บทที่ 80.1 ท่านคือหรงเลี่ยงั้นรึ? (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

“ท่านหญิง!” เจี๋ยหงตกใจจนเกือบจะรีบคุกเข่าลงไปกับพื้น

เทียบกับนางแล้วอิ้งจื่อเรียกได้ว่าใจเย็นกว่ามากนัก นางเดินขึ้นไปด้านหน้าแล้วเอ่ยพูดอย่างเคารพนับถือ

“ท่านหญิงเจ้าคะ พวกข้าหาได้คิดจะปิดบังท่านไม่เจ้าค่ะ แต่เรื่องของผู้เป็นนาย ข้าน้อยมิอาจนำมาพูดกล่าวได้ในเมื่อนายท่านไม่อยากให้ท่านหญิงทราบ ท่านหญิงก็ทำเป็นไม่รู้เถอะนะเจ้าคะ ทุกสิ่งทุกอย่าง…ตัวนายท่านเองเขารู้ตัวดีอยู่แล้วเจ้าค่ะ!”

“เมื่อพูดแบบนี้ แสดงว่าเรื่องนี้มีอะไรแอบแฝงอยู่สินะ?” ฉู่สวินหยางถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เจี๋ยหงอยากจะปฏิเสธคัดค้าน ทว่ากลับถูกอิ้งจื่อกระตุกแขนเสื้อห้ามนางเอาไว้

สีหน้าของฉู่สวินหยางเย็นยะเยือก จ้องมองพวกนางอยู่นานสองนาน

ในเมื่อเหยียนหลิงจวินห้ามไม่ให้พูด นางถามพวกเขาต่อไปอย่างไรก็ไม่ได้ความหรอก

แต่ด้วยท่าทางสองแง่สองง่ามแบบนี้ของอิ้งจื่อเองก็ได้เผยให้เห็นแล้วว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ

นิ่งเงียบคิดอยู่กับที่ชั่วครู่ ฉู่สวินหยางเองก็หาได้ทำให้พวกนางสองคนลำบากใจต่อ ยกชายกระโปรงขึ้นแล้วหันหลังเดินจากออกไป

เมื่อเห็นฉู่สวินหยางเดินเข้าห้องไปแล้ว เจี๋ยหงก็หันไปกระตุกแขนเสื้ออิ้งจื่ออย่างเป็นกังวลแล้วพูดกับนางว่า “นายท่านกำชับว่าอย่าให้ท่านหญิงสวินหยางสงสัยเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ? อิ้งจื่อเจ้า…”

“หากต้องการจะปิดบัง ก็ต้องปิดบังให้ได้สิ!” อิ้งจื่อกล่าว สีหน้าเข้มงวดน่าเกรงขามนั้นเผยให้เห็นความเย็นชาอยู่เนืองๆ “ท่านหญิงเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง เหตุใดถึงจะมองไม่ออกว่าอาการเจ็บป่วยครั้งนี้ของนายท่านผิดปกติเล่า? ฝีมือการแพทย์ของท่านเจ้าหุบเขาปีศาจแกร่งยิ่งกว่าผู้ใด รักษามาหลายวันแต่ก็ยังรักษาไม่หาย เจ้าคิดว่าหากเราช่วยนายท่านปิดบังต่อไป ท่านหญิงจะเชื่อเรางั้นหรือ?”

“แต่ว่า…ถ้าหากนายท่านรู้เข้าล่ะก็…” เจี๋ยหงยังคงกังวลไม่เลิก “ที่เขาไม่อยากบอกให้ท่านหญิงรู้ นั่นก็เพราะว่าไม่อยากลากท่านหญิงเข้าไปพัวพันข้องเกี่ยวกับสงครามภายในของหนานฮวา ตอนนี้คณะทูตของหนานฮวาถูกคังจวิ้นอ๋องส่งตัวไปเมืองหลวงแล้ว หากท่านหญิงโมโหขึ้นมาเมื่อไร แล้วกระทำเหตุใดลงไป ตอนนั้นต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน!”

องค์ชายหกแห่งหนานฮวาถูกกักบริเวณอยู่ในเมืองหลวง ตอนนี้ขนาดองค์รัชทายาทหนานฮวาเฟิงเหลี่ยนเซิ่งก็ยังตามไปด้วยแล้ว

จากนิสัยของฉู่สวินหยางแบบนั้น เดิมทีก็ไม่ได้มองเห็นพวกเขาสองคนอยู่ในสายตาอยู่แล้ว หากเพียงเพราะ

เหยียนหลิงจวินไม่ได้รับความธรรมแบบนั้น แล้วทำให้นางไปก่อเรื่องเพื่อเขา จนวุ่นวายกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเข้า…

ผลลัพธ์ที่ตามมามันไม่อาจคาดคิดได้เลย!

“แล้วมันจะอย่างไรล่ะ ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะคนพวกนั้นลอบทำร้ายอย่างไม่สนใจ ร่างกายนายท่านเองก็ไม่มีทางร้ายแรงจนถึงขนาดท่านเจ้าหุบเขาปีศาจไม่อาจรักษาได้แบบนี้หรอก ตลอดหลายปีมานี้ที่เราต่างได้รับความเจ็บปวดทรมาน อย่างไรซะแล้วคนพวกนั้นก็ต้องชดใช้ให้พวกเราอย่างโดยดี!” อิ้งจื่อกล่าว “ส่วนการเดินทางกลับเมืองหลวงของนายท่านครั้งนี้ คนของพวกจวนเจิ้นกั๋วกงเองก็คงรู้แล้วเหมือนกัน วันหลังถึงแม้จะไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้น แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่มีทางอยู่เฉยๆ เป็นแน่ ในเมื่อจะช้าเร็วอย่างไรก็ต้องปะทะกัน สู้รอปะทะกันซึ่งๆ หน้าแบบนั้น…ข้ากลับคิดว่าวิธีของท่านหญิงนั้นดีกว่ามากนัก!”

ฉู่สวินหยางไม่ใช่คนที่ยอมรอถูกคนอื่นโจมตีอยู่แล้ว!

เมื่อก่อนตอนฮ่องเต้ซีเยว่องค์ก่อน ตอนนั้นเพราะนางเป็นห่วงกังวลฉู่อี้อัน ถึงแอบซ่อนอยู่เบื้องหลังไม่กล้าเผยตัวตน

แต่เมื่อเกิดเรื่องที่เมืองฉู่ครั้งนี้…

ความอาฆาตที่เกิดขึ้นเพราะเหยียนหลิงจวินได้รับอันตรายตอนนั้น มันรุนแรงจนใครก็ไม่อาจห้ามเอาไว้ได้ มันทำให้คนตกใจมากจริงๆ

อิ้งจื่อยอมรับว่าเรื่องนี้ที่นางทำลงไปนางแอบเห็นแก่ตัว แต่ว่า…

คนพวกนั้นสมควรต้องตายจริงๆ!

เจี๋ยหงเองก็ใช่ว่าจะชอบพวกหนานฮวาพวกนั้น ถึงแม้ในใจจะรู้สึกกังวล แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

พวกฉู่สวินหยางพำนักอยู่ที่หุบเขาเพลิงอัคคีอยู่สามวัน วันที่สี่ก็เริ่มเตรียมตัวเก็บของเดินทางกลับเมืองหลวง

ผู้เฒ่าเหยียนหลิงลุกขึ้นมาห่อผ้าเก็บข้าวของตั้งแต่เช้าตรู่ จากนั้นก็มุดเข้าไปจับจองพื้นที่นั่งบนรถม้าคันนั้น

ฉู่สวินหยางกางร่ม เดินเรียงแถวกันออกจากม่านน้ำมาพร้อมกับเหยียนหลิงจวิน

เชินหลานที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วตรงนั้นขมวดคิ้วพลางชี้นิ้วไปบนรถม้า แล้วทำปากพูดว่า ‘ท่านเจ้าหุบเขาปีศาจ’ ออกมา

ถึงแม้ว่าจะรักษาอาการมาหลายวันแล้ว เหยียนหลิงจวินเองก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แต่สีหน้ายังคงขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างสภาพร่างกายที่ทนต่อความหนาวเหน็บไม่ได้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลยแม้แต่นิด

ตอนแช่อยู่ในบ่อยาตอนนั้นมันไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร แต่ทุกครั้งที่ฉู่สวินหยางแตะต้องโดนนิ้วมือเย็นเฉียบของเขานั้น ก็รู้สึกอยากช่วยทำให้ร่างกายเขาอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา

หากจะออกจากหุบเขาจำเป็นที่จะต้องเดินทางผ่านเส้นทางนี้ เมื่อเดินผ่านม่านน้ำออกมาแล้ว ความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกก็ถาโถมเข้าใส่ ถึงแม้ร่างกายของเหยียนหลิงจวินจะถูกห่อหุ้มปกคลุมด้วยเสื้อคลุมหนาเตอะ แต่ไอน้ำก็ทะลักสวนเข้าหลอดลม จนทำให้ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ

เขาไม่อยากให้ฉู่สวินหยางกังวล จึงพยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองกระแอมไอออกมา แต่ก็เพราะพยายามที่จะอดกลั้นเอาไว้ จึงทำให้ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที เดิมทีใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวจนแทบจะเลือดไหลออกมาได้แล้ว

ฉู่สวินหยางมองแล้วรู้สึกเจ็บปวดทรมานใจยิ่งนัก จึงออกแรงกดปลายนิ้วเขาลงเบาๆ

เหยียนหลิงจวินก้มมองนาง

นางสบตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความขอร้องอ้อนวอนแล้วกล่าวว่า “ให้ท่านเจ้าหุบเขาปีศาจตามไปด้วยเถอะ มีเขาอยู่ด้วย อย่างน้อยเขาก็ยังดูแลท่านได้นะเจ้าคะ!”

ใบหน้าสละสลวยเงยขึ้นมองเขา ดวงตาคู่นั้นมันช่างใสบริสุทธิ์ มันอ่อนโยนจนทำให้คนรู้สึกอ่อนระทวย

เหยียนหลิงจวินใจเต้นขึ้นตึกตัก เผยรอยยิ้มออกมา ยกมือขึ้นลูบหน้าของนาง ทว่าสุดท้ายกลับส่ายหัว

เขาผละออกจากฉู่สวินหยางเดินขึ้นหน้าไป เปิดประตูรถไม่พูดอะไร เพียงแต่มองผู้เฒ่าเหยียนหลิงที่นั่งกอดห่อผ้าอยู่ในมุมนั้น

ผู้เฒ่าเหยียนหลิงสบสายตาเข้ากับเขา ก็พลันทำเป็นเข้มแข็งกล้าหาญบ้าบิ่นขึ้นมาทันที เหมือนกับไก่ชนที่พร้อมจะออกสู้แบบนั้นก็ไม่ปาน…

ยืดคอ ถลึงตามองเขาอย่างหาเรื่อง

อายุจะร้อยปีอยู่แล้ว แถมยังเป็นผู้อาวุโสที่เขาเคารพนับถืออีกต่างหาก เหยียนหลิงจวินเองก็ไม่คิดต่อล้อต่อเถียงกับเขา แล้วก็ไม่ได้คิดจะโน้มน้าวเขาด้วย จึงเพียงแค่พูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่งั้นเราเปลี่ยนรถแล้วค่อยออกเดินทางแล้วกัน!”

ผู้เฒ่าเหยียนหลิงได้ยินดังนั้นก็รีบกระโดดลงมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า โยนห่อผ้านั้นใส่ทันที กระทืบเท้าแล้วต่อว่าเขาอย่างโมโห

“ข้าอุตส่าห์หวังดีแต่กลับถูกเข้าใจผิดแบบนี้ เจ้ามันไอ้เด็กใจดำ กล้าคิดทิ้งข้าไว้แบบนี้ก็ลองดู ข้า…ข้า…”

เขาพูดไปได้ครึ่งเดียวก็อ้ำอึ้งพูดอะไรต่อไม่ออก

ไม่ใช่เขาไม่มีวิธีจัดการ แต่กับศิษย์หลานคนเดียวของเขาคนนี้…

เขารักทะนุถนอมเด็กคนนี้มากต่างหาก จะไปกล้าทำอะไรเขาลงได้อย่างไรกัน

——————————–