้มซึ่งมีลักษณะโปร่งใสเหมือนแก้วและเปล่งแสงสีแดงจางๆออกมา

 

นี่คือลูกปัดครองวิญญาณที่บรรจุไว้ด้วยพื้นฐานการบ่มเพาะชั่วชีวิตของจี้เทียนซิงและสายเลือดลมปราณกระบี่อันลึกซึ้งของมัน !

 

หลิงหยุนเฟยหยิบลูกปัดครองวิญญาณออกมามองชั่วขณะหนึ่งและแสดงสีหน้าอันยินดีออกมา

“สายเลือดลมปราณกระบี่อันลึกซึ้งมิธรรมดายิ่งนัก อีกทั้งลูกปัดครองวิญญาณก็ยังสามารถเติบโตขึ้นได้จุดนี้ในเวลาเพียงแค่สามปี !”

“จี้เทียนซิง ข้าอยากจะขอบคุณเจ้านับล้านครั้งเสียเหลือเกิน พรสวรรค์ของเจ้าไม่ธรรมดายิ่งนัก !”

 

จี้เทียนซิงขมกรามแน่นและพยายามสะกดกลั้นอาการบาดเจ็บอันรุนแรงเอาไว้ มันคำรามเสียงต่ำด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างสุดแสนว่า

“หลิงหยุนเฟย ! แม้นเจ้าจะใช้ลูกปัดครองวิญญาณ  แต่ด้วยความสามารถอันล้ำลึกของสายเลือดลมปราณกระบี่อันลึกซึ้งของข้า ข้ายังคงเป็นผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะ ในไม่ช้าข้าจะฟื้นฟูพลังกลับมาให้ได้ !”

“ถึงเวลานั้น…. ข้าจักตอบแทนการกระทำของเจ้าในวันนี้กลับคืนไปนับสิบๆเท่า !”

 

หลิงหยุนเฟยหัวเราะอย่างเหยียดหยามและกล่าวว่า “ฮ่าๆๆ ….  จี้เทียนซิงเอ๋ยจี้เทียนซิง  เจ้ามันคิดตื้นเขินและเด็กน้อยยิ่งนัก เจ้าประเมินความสามารถของลูกปัดครองวิญญาณของข้าต่ำเกินไปแล้ว !”

“มันไม่เพียงแค่ดึงความสามารถและพลังบ่มเพาะของเจ้าไปเท่านั้น แต่มันยังยึดครองสายเลือดลมปราณกระบี่อันล้ำลึกของเจ้าไปด้วย ! จากนี้ไปเจ้าก็แค่คนพิการไร้ค่าที่มิอาจฝึกปรือพลังฝีมืออันใดได้ เจ้าจะเอาอันใดมาแก้แค้นข้า ?!”

 

“เจ้า …!”

จี้เทียนซิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและได้รับแรงกระตุ้นอารมณ์อันรุนแรงอย่างหนักหน่วง ทันใดนั้นดวงตาของมันก็เหลือกขึ้นและหมดสติไป

 

ในเวลานี้เอง ด้านหลังต้นไม้เก่าแก่ บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่มีใบหน้าอันงดงามและเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันสุภาพอ่อนโยนก็ปรากฏกายขึ้น

เมื่อหลิงหยุนเฟยเห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้น นางก็เผยรอยยิ้มอันงดงามในทันทีและทักทายมันอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งส่งมอบลูกปัดครองวิญญาณให้มัน

“องค์ชายน้อย ข้าทำสำเร็จแล้ว ลูกปัดครองวิญญาณเม็ดนี้สมควรส่งคืนเจ้าของเช่นท่าน”

 

องค์ชายน้อยรับลูกปัดครองวิญญาณมาและกอดหลิงหยุนเฟยไว้ในอ้อมแขนของมันด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “เฟยเฟย  เจ้าต้องคับข้องใจมานานถึงสามปี เจ้าจงมั่นใจได้เลยว่าราชาผู้นี้จะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง”

 

หลิงหยุนเฟยเผยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข นางจ้องมองไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มรูปร่างและกระซิบแผ่วเบาว่า “องค์ชายน้อย.. เพื่อท่าน หยุนเฟยเต็มใจ”

 

“องค์ชายน้อย ท่านต้องทำการกลั่นลูกปัดครองวิญญาณโดยเร็วที่สุด ในไม่ช้า ท่านจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเพคะ…”