ฉู่สวินหยางรู้ว่าเขาตัดสินใจแล้ว นางจึงไม่ได้คิดที่จะโน้มน้าวเขา เพียงแค่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้ถูกวางยาพิษแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะคิดมาก “ท่านพ่อกับท่านพี่เองก็ตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ แต่คนพวกนั้นจัดการเก็บกวาดสะอาดสะอ้านจนไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิด หากวิเคราะห์จากแรงจูงใจกับความสามารถที่มีนั้น มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นสองพ่อลูกฉู่อี้เจี่ยน!”
ในเมื่อสองพ่อลูกฉู่อี้เจี่ยนพวกนั้นมีไม่จงรักภักดีแต่เดิมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่พวกเขามีความคิดจะลงมือจัดการกับฮ่องเต้แล้วขึ้นครองตำแหน่งแทน มันจึงเป็นเหตุผลที่เหมาะสมยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นแล้ว
เดิมทีฮ่องเต้เป็นคนขี้สงสัยมาแต่ไหนแต่ไร ถึงแม้จะเป็นรุ่ยชินอ๋องกับฉู่อี้เจี่ยน การที่พวกเขาสองคนให้บทเรียนเขาไปอย่างสงบเยือกเย็นไร้ซุ่มเสียงแบบนั้น มันก็ทำให้คนรู้สึกคาดไม่ถึงเหลือเกิน
เหยียนหลิงจวินได้ยินดังนั้น แสงสว่างลิบๆ บางอย่างก็ได้เลือนหายไป
เพียงแต่ว่าตอนนั้นฉู่สวินหยางกำลังรวบรวมสมาธิคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ เลยไม่ทันได้สังเกตเห็น
เมื่อนางเงยหน้ามองเขาตอนนั้นเอง เหยียนหลิงจวินก็ยิ้มยกมือขึ้นลูบหัวนาง “ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร อย่างไรเจ้าก็เตือนองค์รัชทายาทให้ระวังไว้หน่อย อย่าให้เรื่องวุ่นวายพวกนี้ลุกลามไปถึงคนของวังบูรพาก็พอ”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อกับท่านพี่พอมีแผนในใจอยู่แล้ว ไม่มีทางปล่อยโอกาสให้เขาได้หลอกใช้แน่นอน” ฉู่สวินหยางพยักหน้า
เหยียนหลิงจวินเองก็ไม่ได้ตั้งใจเปิดประเด็นอะไรขึ้นมาอีก ทำให้บรรยากาศภายในรถเงียบลงมาทันที
ล้อรถหมุนเคลื่อนผ่านก้อนหิน จึงทำให้จังหวะเสียงดังขึ้นเป็นพิเศษ
เหยียนหลิงจวินคว้าศีรษะนางเข้ามา พลางใช้นิ้วถูไถไปบนริมฝีปากอวบอิ่มของนาง
ฉู่สวินหยางนั่งนิ่งไม่ขยับ
จากนั้นก็โน้มกายเข้ามา ประกบจูบลงบนริมฝีปากของนาง
ความรู้สึกที่ริมฝีปากสัมผัสได้นั้นมันช่างเยือกเย็น ทำให้ฉู่สวินหยางหนาวตัวสั่นขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว จากนั้นจึงอ้าปากเปิดรับการรุกล้ำนั่นของเขา
จุมพิตนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยความต้องการกลืนกินอีกฝ่าย มันเป็นเพียงแค่จูบอันเนิ่นนานที่ให้ความรู้สึกโศกเศร้าเสียเหลือเกินก็เท่านั้น เป็นความอ่อนโยนที่ซึมซาบเข้าไปเส้นเลือดจนทะลุเข้าถึงกระดูก ใช้วิธีการแสดงออกพิสูจน์ให้เห็นว่าตนนั้นเป็นคนที่เหมาะสมกับอีกฝ่ายมากที่สุด
ทั้งสองคนจูบกันอย่างยาวนานโดยไม่ได้ทำอะไรกันมากเกินกว่านั้น
ในตอนสุดท้ายที่ผละออกจากกัน ใบหน้าของทั้งสองคนก็แดงระเรื่อขึ้นมา
เหยียนหลิงจวินแนบปากของตนชิดอยู่บนมุมปากของฉู่สวินหยาง ไม่อยากจะถอยห่างสักวินาทีเดียว จากนั้นเขาก็จูบลงไปบนมุมปากอันนุ่มนิ่มนั่นอีกครั้ง แล้วค่อยพูดขึ้นอย่างสะลึมสะลือว่า “เจ้าคิดว่าข้าไปหาองค์รัชาทายาทเมื่อไรถึงจะเหมาะสม?”
ฉู่สวินหยางเป็นคนฉลาดได้ยินดังนั้นเข้าก็เม้มปากแล้วตอบว่า “รออีกสักสองสามวันเถอะ ช่วงนี้สถานการณ์วุ่นวายมากนัก!”
เหยียนหลิงจวินยิ้ม
ซินเป่าของเขาเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาแบบนี้เสมอ
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางลังเลและพยายามต่อต้านตอนนั้น นางมักจะปฏิเสธการเข้าใกล้และคำมั่นสัญญาของเขา แต่เมื่อถึงตอนนี้การตัดสินใจว่าจะอยู่ด้วยกัน ก็ไม่มีทางที่จะแกล้งทำเป็นปฏิเสธไปต่อหน้าทั้งที่ในใจไม่ได้คิดแบบนั้นไม่ได้หรอก
เป็นอย่างที่คิด…
เขาเองก็อดใจรอที่จะคอยถามหยั่งเชิงรอคอยแบบนี้ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้นางปฏิเสธเขาไปหลายครั้งเหลือเกิน มันทำให้เขารู้สึกต่อต้านกีดกัน ทั้งยังมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยจะถาโถมจู่โจมเข้ามาเมื่อไรก็ได้ ทำให้รู้สึกกังวล…
หากมีวันหนึ่งที่ไม่ได้ครอบครองนางอย่างถูกต้องสักวัน ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัววิตกกังวลอยู่เสมอ
ฉู่สวินหยางแสดงท่าทีออกมาชัดเจน ราวกับบอกให้เขายอมรับให้ได้
รอยยิ้มของเหยียนหลิงจวินเต็มไปด้วยความรู้สึกรักและเอ็นดูเต็มเปี่ยม เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงคล่องแคล่วว่องไว “ได้เลย!”
รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างคงตัว เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป[1] ก็เดินทางมาถึงหน้าประตูวังบูรพาพอดี
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอิ้งจื่อที่อยู่ด้านนอกไม่ยอมมาช่วยเปิดประตู ฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านในรู้สึกคิดถึงบ้านยิ่งนักจึงเปิดประตูออกแล้วกระโดดลงจากรถด้วยตนเอง
เหยียนหลิงจวินก็ตามลงมาด้วย
ทว่านางกลับยิ้มแล้วหันไปจัดคอเสื้อคลุมให้อีกฝ่ายแล้วพูดกับเขาว่า “เจ้าไม่ต้องลงมาหรอก รีบกลับเข้าไปได้แล้ว!”
ทั้งสองคนพูดคุยกันซุบซิบเสียงเบา ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม จนไม่ทันได้ระวังคนรอบข้างไปสักพัก จากนั้นถึงจะได้ยินเสียงหอบหายใจดังขึ้นจากบันไดที่อยู่ไม่ไกล
“ท่านหญิง! ใต้เท้าเหยียนหลิง?” เจิงจีหอบหายใจ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ ภายใต้ความคาดไม่ถึงนั้นแฝงไปด้วยความเป็นกังวล
ฉู่สวินหยางรู้ว่าที่นี่เป็นหน้าบ้านของนาง แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เวลานี้ถึงค่อยได้หันไปมองตามเสียงจนได้พบว่า ในอีกฝั่งของประตูมีขบวนรถม้าอีกขบวนจอดอยู่ ส่วนคนที่ยืนอยู่บนบันไดพร้อมกับเจิงจีนั้น…
กลับเป็นองค์รัชทายาทหนานฮวาเฟิงเหลียนเซิ่ง
ชายผู้นั้นยืนอยู่บนที่สูง สายตาก้มมองฉู่สวินหยางที่ยืนอยู่ด้านล่าง แต่ฉู่สวินหยางกลับสัมผัสได้ชัด…
ในความเงียบงันนั้นเขากำลังสนใจเหยียนหลิงจวินคนที่ยืนอยู่ข้างกายนางต่างหาก
ถึงแม้นางจะเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องได้เจอเขา ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าวันนั้นมันจะรวดเร็วขนาดนี้
สีหน้าของเจิงจีแปลกประหลาด เขายังอึ้งอยู่ เฟิงเหลียนเซิ่งค่อยๆ เดินลงมาหาฉู่สวินหยางพลางกล่าวขึ้นว่า “ท่านหญิงกลับมาได้เวลาพอดีเลย ข้ามีเรื่องอยากถามท่านสักสองข้อ รบกวนพ่อบ้านเจิงช่วยบอกองค์รัชทายาทแห่งแคว้นซีเยว่ให้ด้วยนะขอรับ!”
เจิงจีขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม พลางหันมองไปฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางไม่เปลี่ยนสีหน้า แถมยังพยักศีรษะอย่างสงบนิ่ง เจิงจีถึงไม่อยู่ต่อให้มากความ รีบหันหลังเดินเข้าไปในตัวเรือนทันที
เฟิงเหลินเซิ่งค่อยๆ เดินเข้ามา จากนั้นหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าฉู่สวินหยาง ทว่าสายตากลับมองข้ามผ่านนางไปจับจ้องคนที่อยู่ด้านหลัง กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างนึกสนุกพลางกล่าวว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิง? ท่านคือ…หรงเลี่ยงั้นรึ?”
——————————————–
[1] หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่าหนึ่งชั่วโมง