เหยียนหลิงจวินยิ้มเล็กน้อย “โชคร้ายจริงๆ ไม่นานก็เจอกันอีกแล้ว!”
เขาไม่คิดจะหลบเลี่ยงแม้แต่นิดเดียว
ส่วนฉู่สวินหยางที่อยู่ข้างกันยิ่งหน้านิ่งสนิท นางไม่มีแม้แต่สีหน้าแปลกใจหรืองุนงงแม้แต่น้อย
รอยยิ้มของเฟิงเหลียนเซิ่งค่อยๆ จืดเจื่อนลง และเริ่มพยายามนึกถึงบางเรื่อง
ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดเรื่องคนที่ตกหน้าผาตามฉู่สวินหยางไปที่เมืองฉู่ ทว่าพอเวลานี้เหมือนจะเชื่อมโยงกันได้ก็เข้าใจได้ทันที…
ที่แท้คนนั้นไม่ใช่องครักษ์ที่ฉู่ฉีเฟิงเรียกเวลาอยู่ข้างนอก แต่เป็นคนที่อยู่ตรงหน้านี้!
เหยียนหลิงจวิน หมอหลวงของราชสำนักที่ลือกันว่าไปเมืองฉู่ด้วยกันกับฉู่สวินหยาง แล้วก็เป็น…
หลานคนโตของจวนเจิ้นกั๋วกงที่เขาเพิ่งจะมีวาสนาได้เจอกันที่เมืองหลวงของหนานฮวาครึ่งเดือนก่อน หรงเลี่ย!
แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด ยิ่งข่าวสารไหลบ่าเข้าสู่สมองมากขึ้นในเวลาเดียวกัน ก็ยิ่งทำให้สีหน้าของเขาเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ…
เหยียนหลิงจวินได้ประสบเหตุอันตราย ฉู่สวินได้หยางแก้แค้นทหารหนานฮวาอย่างบ้าคลั่ง ส่วนฉู่ฉีเฟิงก็ส่งสาส์นท้าทายฮ่องเต้หนานฮวาโดยตรง พอเชื่อมโยงแต่ละอย่างนี้เข้าด้วยกัน เขาก็รู้ได้ทันที…
การลอบสังหารนอกเมืองฉู่ในครั้งนั้นต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน
และโชคร้ายมากว่า…
เหมือนจะเป็นฝีมือของเสด็จพ่อเขาที่ไปแหย่รังแตนเข้าให้แล้ว!
พอเชื่อมโยงทุกอย่างนี้เข้าด้วยกันแล้ว เฟิงเหลียนเซิ่งก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอีกทันทีจนหายใจไม่สะดวก
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรร?” เฟิงเหลียนเซิ่งเอ่ย เขาสูดหายใจลึกและพยายามฝืนสงบสติอารมณ์
“เรื่องส่วนตัวของข้า เหมือนจะไม่จำเป็นต้องคอยรายงานเจ้าตลอดเวลา” เหยียนหลิงจวินเอ่ยอย่างไม่ได้เคารพลูกพี่ลูกน้อง ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายในนามของตนเองคนนี้ และยังเป็นองค์รัชทายาทรัชสมัยปัจจุบันสักเท่าไร
ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นในราชสำนักหนานฮวาเสียมากมาย และส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นกั๋วกงและพ่อลูกหรงเสี่ยนหยางกับหรงเลี่ย
แม้เฟิงเหลียนเซิ่งจะไม่อยากสนใจก็ทำได้ยาก เพียงแต่ตอนนี้เขากลับหาตำแหน่งและจุดยืนของตนเองไม่เจอไปชั่วครู่ เมื่อเผชิญหน้ากับเหยียนหลิงจวิน
ชัดเจนว่าเหยียนหลิงจวินมองความคิดของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วเบือนหน้าหนีไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจว่า “อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ก็ดูเหมือนเจ้ากับข้าต่างไม่ล้ำเส้นกัน หากเจ้าไม่มาเลื่อยขาเก้าอี้ข้า แน่นอนว่าข้าก็จะไม่หาเรื่องให้เจ้าเช่นกัน พวกเราทั้งสองฝ่ายก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบ”
สัญญาแบบนี้ใครจะไปเชื่อ
เฟิงเหลียนเซิ่งมองเขาอย่างระแวง แล้วหันไปมองฉู่สวินหยางที่อยู่ข้างกายเขา ทันใดก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาว่า “การที่เจ้าเข้าออกราชสำนักซีเยว่ด้วยฐานะเช่นนี้ ความจริงแล้วเจ้ากำลังเล่นอยู่กับไฟ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าจะปิดบังไปได้นานแค่ไหนกัน? ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งเรื่องก็ต้องแดงออกมาอยู่ดี ถึงเวลานั้นจะทำให้เรื่องบานปลายไปขนาดไหน ยังต้องให้ข้าบอกอีกหรือ?”
“ข้าเคยบอกแล้วว่า เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องยุ่ง!” เหยียนหลิงจวินเอ่ย “ครั้งนี้องค์รัชทายาทมาซีเยว่เพื่อเจรจาสงบศึกและรับองค์ชายหกกลับราชสำนัก เพราะฉะนั้นเจ้าสนใจแค่เรื่องที่เจ้าต้องทำก็พอแล้ว ส่วนข้า…ไม่จำเป็นต้องรบกวนให้เจ้ามาใส่ใจอีกแล้วจริงๆ!”
“เจ้าจะหมายความว่าต่างคนต่างอยู่งั้นหรือ?” เฟิงเหลียนเซิ่งเอ่ย แล้วอยู่ดีๆ เขาก็ยิ้มขึ้นมา แต่ทว่ากลับจ้องไปที่ฉู่สวินหยางอย่างลึกซึ้ง
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นเหยียนหลิงจวินที่อยู่ข้างกันถึงสังเกตเห็น ว่าสีหน้าของเขาแปลกไปและค่อยๆ หันไปมองเช่นกัน
ทว่าเฟิงเหลียนเซิ่งกลับไม่ได้พูดอะไรกับเหยียนหลิงจวินอีก แต่เอ่ยกับฉู่สวินหยางตรงๆ ว่า “ข้ารู้ว่าท่านหญิงพอจะสนิทสนมกับใต้เท้าเหยียนหลิงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้…ขอให้ท่านหญิงหลบเข้าไปในวังก่อนได้หรือไม่?”
คำพูดของเขาฟังดูเหมือนจะลึกซึ้งมากจนถึงขั้นผิดปกติ
ตอนที่ฉู่สวินหยางรู้สึกตื่นตัวขึ้นมานั้น เหยียนหลิงจวินก็เอ่ยอย่างเย็นชาไปแล้วว่า “ไม่จำเป็น ระหว่างเจ้ากับข้าไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังคนอื่น และข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าเช่นกัน ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้!”
เขาพูดไปก็หันไปมองฉู่สวินหยางอีก และเอ่ยเสียงอ่อนลงว่า “เข้าไปก่อนเถิด!”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า ทว่าไม่ว่าจะดูอย่างไรเฟิงเหลียนเซิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกขวางหูขวางตาไปหมด เขาจึงกำชับด้วยสีหน้าเหมือนหงุดหงิดว่า “เดินทางระวังตัวด้วย!”
เหยียนหลิงจวินไม่พูดอะไรอีก และหันตัวไปจะขึ้นรถม้า
ทันใดนั้นเฟิงเหลียนเซิ่งก็ก้มหน้าตบเสื้อผ้าของตนเองด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มและไม่ยิ้ม แล้วก้าวไปข้างหน้าสองก้าว เอ่ย “ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากก่อนแล้วว่าจะไม่ล้ำเส้นกัน เช่นนั้นข้าก็คิดว่าเวลานี้จำเป็นต้องเตือนเจ้าก่อนสักหน่อยดีกว่า ต่อไปต้องรักษาระยะห่างกับท่านหญิงสวินหยาง ไม่งั้น…ข้าจะถือว่าเจ้ากำลังท้าทายข้าก่อน!”
ฉู่สวินหยางอึ้งไปเล็กน้อย
นัยน์ตาของเหยียนหลิงจวินคมกริบดุจปลายมีด ฝีเท้าพลันชะงักไปในทันใดและหันไปมองเขา
พอเห็นว่าในที่สุดอีกฝ่ายก็สนใจแล้ว เฟิงเหลียนเซิ่งก็อารมณ์ดีขึ้นมาในชั่วพริบตา เขาจัดชายแขนเสื้อของตนเองอย่างเอื่อยเฉื่อย พลางอมยิ้มว่า “ครั้งนี้เสด็จพ่อและเสด็จแม่มีรับสั่งให้ข้ามาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซีเยว่ เพื่อแสดงความจริงใจที่จะเปลี่ยนสงครามให้เป็นสันติภาพ ซึ่งข้าได้ส่งสาส์นขอให้ฝ่าบาทมีพระราชโองการแล้วว่าข้านั้นต้องการแต่งงานกับท่านหญิง สวินหยางและให้นางเป็นชายาของข้าองค์รัชทายาทหนานฮวา และข้าก็เพิ่งจะไปพบองค์รัชทายาทซีเยว่ถึงที่และเอ่ยเรื่องนี้ด้วยตนเองแล้วเช่นกัน ดังนั้นเวลานี้ท่านหญิงสวินหยางก็ถือว่าเหมือนเป็นคู่หมั้นของข้าแล้ว ที่จริงใต้เท้าเหยียนหลิงก็ควรจะหลบไป ใช่หรือไม่?”
หนานฮวาต้องการเปลี่ยนสงครามระหว่างซีเยว่ให้เป็นสันติภาพ หากคิดจะใช้เรื่องการแต่งงานเกี่ยวดองกันมาแสดงความจริงใจ และเป็นตัวช่วยให้ทำสำเร็จก็นับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ถ้าเป็นคนอื่นก็แล้วไป แต่คนที่จะเป็นชายาขององค์รัชทายาทหนานฮวาได้…
มองทั่วทั้งราชสำนักซีเยว่แล้วก็เหมือนจะมีเพียงฉู่สวินหยางที่เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
เฟิงเหลียนเซิ่งพูดถึงเรื่องนี้ก็สมเหตุสมผล
ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินฟังแล้วต่างก็ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่…
ประโยคหลังของเขาที่ว่า ‘เหมือนเป็นคู่หมั้น’ นั้นกลับเหมือนมีค้อนหนักอึ้งตกลงบนหัวใจของเหยียนหลิงจวินอย่างแรง ทำให้เขาฟังแล้วรู้สึกขัดหูไปหมด
เหยียนหลิงจวินสายตาเย็นเยียบ จิตสังหารเข้มข้นและรุนแรงเดือดพล่านขึ้นมาทั่วร่างอย่างแทบจะไร้ลางบอกเหตุล่วงหน้า
ก่อนหน้านี้เฟิงเหลียนเซิ่งกับเขาเคยเจอกันสองครั้งที่เมืองหลวงของหนานฮวา เขาแค่รู้สึกว่าคนนี้เกิดมาหน้าตาไม่รับแขก และเพราะร่างกายเจ็บป่วยอ่อนแอจึงทำให้ดูธรรมดาสามัญเช่นกัน
ทว่าเวลานี้เพียงประมาทไปชั่วครู่ กลับถูกเขาข่มขู่และบีบบังคับ สีหน้าจึงเหมือนจะสนใจเขามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เหยียนหลิงจวินมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และสายตาเย็นเยียบ หลังจากนั้นครู่ใหญ่ถึงจะเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เจ้าอยากจะแต่งงานกับใคร ข้าไม่มีสิทธิ์ไปยุ่ง แต่เรื่องใหญ่อย่างการเกี่ยวดองกันของสองแคว้นเช่นนี้ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจครั้งสุดท้ายออกมาอย่างเป็นทางการ ข้าขอเตือนให้เจ้าระมัดระวังไว้หน่อยดีกว่า”
เฟิงเหลียนเซิ่งกลับคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เขาปลดปล่อยสายตาเย็นยะเยือกออกมาแล้วจะหยุดมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ จึงตั้งตัวไม่ทันและอึ้งไปในชั่วพริบตา
ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับไม่สนใจเขาอีกต่อไปแล้ว เพียงแค่มองฉู่สวินหยางอีกครั้งแล้วก็หันตัวขึ้นรถม้าไป
เจี๋ยหงยังอยู่ต่อและยังคงเป็นคนติดตามฉู่สวินหยางกลับวังบูรพา ส่วนอิ้งจื่อขับรถม้าจากไป
ฉู่สวินหยางยืนอยู่ที่เดิมและมองตามจนกระทั่งรถม้าของเขาจากไปไกลแล้ว ถึงหันตัวจะเดินไปทางประตูใหญ่
เฟิงเหลียนเซิ่งมองนางอย่างเยือกเย็น แล้วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยตอนที่ทั้งสองคนสวนกันว่า “ไม่ว่าอย่างไรพวกเราต่างก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว ท่านหญิงไม่มีอะไรอยากจะพูดกับข้างั้นหรือ?”
เหมือนฉู่สวินหยางไม่คิดจะเสียเวลากับเขาแม้แต่นิดเดียวจริงๆ นางเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าวแล้วทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหยุดฝีเท้าและหันไปมอง พลางยิ้มออกมาเช่นกัน
“ในเมื่อเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเห็นแก่หน้าท่านและเตือนองค์รัชทายาทสักหน่อย…สองสามวันนี้อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในเมืองหลวงของข้า เพราะข้าต้องการหินลับมีดสักก้อน หากองค์รัชทายาทยังอยากทำสิ่งที่ฮ่องเต้หนานฮวาฝากฝังมาให้สำเร็จอย่างราบรื่น…ทางที่ดีที่สุดคืออย่าออกไปทำตัวโอ้อวดให้คนสนใจในช่วงสองสามวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า ข้าจะได้ไม่เกิดอารมณ์ชั่ววูบและถือโอกาสใช้ท่านลับมีดไปด้วย!”
คำพูดของนางไม่เพียงแต่ไม่เกรงใจ แต่ถึงขั้นดูถูกเหยียดหยามยิ่งนัก
อันที่จริงทุกครั้งที่ราชนิกุลอย่างเฟิงเหลียนเซิ่งเจอหน้านางก็มีแต่จะถูกบีบให้ยอมแพ้ เขาได้ยินแล้วก็โกรธจัดจนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที กลายเป็นจ้องนางเขม็งเพราะโกรธจนหน้าเขียว
ฉู่สวินหยางยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาและหันตัวจะเดินจากไป โดยไม่สนใจว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรแม้แต่น้อย
————————–