ตอนที่ 219 ตกเข้าไปในกับดัก

“หากเจ้าต้องการว่านฮวาหงได้โปรดไปที่วัดรั่วซุ่ย! โปรดจำไว้! อย่าลืมนำของที่เจ้าได้มาเมื่อวานมาด้วย!” ซูหวานหว่านอ่านเนื้อหาในจดหมาย

“วัดรั่วซุ่ย?” ความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของเป่ยฉวนเฟิงหลิว

วัดรั่วซุ่ยเป็นวัดย่อยของวัดต้ารั่ยซุ่ยในเมืองหลวงที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อห้าปีก่อนด้วยการลงมือของผู้มีอำนาจสูงสุด ภายในมีทิวทัศน์ที่สวยงามและเป็นที่นิยมอย่างมาก หากแต่ที่แห่งนั้นก็ค่อนข้างเป็นวัดที่มีความลึกลับ เพราะต้องมีการนัดหมายก่อน อีกทั้งต้องมีแผ่นป้ายยืนยันตัวตนมาแสดงถึงจะเข้าไปได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือคนที่จะเข้าไปได้ต้องได้รับการอนุญาตก่อน ทำให้มีผู้คนเข้าไปได้น้อยมาก และมันยังเป็นสถานที่ที่ดีในการฝึกฝนร่างกายและจิตใจ โดยทั่วไป ผู้มีอำนาจและมียศใหญ่ ๆ เท่านั้นในเมืองหลวงที่จะเข้าไปได้

ดังนั้นคำถามคือใครเป็นผู้มีอำนาจที่สามารถขอให้นางเข้าไปยังสถานที่นั้นได้! เป่ยฉวนเฟิงหลิวจึงเอ่ยออกมาว่า “ศิษย์น้อง เจ้าลองเดาดูสิว่าคนผู้นั้นเป็นใคร?”

ซูหวานหว่านเลิกคิ้วขึ้น หยิบหลักฐานในแขนเสื้อออกมา “เมื่อคืนข้าได้แอบเข้าไปที่บ้านของซุนซ่างชูและนำของสิ่งนี้ออกมาได้ ข้าเดาว่าคนที่ต้องการเอาหลักฐานชิ้นนี้ก็น่าจะเป็นซุนซ่างชู! แต่ว่า… ซุนซ่างชูถูกทหารจับตัวไปแล้ว เช่นนั้นใครกันเล่าที่จะเชิญข้าไปที่นั่นได้อีก?”

“อืม…” เป่ยฉวนเฟิงหลิวก็รู้สึกสับสนงุนงง ผู้คนที่ซูหวานหว่านทำให้ขุ่นเคืองในเมืองโจวมีไม่น้อย นอกจากนี้ก็ยังมีตระกูลเจียที่เพิ่งถูกนางทำให้อับอายขายขี้หน้า เขาคิดถึงใครไม่ออกจริง ๆ ณ ตอนนี้

ตระกูลเจียและซุนซ่างชูยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แน่นอนว่าตอนนี้ตระกูลเจียจะต้องหลบหนีไปซ่อนที่อื่นกันหมดแล้ว ต้องไม่ใช่เจียเหวินแน่นอนที่เป็นคนเชิญนางไปที่นั่น!

ทั้งสองคนตกอยู่ในห้วงความคิด หญิงสาวครุ่นคิดอยู่นานก็พูดออกมาว่า “ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าก็จะต้องไปที่นั้น เพื่อนำว่านฮวาหงมาให้ได้ ข้าถึงจะวางใจ”

“อืม” เป่ยฉวนเฟิงหลิวพยักหน้า ชายหนุ่มนับถือความคิดของซูหวานหว่านที่คิดจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เขาจึงเอ่ยว่า “งั้นพวกเราสองคนควรไปด้วยกัน ข้านั้นต้องการดูว่าคนคนนั้นเป็นใคร! หากเขาคิดจะทำอะไรเจ้า ข้าจะได้ปกป้องเจ้าได้ทันที”

หลังจากที่ได้ยินแบบนี้ ซูหวานหว่านก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาในทันที รู้สึกว่าการที่มีศิษย์พี่คนนี้อยู่ก็ไม่เลวเลยทีเดียว

พวกเขาทั้งสองส่งคนไปที่วัดรั่วซุ่ยเพื่อทำการนัดหมาย เมื่อได้รับแผ่นป้ายยืนยันตัวตนก็รีบนั่งรถมุ่งหน้าไปวัดรั่วซุ่ยทันที

ระหว่างทางเปลือกตาของซูหวานหว่านกระตุกไม่หยุด ความรู้สึกสังหรณ์ใจผุดขึ้นมาในใจ นกที่ถูกปล่อยเอาไว้ก่อนหน้านี้บินมาเกาะขอบหน้าต่างและส่งเสียงออกมา ซูหวานหว่านรับรู้ได้ทันที คิ้วของนางพลันขมวดแน่นขึ้น

เป่ยฉวนเฟิงหลิวเลิกคิ้วและถามออกมาว่า “ศิษย์น้องเหตุใดนกถึงชอบเจ้านัก เวลาที่ข้านั่งข้างหน้าต่างแบบนี้ไม่เห็นมีนกตัวไหนบินมาเกาะแบบนี้เลยสักตัว หรือว่าข้าดูดีได้ไม่เท่าเจ้ากัน ข้าเองก็เป็นคนดังเหมือนกันนะ?”

ใครจะสามารถหัวเราะออกมาได้ในช่วงเวลาสถานการณ์ที่ตึงเครียดแบบนี้ได้กัน! เกรงว่าไม่มีใครสามารถทำได้ แต่ซูหวานหว่านกลับหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ส่งเสียงร้องเหมือนนกออกมาสองสามครั้งและดูเหมือนว่านกจะเข้าใจ บินขึ้นไปบนรถม้าไปเกาะที่ไหล่ของเป่ยฉวนเฟิงหลิว ส่งเสียงร้องออกมาสองสามครั้ง เป่ยฉวนเฟิงหลิวถึงกับตกใจ “ศิษย์น้อง ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูดออกมานะ?”

ซูหวานหว่านกลอกตามองบนและพูดว่า “นกมันก็ต้องฟังภาษานก คนก็ต้องฟังภาษาของคน มันจะไปเข้าใจในสิ่งที่คนพูดได้อย่างไร หากมันฟังเข้าใจข้าจะขอให้มันบินไปขี้ใส่บนหัวเจ้าเลยคอยดู”

“ศิษย์น้องคนนี้ช่างอารมณ์ฉุนเฉียวนัก! ตอนนี้พวกเรามีกันแค่สองคนเท่านั้น หากเจ้าทำอะไรให้ข้าไม่พอใจละก็ ข้าจะไม่คอยปกป้องและช่วยเหลือเจ้าเลยคอยดู!” เป่ยฉวนเฟิงหลิวพูดออกมา ชายหนุ่มจ้องไปที่นกบนไหล่ของเขาและก็เห็นนกกำลังกลอกตา!

หลังจากนั้นมันก็หันก้นของตัวเองใส่เป่ยฉวนเฟิงหลิว ดูเหมือนว่ามันกำลังจะขี้ใส่เขา ชายหนุ่มจึงจับนกขึ้นมาด้วยความรังเกียจ ทันใดนั้นก็โยนมันออกไปนอกหน้าต่างและพูดว่า “ไป ไป! ข้าเป็นคนรักสะอาด! เจ้าอย่ามาทำอะไรที่มันส่งผลกระทบต่อรูปร่างและภาพลักษณ์ที่ดีของข้า ข้ายังอยากเป็นชายหนุ่มในอุดมคติที่เป็นที่ต้องการของสาว ๆ อยู่นะ!”

ศิษย์พี่คนนี้ของนางช่างเป็นคนหลงตัวเองจริง ๆ!

ซูหวานหว่านคิดว่ามันน่าตลกสิ้นดี หญิงสาวมองไปยังนกนอกหน้าต่าง รู้สึกสงสารมันขึ้นมา แต่ทันใดนั้นนกก็บินกลับมา เกาะอยู่บนมือของเป่ยฉวนเฟิงหลิวแล้วขี้ใส่ทันที!

เมื่อมันทิ้งระเบิดเอาไว้ก็บินหนีออกไปในพริบตา เป่ยฉวนเฟิงหลิวจ้องไปมือของเขาด้วยความรังเกียจและพูดออกมาว่า “ข้าไม่ต้องการสู้กับเจ้าหรอกนะ! ทว่าหากเจ้าเห็นข้าเมื่อไรโปรดอยู่ให้ห่างข้าด้วยแล้วกัน มิฉะนั้นข้าจะจับเจ้ามาย่างกินเลยคอยดู!”

ในระหว่างเดินทางเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น มันทำให้นางรู้สึกคลายกังวลขึ้นมาอย่างมาก และทำให้อารมณ์ของนางนั้นรู้สึกดีขึ้น ในที่สุดทั้งสองคนก็ได้เดินทางมาถึงวัดรั่วซุ่ยในเวลาพลบค่ำ เป่ยฉวนเฟิงหลิวรู้สึกว่ามือของเขาสกปรกยิ่ง หลังจากเข้าวัดมาเขาแทบรอไม่ไหว ขอให้พระบอกว่าสามารถหาบ่อน้ำภายในวัดได้ที่ไหนเพื่อตักน้ำเอามาล้างมือ

ซูหวานหว่านยืนรออยู่ที่ปากทางเข้าวัด ประมาณหนึ่งเค่อ ก็มีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาบอกกับนางว่า “แม่นางซู ขอเชิญให้เจ้าเดินตามอาตมา”

แม่นางซู? รู้ได้อย่างไรว่านางแซ่ซู หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น แสร้งทำเป็นตื่นตระหนก พระรูปนั้นกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ซูหวานหว่าน แม่นางซู โปรดเชิญทางนี้เถิด เจ้าอาวาสเสวียนปินแห่งวัดรั่วซุ่ยของเราได้เชิญพบเจ้า”

เจ้าอาวาสเสวียนปิน? นางเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ซูหวานหว่านได้ยินมาว่าอีกฝ่ายเป็นพระภิกษุที่ติดตามจักรพรรดิไปทางทิศใต้ของแม่น้ำแยงซีสามครั้งเพื่อขับไล่ความชั่วร้าย และยังเป็นที่เคารพนับถือขององค์จักรพรรดิอีกด้วย

แต่นางกลับไม่เคยเจอบุคคลท่านนี้มาก่อนเลย แล้วเหตุใดถึงเชิญนางมาที่นี่ อีกทั้งยังรู้ชื่อของนางอีกด้วย มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่ามีคนไปสืบเรื่องของนางมาจากคนอื่นกันแน่?

ซูหวานหว่านจึงถามออกมาด้วยความสงสัย “ข้าขออนุญาตสอบถาม ไม่ทราบว่าเจ้าอาวาสเสวียนปินเชิญข้ามาที่นี่มีธุระอะไรอย่างงั้นรึ?”

พระรูปนั้นส่ายหัว นัยน์ตาของเขานิ่งสงบ พูดออกมาแบบอย่างเรียบนิ่งว่า “แม่นางซู หากเจ้าไปถึงเมื่อไรเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง เพียงแค่เจ้าพูดถามออกมาเขาก็สามารถตอบข้อสงสัยของเจ้าได้หมด และแม้กระทั่งบอกทางกลับ…กับเจ้า”

หนทางที่จะกลับไป? ซูหวานหว่านตกตะลึงไปโดยคิดว่ามันน่าเป็นหนทางกลับไปสู่ยุคที่นางข้ามมิติมา หลังจากครุ่นคิดไปอยู่ครู่หนึ่งซูหวานหว่านก็พูดออกมาว่า “ข้ารอท่านพี่ของข้าก่อน ถึงจะเดินเข้าไปข้างใน”

พระรูปนั้นส่ายหัวออกมาอีกครั้ง “เจ้าอาวาสบอกว่าเขาอยากจะพบกับเจ้าเพียงคนเดียว หากมีคนอื่นติดตามมาด้วย ท่านไม่ต้องการพบ”

มีกฎแบบนี้ด้วยหรือ? ซูหวานหว่านขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับหยิบขวดน้ำงามออกมาเทลงบนถุงหอมบริเวณเอวของตนเอง “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอยากมากที่จะได้เข้าพบกับเจ้าอาวาสเสวียนปิน ข้าขออนุญาตชำระเอาสิ่งสกปรกออกไปด้วยน้ำหอมก่อนที่จะเข้าพบท่าน”

ซูหวานหว่านต้องการทิ้งกลิ่นของน้ำงามเอาไว้บนร่างกายของนาง ที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เป่ยฉวนเฟิงหลิวหาตัวของนางพบ!

พระรูปนั้นเดินนำทางซูหวานหว่านเข้าไป พวกเขาใช้เวลาเดินอยู่นาน ขึ้นไปบนยอดของหอคอย เมื่อมาถึงซูหวานหว่านก็เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดสีแดง นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อ แล้วเคาะไม้อยู่ข้างในราวกับว่าไม่ได้ทันสังเกตว่ามีคนเดินเข้ามา!

ซูหวานหว่านยืนรออยู่เช่นนั้นสักพัก ไม่นานพระรูปที่นำทางมาก็ค่อย ๆ ถอยหลังเดินออกไป เจ้าอาวาสเสวียนปินพลันหยุดเคาะไม้ในมือทันที เขาเหลือบมองไปที่ซูหวานหว่านพร้อมกับตกใจเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ซูหวานหว่าน เจ้าเชื่อเรื่องบาปกรรมหรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความคาดหวังของซูหวานหว่านที่มีต่อเจ้าอาวาสเสวียนบินก็แตกสลายกลายเป็นฟองอากาศ และความขยะแขยงฉายชัดขึ้นมาในดวงตาของนาง หญิงสาวกล่าวออกมาว่า “ข้าไม่ใช่ซูหวานหว่าน ข้าคือเป่ยฉวนเฟิงอวิ๋น ที่ข้ามาที่นี่กับท่านพี่ของข้าก็เพื่อมาเอาว่านฮวาหง ถ้าหากว่าท่านมีอยู่ในมือโปรดส่งมันมาให้ข้า”

“เฮอะ!” ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะประชดประชันดังออกมา “หากเจ้าไม่ใช่ซูหวานหว่าน เจ้าจะสนใจในสิ่งที่พระรูปนั้นเชิญเจ้ามาที่นี่ทำไม? เจ้ายังบอกอีกว่าเจ้าต้องการว่านฮวาหง? ข้าขอเปลี่ยนคำพูด สั่งให้พระรูปนั้นใช้ชื่อจริงของเจ้าและเชิญเจ้าเข้ามาที่นี่! หากเจ้าใช่และเดินเข้ามามันก็ถือว่าเป็นการยอมรับแล้ว เจ้าจะแก้ตัวไปเพื่ออะไรกัน?”

เสียงนี้คือ… เสียงของซูเสี่ยวเหยียน!

ซูหวานหว่านขมวดคิ้วและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ซูเสี่ยวเหยียนก็พูดออกมาอีกว่า “เจ้าอาวาสเสวียนปิน ข้าให้เงินมากมายเพียงพอเพื่อให้เจ้าทำตามทำสิ่งต่าง ๆ ที่ข้าสั่ง! เจ้าได้โปรดมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับนางทีสิ!”

“ได้” เจ้าอาวาสเสวียนปินพยักหน้า ทุบไม้อย่างแรงและทันใดก็มีเสียงสวดมนต์ดังออกมาราวกับคัมภีร์เพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้าย!

ซูหวานหว่านคิดว่ามันคงจะไม่เป็นอะไร คงจะเหมือนกับพระต้มตุ๋นคนก่อน ๆ ที่ไม่มีความสามารถอะไรจัดการอะไรนางได้เลย แต่ว่าตอนที่ซูหวานหว่านกำลังจะเดินจากไป นางก็พลันปวดหัวจนแทบระเบิด! เจ็บปวดราวกับวิญญาณจะถูกดึงออกมาจากร่าง!