เมื่อคิดถึงว่าเขาอุตส่าห์เลี้ยงดูเป็นห่วงมาครึ่งชีวิต แต่กลับได้เด็กอกตัญญูไม่รู้คุณแบบนี้มา ผู้เฒ่าเหยียนหลิงคิดแล้วก็รู้สึกเศร้าโศก เบาตาแดงระเรื่อหยดน้ำตาก็พลันไหลมาทันที
คนเขาว่ากันไว้ว่า ‘จะมีคนที่มีชีวิตได้ถึงอายุแปดสิบปีได้นี่น้อยมาก’ จู่ๆ เห็นผู้เฒ่าที่อายุเหยียบร้อยปีน้ำตาตกราวกับเด็กแบบนั้น ฉู่สวินหยางก็ตกใจจนอึ้งตาค้าง หากไม่ได้นึกถึงจิตใจของเหยียนหลิงจวินที่ยืนอยู่ข้างๆ นางเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาตรงนั้นแล้วด้วยซ้ำ
ผู้เฒ่าเหยียนหลิงเองก็รู้สึกขายขี้หน้า แต่ตนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้ จึงหันหลังไปคุกเข่านั่งลงอยู่ในมุมด้านในรถ แล้วหันหลังค่อมๆ ให้พวกคนที่ยืนอยู่ด้านนอก
เหยียนหลิงจวินเห็นเขาทำแบบนั้นก็รู้แล้วว่าเขายอมตกลง จึงหันไปกำชับเจี๋ยหงว่า “ไปเตรียมรถคันใหม่เถอะ!”
“อิ้งจื่อไปจัดการแล้วเจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงตอบเสียงเบา
เสียงของนางไม่ได้ดังมาก แต่พวกเขาอยู่ไม่ไกลกันมาก ผู้เฒ่าเหยียนหลิงเองก็ย่อมได้ยินเช่นเดียวกัน
ทว่าเขากลับไม่ขยับไปไหน เพียงแต่ขดตัวเป็นก้อนนั่งนิ่งๆ อยู่ในมุมของรถนั้น
เหยียนหลิงจวินถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ หันไปพูดกับเชินหลานว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ต่อเถิด ช่วยดูแลท่านอาจารย์เรื่องอาหารการกินกับที่พักเสีย แล้วก็ร่ำเรียนเอาวิชาจากเขามาด้วย!”
“เจ้าค่ะ!” เชินหลานขานรับ น้ำเสียงท่าทางนั้นแฝงไปด้วยความสุขไปกว่าครึ่ง
นางยินยอมคอยติดตามผู้เฒ่าเหยียนหลิงร่ำเรียนวิชา แต่หากให้นางไปโอ๋เด็กทุกวันแบบนั้น นางไม่ชอบใจเท่าไร
แต่นางก็ไม่ได้ขัดคำสั่งของเหยียนหลิงจวิน กลับรับปากทันทีทันใด
อิ้งจื่อเป็นคนหัวไวรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อนางเห็นผู้เฒ่าเหยียนหลิงปรากฏตัวขึ้น นางก็รีบไปเตรียมรถม้าคันใหม่ทันที เลยทำให้พวกเหยียนหลิงจวินไม่ต้องรอนาน ก็ได้รถม้าคันใหม่มาเรียบร้อยแล้ว
ทว่ารถม้าคันนี้กลับเล็กกว่านิดหน่อย ด้านในไม่ได้มีเครื่องประดับตกแต่งอะไรมากนัก แต่มันก็เพียงพอเหลือเฟือสำหรับนั่งกันสองคน
ฉู่สวินหยางและเหยียนหลิงจวินขึ้นรถม้าไปตามลำดับ
ส่วนในด้านรถม้าทางนั้น ผู้เฒ่าเหยียนหลิงยังคงนั่งเข้ามุมอยู่อย่างนั้น เขาได้ยินเสียงรถม้าด้านหลังเคลื่อนตัวผ่านไป แต่ก็ไม่แม้แต่หันหลังไปมองสักนิดเดียว
เจี๋ยหงเป็นคนบังคับรถม้า ส่วนอิ้งจื่อค่อยขี่ม้าป้องกันอารักขาขนาบอยู่ด้านข้าง
เส้นทางบนภูเขาเดินทางลำบาก ทำให้ทั้งรถทั้งม้าเคลื่อนตัวไปได้ช้าพอสมควร
ภายในรถม้าถูกปูด้วยพรมหนังแกะผืนหนาใหญ่ ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินจึงนั่งทับลงไปเลย
เหยียนหลิงจวินพิงกำแพงรถ ส่วนฉู่สวินหยางเอนกายซบตัวเขาไว้ คอยช่วยจัดแจงเสื้อคลุมนั่นให้เขา แล้วกุมมือข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ พยายามใช้อุณหภูมิในร่างกายของตนคอยช่วยให้ความอบอุ่นแก่เขา พลางเงยหน้ามองอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ที่จริงให้เขาไปด้วยมันก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ มีท่านพ่ออยู่ทั้งคน ทางนั้นอย่างไรข้าก็จัดการได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องให้ท่านเจ้าหุบเขาปีศาจเสี่ยงอันตรายเลย”
“ตอนนี้พูดอะไรไปมันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก กลัวเสียแต่ว่าถึงเราจะวางแผนดีแค่ไหน ถึงตอนนั้นแล้วหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ข้าคงไม่มีเวลาไปดูแลเขา!” เหยียนหลิงจวินกล่าว จับนิ้วมือของนางขึ้นมาเล่น พลางพูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “ข้ารู้ความสัมพันธ์ของท่านอาจารย์กับเรื่องภายในราชวงศ์ซีเยว่ดี หากพวกเขาพบกันที่เมืองหลวงเมื่อไร เฟิ่งเหลียนเซิ่งคงต้องคิดถึงท่านแม่ของข้าขึ้นแน่นอน ถึงตอนนั้นยิ่งทำให้เขาสงสัยแล้วเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก ในช่วงเวลาสำคัญเยี่ยงนี้ เราให้เขาหลบอยู่ก่อนจะเป็นทางที่ดีกว่า!”
ความสัมพันธ์อาจารย์และศิษย์ระหว่างเหยียนหลิงโซ่วกับองค์หญิงหยางเซี่ยนไม่เคยเปิดเผยที่ไหน แม้ว่าจะถึงปัจจุบันนี้ เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นความลับในราชวงศ์หนานฮวาอยู่ดี
แต่ในด้านซีเยว่นั้นเหยียนหลิงจวินนั้นได้หยิบยืมชื่อเสียงของเฉินเกิงเหนียนเข้ารับราชการเป็นขุนนางเพื่อตีสนิท
ฉู่สวินหยาง กลับยืนยันความสัมพันธ์นี้ได้
เฟิงเหลี่ยนเซิ่งเป็นคนฉลาดกว่าคนปกติมากนัก เมื่อเอาสถานะตัวตนทั้งสองคนรวมเข้าด้วยกัน แล้วค่อยโยงถึงผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่น ผู้เฒ่าเหยียนหลิงก็ต้องตกเป็นเป้าสายตาของราชวงศ์หนานฮวาแน่นอน
ฉู่สวินหยางรู้ดีว่าคำพูดของเขามันมีเหตุผล ทว่ากลับยังคงรู้สึกหงุดหงิดไม่สบอารมณ์อยู่
เหยียนหลิงจวินสังเกตเห็นว่านางอารมณ์ไม่ดี ก็ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “อาการเจ็บป่วยของข้าไม่ร้ายแรงหรอก ท่านอาจารย์จะตามมาหรือไม่มาก็เหมือนกัน หลังจากนี้ข้ารักษาสุขภาพให้ดีก็เพียงพอแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ!”
ถึงแม้อาการเจ็บป่วยของเขามันจะไม่ถึงชีวิต แต่ครั้นหน้าตาของเขาก็อ่อนแออิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าอย่างไรฉู่สวินหยางก็ยังรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างอดไม่ไหวอยู่ดี
นางเอนกายพิงเขา กอดแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ นั่งพิงลงไปแล้วไม่เอ่ยคำใดขึ้นมาอีก
เหยียนหลิงจวินมองใบหน้าด้านข้างอันนิ่งสงบของนาง เขาก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
ช่วงนี้ฉู่สวินหยางจิตใจแน่วแน่ไม่อ่อนไหว ถึงแม้หากมีทูตของหนานฮวาเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่หลวงในท้องพระโรงเพียงใด นางก็ไม่ได้สนใจการกระทำของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ
ในระหว่างทางกลับเมืองหลวงตอนนั้น นางตั้งใจลดความเร็วในการเดินทางให้ช้าลงไม่ต้องรีบร้อนมากนัก เพื่อต้องการดูแลสุขภาพร่างกายของเหยียนหลิงจวินให้ดี
ม้าเร็วเร่งความไวใช้เวลาเดินทางประมาณสี่วัน แต่พวกเขากลับใช้เวลาไปถึงสิบวันเต็มๆ
ช่วงบ่ายของวันที่สิบ รถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองทางทิศใต้
ภายในรถม้า ฉู่สวินหยางนอนหนุนขาเหยียนหลิงจวินอยู่ยังคงไม่เอ่ยพูดคำใดกับเขา
จื่อเหวยที่อยู่ด้านนอกหันมามองลอดหน้าต่างเข้ามาด้านในแล้วกล่าวว่า “นายท่านเจ้าคะ เข้าประตูเมืองมาแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้เราจะไปไหนกันต่อดีเจ้าคะ?”
ฉู่สวินหยางหาวอย่างเอื่อยเฉื่อยแล้วลุกขึ้นมานั่ง
เหยียนหลิงจวินยกมือจัดผมของนางที่ถูกนอนทับจนยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย พลางพูดว่า “ไปวังบูรพาก่อนแล้วกัน!”
“เจ้าค่ะ!” จื่อเหวยที่อยู่ด้านนอกขานตอบเสร็จ เขาถึงค่อยหันมาคุยกับฉู่สวินหยาง “ข้าไปส่งเจ้าก่อน อีกสักพักข้าต้องเข้าวังหน่อย ในเมื่อกลับมาแล้ว อย่างน้อยก็ต้องเข้าไปทักทายสักหน่อย”
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นว่า “ที่จริงหากเจ้าไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ทางฮ่องเต้ทางนั้นเขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
ถึงแม้พวกเฟิงเหลียนเซิ่งจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเหยียนหลิงจวินเข้า แต่พวกเขาใช่ว่าจะสามารถเปิดโปงเขาได้
แต่ทว่าด้านฮ่องเต้นั้นมันเป็นสถานที่ที่มีข้อขัดแย้งกันจริงๆ ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
“อย่างไรข้าต้องไปหาเขาสักหน่อย เขาใช้ยามาได้สักพักแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ต้องไม่ดีเท่าไรแน่นอน แต่ไม่ว่ามันจะแย่แค่ไหน ขอเพียงมีข้าอยู่ต่ออีกสักวัน ขอมีสถานะอันสำคัญนี้อยู่ อย่างไรซะต้องทำให้ทุกเรื่องสะดวกมากขึ้นแน่นอน!” เหยียนหลิงจวินกล่าว เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเตรียมตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว
————————-