บทที่ 81.2 เหมือนเป็นคู่หมั้น (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

เฟิงเหลียนเซิ่งรู้สึกอึดอัดใจจนสีหน้าหม่นหมอง พลางยิ้มเยาะอยู่ข้างหลังนางอย่างไม่เกรงกลัว เพราะมีคนหนุนหลัง “ข้ารู้ว่าท่านหญิงเป็นสตรีที่มีฝีมือไม่แพ้บุรุษและสามารถทำเรื่องใหญ่ที่ไม่มีใครทำได้ หากเจ้าจะใช้ข้าเป็นหินลับมีดอะไรนั่นจริง ข้ายินดีที่จะช่วยให้เจ้าสมปรารถนาเช่นกัน เพียงแต่…เจ้าก็รู้ว่าข้าถวายสาส์นขอแต่งงานให้ฮ่องเต้ซีเยว่ไปแล้ว ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับข้า เรื่องแต่งงานนี้ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามไปด้วยเช่นกัน ท่านหญิงคิดว่า…ตนเองจะได้ประโยชน์อะไรหรือ?”

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าทางฝั่งฮ่องเต้นั้นจะคิดอย่างไรแค่ทางฝั่งฉู่อี้อันนี้…

ก็ไม่มีทางตอบรับคำขอแต่งงานของเฟิงเหลียนเซิ่งอย่างแน่นอน

ดังนั้นถึงแม้ฉู่สวินหยางจะไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองหลวงบ้าง แต่นางกลับรู้ดีมากว่าอย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องยังไม่มีรับสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาแน่

ทว่าก็เหมือนกับที่เฟิงเหลียนเซิ่งว่าจริง หากเขาประสบอุบัติเหตุอะไรในแคว้นซีเยว่ เช่นนั้นถึงจะแค่เพื่อปลอบใจฮ่องเต้หนานฮวาและให้คำอธิบายแก่ชาวหนานฮวา…

เรื่องแต่งงานนี้ก็จะต้องเป็นตัวช่วยให้ทำสำเร็จเช่นกัน

ถึงเวลานั้น…

คนที่ต้องรับกรรมเองจริงๆ ก็คือฉู่สวินหยาง

เรื่องสำคัญชั่วชีวิตที่เกี่ยวพันถึงตนเอง เฟิงเหลียนเซิ่งไม่เชื่อว่าฉู่สวินหยางจะอยู่เฉย สีหน้าของเขานั้นเหมือนคิดจะรอดูเรื่องสนุกอย่างชัดเจน

แต่คิดไม่ถึงว่าฉู่สวินหยางจะหันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน และตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่สบายใจยิ่งกว่าว่า “เช่นนั้นท่านก็ขอพรให้ตนเองโชคดีเถอะ สำหรับข้าแล้วจะแต่งงานครั้งเดียวหรือสองครั้ง ข้าก็ไม่ขัดข้องอันใดทั้งนั้น และว่ากันตามความสนิทสนมของพวกเราทั้งสองคนในเวลานี้ หากข้าอยากจะสมหวัง ท่านก็อย่าคิดว่าจะรอดไปได้ง่ายๆ ถ้าข้าเป็นองค์รัชทายาทล่ะก็ ข้าจะไม่หาเรื่องใส่ตัวและอยู่ให้ห่างจากประตูใหญ่ของวังบูรพาแน่นอน!”

เรื่องแต่งงานนั้นเป็นเรื่องที่เหล่าสตรีชนชั้นสูงที่ยังไม่แต่งงานล้วนพยายามหลีกเลี่ยงอย่างที่สุด

เฟิงเหลียนเซิ่งพูดเรื่องนี้ก็เพื่อให้ฉู่สวินหยางหันมามองเท่านั้น ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเสนอความคิดแปลกใหม่และแหวกแนวเช่นนี้ ความคิดเรื่องการแต่งงานครั้งที่สองนั้นตอกหน้าเขาจนหน้าหงาย

ฉู่สวินหยางพูดจบก็เดินจากไปอย่างไม่สนใจไยดี

เฟิงเหลียนเซิ่งหน้าดำคร่ำเครียดตั้งนานแล้ว เขากำหมัดแน่นจ้องภาพเงาด้านหลังของนางเขม็ง และยืนนิ่งค้างไม่ขยับอยู่ครู่ใหญ่

ฉู่สวินหยางเข้าไปในวังแล้ว

เจิงจีไม่ได้เดินไปไหนไกล เขาแค่รออยู่ใกล้ประตูใหญ่ด้านใน พอเห็นนางเข้ามาก็ก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็วกล่าวว่า “ท่านหญิง องค์รัชทายาทหนานฮวาเขา…”

แต่ฉู่สวินหยางกลับยกมือห้ามไว้ก่อนโดยไม่รอให้เขาพูดจบและถามตรงๆ ว่า “ท่านพ่ออยู่ห้องหนังสือหรือ?”

“ขอรับ!” เจิงจีตอบ

“ข้าจะไปหาเขาก่อน ส่วนเจ้าช่วยไปดูให้ข้าหน่อยว่าเจี่ยงลิ่วกับหย่วนซานตอนนี้ใครว่าง อีกเดี๋ยวให้พวกเขาไปรอข้าที่เรือนจิ่นฮว่า ข้ามีธุระจะสั่งให้พวกเขาไปจัดการ!” ฉู่สวินหยางเอ่ย พลางสาวเท้าไม่หยุดไปทางเรือนด้านใน

เดิมทีเจิงจียังเป็นห่วงว่าองค์รัชทายาทหนานฮวาจะกวนใจนางด้วยการเอ่ยถึงเรื่องแต่งงาน แต่พอเห็นสีหน้านางไม่ใส่ใจเช่นนี้ก็วางใจ

ฉู่สวินหยางพาเจี๋ยหงเดินไปทางห้องหนังสือของฉู่อี้อันที่อยู่ทางด้านหลัง

เจี๋ยหงคิดถึงคำพูดของเฟิงเหลียนเซิ่งเมื่อครู่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ จึงอดที่เอ่ยไม่ได้ว่า “ท่านหญิง องค์รัชทายาทหนานฮวาก็ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายนัก วันนี้เขาท้าทายต่อหน้าได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะแอบแทงข้างหลังก็ได้ แล้วเมื่อครู่ท่านทะเลาะกับเขาอีก ถ้า…”

“ข้าจะทะเลาะกับเขาเพิ่มอีกครั้งสองครั้งยังต้องใส่ใจอีกหรือ?” ฉู่สวินหยางเอ่ย นางเดินต่อไปไม่หยุด สีหน้าดูไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว พลางเว้นวรรคไปครู่หนึ่งและเอ่ยต่ออีก “วางใจเถอะ คนนี้ยังสติดีอยู่ และไม่ใช่พวกไร้ฝีมือที่ทำอะไรด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เขารู้ดีว่ารับมือกับคนที่หนุนหลังข้าไม่ไหว จะบอกว่าเขากลับไปขอแต่งงานกับข้าและให้ข้าเป็นชายาขององค์รัชทายาทกับฝ่าบาทหรือ? เขาคงจะเสียสติไปแล้วหากทำเช่นนั้น!”

หลายปีนี้เฟิงเหลียนเซิ่งแอบซ่อนตัวอยู่ในราชสำนักหนานฮวามาตลอด ดังนั้นพอจะเดาได้ว่าเขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วเช่นกันว่าจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงตำแหน่งฮ่องเต้

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หากเขาจะแต่งงาน แน่นอนว่าเขาก็ต้องแต่งกับพี่น้องสายเลือดเดียวกันกับเขาที่สามารถช่วยเหลือและสนับสนุนเขาได้

หากฉู่สวินหยางอยู่กับเขา อย่างไรนางก็ต้องแอบเลื่อยขาเก้าอี้ลับหลังเขาแน่ ทว่าเวลานี้ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ยังไม่รับปาก กลัวแต่ว่า…

ถึงแม้ฮ่องเต้คิดจะตกปากรับคำ เฟิงเหลียนเซิ่งเองก็จะคิดหาทางก่อความวุ่นวายให้เรื่องนี้ไม่สำเร็จเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ที่เขาพูดเรื่องพวกนั้นกับเหยียนหลิงจวินและนางก็แค่เกิดอารมณ์ชั่ววูบ เพียงแค่อยากจะทำให้ทั้งสองคนอึดอัดใจเท่านั้น ถึงแม้ฉู่สวินหยางจะรู้สึกไม่ชอบ แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว

ถึงแม้เจี๋ยหงจะฟังนางบอกเช่นนั้น แต่อย่างไรในใจก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

ทว่าฉู่สวินหยางก็ไม่มีเวลาว่างไปสนใจนางมากนักเช่นกัน ทันใดนั้นพอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงหยุดเดิน เอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องตามข้าไปแล้ว ไปหาชิงเถิงก่อน ลองถามนางว่าช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฮั่วกังบ้าง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ข้าต้องการรู้ทั้งหมด”

“ท่านหญิงจะ…” เจี๋ยหงตั้งสติและตื่นเต้นขึ้นมาทันที

ฉู่สวินหยางยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา พลางก้มหน้าหมุนแหวนหยกบนนิ้วโป้งและค่อยๆ เอ่ย “ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่มานานเกือบเดือนก็เป็นโชคดีของเขาแล้ว แต่ข้าไม่อยากจะประวิงเวลาเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้!”

ก่อนหน้านี้เพราะได้ข่าวเหยียนหลิงจวินอย่างกะทันหัน นางถึงได้ปล่อยตัวฮั่วกังไปชั่วคราวและไปเมืองฉู่ก่อน ทว่าเวลานี้กลับมาแล้ว แน่นอนว่าเรื่องแรกที่ต้องทำก็คือจัดการเรื่องนี้ให้สิ้นซาก

พอเอ่ยถึงฮั่วกัง เจี๋ยหงก็เกลียดเข้ากระดูกดำเช่นกัน นางรีบขานรับแล้วจากไป

ฉู่สวินหยางไปหาฉู่อี้อันที่ห้องหนังสือ สองพ่อลูกพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง

ช่วงนี้ฉู่ฉีเฟิงมีงานราชการมากมาย จึงยุ่งจนเหมือนเท้าไม่แตะพื้น นอกจากเวลานอนตอนกลางคืนแล้ว ปกติเขาก็อยู่จวนน้อยมาก

หลังจากบอกเล่าการเดินทางช่วงนี้ของตนเองคร่าวๆ แล้ว ฉู่สวินหยางก็เอ่ยปากถามกับฉู่อี้อันว่า “เรื่องขององค์รัชทายาทหนานฮวา ท่านพ่อคิดอย่างไร?”

“ตัวเขาเองก็มีแผนอื่น ทางข้าก็แค่ถ่วงเวลาไว้เท่านั้น” ฉู่อี้อันเอ่ย ฟังแล้วเห็นได้ชัดว่าเขาก็คาดเดาความคิดของเฟิงเหลียนเซิ่งได้พอสมควรแล้วเช่นกัน ทว่าพูดไปก็เอ่ยหน้าตาเฉยว่า “คืนพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงในวัง ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้วก็ไปด้วยกันเถอะ เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ!”

“งานเลี้ยง?” ฉู่สวินหยางกำลังจิบชาอย่างปกติ แต่พอได้ยินก็ระแวงขึ้นมาทันที และเงยหน้ามองไปทางเขา “กลุ่มขององค์รัชทายาทหนานฮวามาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว งานเลี้ยงต้อนรับก็น่าจะจัดไปแล้ว ทำไมถึงมีงานเลี้ยงอีก?”

นัยน์ตาของฉู่อี้อันฉายแววล้ำลึก เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับเหมือนจะอ่อนเพลีย

เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ฉู่สวินหยางก็รู้สึกระแวงขึ้นมาอีกและลุกขึ้นเดินเข้าไปหา พลางลองเอ่ยถามอีกครั้งอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่ตัวตนของเจ้าเด็กตระกูลหรงนั่นถูกเปิดโปงแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบต่อคนจำนวนหนึ่ง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” ฉู่อี้อันเอ่ย พลางถอนหายใจออกมายาวเหยียด แล้วมุมปากของเขาก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาและตบหลังมือนาง

สายตาของฉู่สวินหยางเคร่งขรึมมากขึ้นคล้ายกับเป็นกังวล

เรื่องเกี่ยวพันถึงเหยียนหลิงจวิน นางจะไม่สนใจก็ไม่ได้

ฉู่อี้อันมองสีหน้าของนางแล้วก็รู้สึกเหมือนกับจนใจมากทีเดียว ทว่าใบหน้าของเขากลับปรากฏรอยยิ้มคล้ายจะหยอกล้อว่า “ชีวิตของเจ้าเด็กนั่นซับซ้อนจริงๆ แต่อย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่เป็นไร ถ้าเจ้ารู้สึกว่ามันยากลำบาก พวกเรายังเปลี่ยนใจได้!”

ไม่น่าเชื่อเพราะปกติแล้วเขาเป็นคนไม่ล้อเล่น ฉู่สวินหยางก็โดนเขาหยอกล้อจนหน้าแดงเช่นกัน นางดึงแขนเสื้อของเขาและเอ่ยเสียงออดอ้อนว่า “ท่านพ่อ!”

ฉู่อี้อันเห็นนางนานๆ ทีจะเผยท่าทางออดอ้อนแบบเด็กสาวออกมาก็หัวเราะอย่างชอบใจ เสียงของเขาทุ้มต่ำ มีพลัง และแหบแห้ง แต่ฉู่สวินหยางกลับรู้สึกอบอุ่นและสบายใจเช่นกัน

กลางวันวันรุ่งขึ้นฉู่สวินหยางไม่ได้ออกไปข้างนอกและอยู่ที่เรือนจิ่นฮว่าตลอด นางเริ่มแต่งหน้าและแต่งตัวตั้งแต่หลังเที่ยง แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปร่วมงานเลี้ยงในวัง

ในเมื่อฮ่องเต้ของทั้งสองแคว้นต่างคิดจะใช้ให้นางไปแต่งงานกับเฟิงเหลียนเซิ่งเพื่ออำพรางให้ทุกอย่างดูสงบสุข เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไม่ว่าคนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสองฝ่ายจะต่างมีเจตนาไม่ดีหรือไม่ แต่นี่ก็ยังเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการ ‘ครั้งแรก’ ของทั้งสองฝ่ายในโอกาสใหญ่เช่นนี้ด้วย ดังนั้นก็เป็นมารยาทที่นางจะสวมเสื้อผ้าหรูหราไปร่วมงาน

ใช้เวลาเตรียมตัวไปเกือบสองชั่วยาม ฉู่สวินหยางถึงจะรีบออกไปตอนเย็น

เวลานี้ฉู่เยว่ซินก็ถูกยกเลิกคำสั่งห้ามจากวิหารเช่นกัน ทว่าหลังจากผ่านเรื่องในครั้งนั้นมา นางก็ยิ่งเก็บกดและนิ่งเงียบ แล้วก็ไม่ได้คุยอะไรกับฉู่สวินหยางเหมือนกัน ทั้งสองคนแยกกันนั่งรถม้าสองคันเข้าวัง

ตามกฎแล้วโอกาสใหญ่เช่นนี้ ฉู่สวินหยางต้องไปที่ประตูวังทางทิศใต้

ตอนที่รถม้าจอดนอกประตูใหญ่ของวังหลวงนั้นฟ้าก็มืดสนิทแล้ว โคมไฟสีแดงเข้มบนหอโค้งบนประตูใหญ่ส่องแสงลงมาสะท้อนกันและกัน และสาดแสงไปยังแขกแต่ละคนที่เดินไปเดินมาอยู่ข้างล่างจนเปล่งประกายระยิบระยับ รถม้ามาไม่ขาดสาย บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก

เมื่อฉู่สวินหยางลงจากรถม้าแล้ว เจี๋ยหงก็ต้องไปขอเกี้ยว ทว่าเฉี่ยนลวี่ที่คอยตามอยู่ข้างๆ กลับขมวดคิ้วและอุทานออกมาว่า “นายท่านอยู่ตรงนั้น!”

ฉู่สวินหยางเผลอเงยหน้ามองไป แต่กลับเห็นเหยียนหลิงจวินกำลังหันหน้าคุยกับชายแปลกหน้าที่สวมชุดสีแดงเข้มอยู่ข้างหอโค้งบนประตูใหญ่ที่ไม่ไกลนัก

————————–