ตอนที่ 230 การปรากฏตัวอีกครั้งของศัตรูคุ้นหน้า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

อวี๋จวินเหยาและอวี๋เฟิงขมวดคิ้วพร้อมกัน สมองของทั้งคู่หมุนเร็วจี๋ขณะที่พยายามคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่

ปัญหาคือพวกเขาไม่รู้ว่าฉินอวี้โม่จะใช่ผู้สืบทอดของเทพมายาจริงหรือไม่ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่อวี๋จวินเหยาปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อเล่นงานหลานสาวนอกคอกของจ้าวนครเมฆารวมถึงสั่นคลอนอำนาจของผู้ครองนครคนปัจจุบัน หลังจากนั้นก็เหลือเพียงรอเวลาให้พวกเขาได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันหอมหวาน

ทว่าตอนนี้ฉินอวี้โม่กลับร้องขอให้พวกเขาสาบาน แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางกล้าทำเช่นได้

ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินล้วนทราบดีว่า ในโลกมายาแห่งนี้การหลั่งเลือดสาบานนับเป็นเครื่องมือผูกพันธนาการที่ทรงพลังมากที่สุด หากผู้ใดก็ตามที่เชือดเนื้อหลั่งเลือดพร้อมกับกล่าวสาบานต่อหน้าฟ้าดินแล้ว แต่ไม่สามารถทำตามคำสาบานได้ คนผู้นั้นจะต้องประสบเคราะห์กรรมที่เลวร้ายและรุนแรง

“ชักช้าอยู่ไย เหตุใดจึงนิ่งเฉยนัก หรือว่าพวกท่านไม่กล้า ?”

เมื่อเห็นสีหน้าอ้ำอึ้งท่าทีลังเลของอวี๋จวินเหยา อวี๋เฟิงและฉินจิ่ว ฉินอวี้โม่ก็แสยะยิ้มพลางกล่าวถาม ในตอนนี้สถานการณ์เริ่มเอนเอียงมาทางฝ่ายของนางแล้ว ดังนั้นจึงต้องรีบคว้าโอกาสกดดันฝ่ายตรงข้าม

“เหอะ ! เรื่องนี้คือความจริงแท้  ไม่มีความจำเป็นต้องสาบานให้เสียเวลา เสี่ยวอวี้โม่ เลิกหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยงได้แล้ว ปกปิดไปก็ไม่มีสิ่งใดดี มิสู้ให้ผู้อื่นตระหนักในความแข็งแกร่งของเจ้าไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”

อวี๋จวินเหยาที่ดึงสติกลับมาได้รีบกล่าวโต้กลับไป

“หึ ๆ ๆ ๆ หากพวกท่านมั่นใจว่าข้าคือผู้สืบทอดของเทพมายาจริง ๆ เพียงแค่เอ่ยคำสาบานออกมาทุกคนย่อมเชื่อถือวาจาของท่าน แล้วจะมัวรอสิ่งใดอยู่ หากบริสุทธิ์ใจก็จงเอ่ยคำสาบาน”

ฉินอวี้โม่มองสามผู้สมรู้ร่วมคิดพลางกล่าววาจาไล่ต้อน “มีความเป็นไปได้สูงว่าเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวเหล่านี้พวกท่านคงเพิ่งจะสุมหัวคิดขึ้นมาได้ เรื่องนี้เหลวไหลทั้งเพ ผู้อาวุโสสามเห็นได้ชัดว่าท่านจงใจจะทำให้ท่านตาของข้าและยอดฝีมือจากขุมกำลังต่าง ๆ ในดินแดนหนเหนือต้องปะทะกันเพื่อฉวยโอกาสในช่วงเวลาเลวร้ายตักตวงผลประโยชน์”

ในตอนนี้สองปู่หลานแซ่อวี๋นิ่งอึ้งไปแล้ว ฉินอวี้โม่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มพลิกกลับจึงกล่าวถึงข้อสันนิษฐานของนางออกไป ความคิดอันแสนตื้นเขินของพวกเขามีหรือที่นางจะคาดเดาไม่ออก

ใบหน้าของอวี๋จวินเหยาและอวี๋เฟิงเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ภายในใจคิดว่าวันนี้ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็จะหลั่งเลือดสาบานไม่ได้เด็ดขาด

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเองอยากรู้เหมือนกันว่าแม่นางฉินอวี้โม่จะกล้าสาบานว่าตนเองไม่ใช่ผู้สืบทอดของเทพมายาหรือไม่”

ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เสียงหัวเราะปริศนาก็ดังแทรกเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด

พร้อมกันนั้นบุรุษวัยกลางคนสวมชุดสีฟ้าก็เดินออกมาจากฝูงชน

บุรุษผู้นี้เป็นคนที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้า และแน่นอนว่านางรู้จักเป็นอย่างดี อันที่จริงหากจะให้ถูกต้องต้องกล่าวว่า*‘นางรู้จักอสูรมายาตนนี้ดี’* เพราะนี่คือร่างมนุษย์ของอสูรเจ้าเล่ห์ที่ฉินอวี้โม่เคยรับมือมาหลายต่อหลายครั้ง–มังกรเหมันต์ ครั้งล่าสุดเจ้ามังกรมากเล่ห์ปรากฏตัวในดินแดนต้องห้ามก่อนที่จะชิงจังหวะหนีเอาตัวรอดไปได้ในช่วงเวลาคับขัน หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้รับรู้ข่าวคราวของมันอีกเลย คิดไม่ถึงว่ามันจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นครเมฆาแห่งนี้

“ใช่แล้ว ในเมื่อเจ้าสงสัยในคำพูดของพวกเราและเรียกร้องให้เราสาบาน เจ้าเองก็ควรจะสาบานด้วยว่าตัวเจ้าเองมิใช่ผู้สืบทอดของเทพมายา หากเจ้ายอมทำเราจะได้รู้กันเสียทีว่าเรื่องนี้คือความจริงหรือไม่จริงกันแน่”

เมื่อได้ยินวาจาของบุรุษปริศนา อวี๋จวินเหยาและอวี๋เฟิงก็หาทางแก้ปัญหาตรงหน้าได้ในที่สุด สองปู่หลานหันไปมองฉินอวี้โม่พลางกล่าวคำท้าทาย

การปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันและคำพูดของมังกรเหมันต์ทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปในทันที นี่เป็นเรื่องที่นางไม่ได้คาดคิดเอาไว้

ในเมื่อมังกรเหมันต์กล้าเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจถึงเพียงนั้น นั่นแสดงว่ามันรู้มาก่อนหน้านี้ ไม่ต้องคิดให้มากมายก็เดาได้ว่า เจ้ามังกรตัวร้ายน่าจะได้ยินบางอย่างตอนอยู่ในถ้ำของเทพมายา

หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าวันนี้เรื่องที่นางเป็นผู้สืบทอดของเทพมายาคงไม่อาจปิดบังต่อไปได้เสียแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินบทสนทนาของแม่นางฉินอวี้โม่กับคนบางคน และข้ายังได้เห็นเองกับตาว่าสตรีแซ่ฉินผู้นั้นสามารถทะลวงผ่านม่านพลังของเทพมายาเข้าไปในถ้ำลึกลับที่ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไปได้ ถ้าหากไม่เชื่อข้าเช่นนั้นก็ให้ฉินอวี้โม่ลองสาบานออกมา”

มังกรเหมันต์หัวเราะพลางจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาตแค้น

หลายวันนี้มานี้มันเก็บตัวฝึกฝนอย่างจริงจัง แม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะไม่ได้พัฒนาไปมากนัก แต่มันก็ทำให้ตัวเองกลับไปอยู่ในจุดที่รุ่งโรจน์ของตัวเองอีกครั้งได้

เมื่อได้ยินว่ากำลังมีงานใหญ่เกิดขึ้นที่นี่มันจึงอยากจะมาลองเข้าร่วมด้วย

เจ้ามังกรคิดไม่ถึงว่าเมื่อมาเข้าร่วมงานแล้วจะได้พบกับฉินอวี้โม่ อีกทั้งยังได้โอกาสเล่นงานนางอย่างหนักหน่วง นับว่าสวรรค์ยังไม่ไร้เมตตาต่อมังกรเร่ร่อนโดยแท้ที่ครานั้นมันบังเอิญได้ยินและจดจำบทสนทนาของสตรีมนุษย์น่าชังกับมารทรชนน่าขนลุกนั่นเข้า

มังกรเหมันต์พอจะดูออกว่ายอดฝีมือหลายคนจากดินแดนหนเหนือมาเยือนดินแดนแห่งนี้ด้วยเจตนาไม่ดี เมื่อได้เห็นว่าเป็นมนุษย์ที่มันชิงชังที่กำลังมีภัย มันจึงไม่ลังเลที่จะใช้โอกาสนี้เล่นงานศัตรูคู่อาฆาต

เรื่องที่ฉินอวี้โม่คือผู้สืบทอดของเทพมายา มังกรแดนหิมะมั่นใจเต็มสิบส่วน ฉะนั้นมันจึงกล้าเอ่ยวาจาท้าทายอย่างไม่กลัวเสียหน้า

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้างามขณะนี้มีแต่แววเคร่งเครียด หากจะหาข้อบ่ายเบี่ยงปิดบังความจริงต่อไปก็คงเป็นไปไม่ได้ เห็นทีว่าวันนี้คงไม่พ้นต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้น

อวี๋จวินซานและกลุ่มคนที่รู้ความจริงเรื่องกายเทพมายาพากันขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินวาจาของบุรุษปริศนาในชุดสีฟ้า กอปรกับเห็นสีหน้าของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็เกิดความกังวลเช่นกัน

ทว่าหลายคนที่ไม่รู้และกำลังสงสัยอยู่กลับเริ่มมั่นใจแล้วว่าฉินอวี้โม่จะต้องเป็นผู้สืบทอดของเทพมายาอย่างแน่นอน

“หึ ๆ หากข้าเป็นผู้สืบทอดของเทพมายาแล้วพวกเจ้าจะทำอย่างไร ?”

ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็ออกปากยอมรับ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นพร้อมแย้มรอยยิ้มหยิ่งยโส ดวงตาเนื้อทรายไม่มีความโอนอ่อนระวังภัยเหลืออยู่ให้เห็น

ที่ผ่านมานางรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน การอดทนอดกลั้นคอยปฏิเสธตัวตนของตนเองไม่ใช่นิสัยดั้งเดิมของสตรีผู้มีวิญญาณของนักฆ่าอยู่ในร่าง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะไม่อยากทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนฉินอวี้โม่จึงพยายามทำทุกทางเพื่อปกปิดเรื่องนี้ แต่ในเมื่อไม่สามารถเก็บซ่อนความลับได้อีกแล้วจะดึงดันปฏิเสธต่อไปก็มีแต่เสียเวลาเปล่า

นางเองก็อยากจะรู้ให้แน่ชัดเหมือนกันว่าคนไม่หวังดีจากดินแดนหนเหนือจะกระทำอย่างไร จะบังคับให้นางเข้าร่วมขุมกำลังหรือใช้วิธีใดจัดการ

เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของฉินอวี้โม่ เมื่อได้ยินความจริงที่น่าตกใจและยิ่งได้เห็นความโอหังของนาง ยอดฝีมือจากดินแดนหนเหนือต่างก็ตกตะลึงกันถ้วนหน้า

“สหายน้อยอวี้โม่ เจ้ามีกายเทพมายาจริง ๆ ใช่หรือไม่ ?”

อู่ซิงก้าวออกมาพลันเอ่ยถามสหายคนใหม่ด้วยความสงสัย เมื่อได้ยินที่นางกล่าวเมื่อครู่เขาก็ตกใจมากเสียจนคิดว่าตนฟังผิดไปจึงออกปากถาม ตัวแทนจากวิฬารทมิฬดูคล้ายยังไม่สามารถตั้งสติได้

ฉินอวี้โม่พยักหน้า “ต้องขออภัยด้วย แต่ข้าคือผู้สืบทอดของเทพมายาจริง ๆ ที่ข้าไม่บอกพี่อู่ซิงก่อนหน้านี้ก็เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาตามมา ตอนนี้ข้าไม่มีเหตุผลจะต้องปกปิดมันอีกแล้ว”

คำตอบนั้นจากสหายน้อยทำให้อู่ซิงเรียกสติกลับมาได้ เขาพยักหน้าขณะพยายามสงบจิตใจของตัวเอง

“ฮ่า ๆ ๆ ดี ดีแล้ว วิหารทมิฬของเรามาที่นี่ก็เพื่อตามหาตัวและให้การปกป้องผู้สืบทอด วันนี้ ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าไม่เพียงลุภารกิจแต่ยังถึงกับได้เป็นสหายกับผู้สืบทอดกายเทพมายาในตำนาน ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก”

เมื่อสงบใจได้ อู่ซิงก็หัวเราะเสียงดังลั่นก่อนจะกล่าวพลางมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเลื่อมใส

ก่อนหน้านี้เขาเองก็สงสัยเหลือเกินว่าผู้สืบทอดของเทพมายาจะเป็นคนเช่นไร ในตอนนี้เมื่อรู้ว่าเป็นสตรีมากความสามารถและโดดเด่นจนน่าหวั่นเกรงอย่างฉินอวี้โม่เขาก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก ตัวแทนจากวิหารทมิฬรู้สึกว่าการมาเยือนดินแดนหวนหลิงของตนครั้งนี้นับว่ายิ่งกว่าคุ้มค่าแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นด้านทัศนคติ ด้านพรสวรรค์หรือลักษณะนิสัย ฉินอวี้โม่ก็คือคนที่คู่ควรอย่างยิ่งแก่การผูกมิตร นี่ทำให้จุดประสงค์ของเขาที่มาในดินแดนหวนหลิงซึ่งก็คือตามหาผู้สืบทอดและสานไมตรีในฐานะตัวแทนแห่งวิหารทมิฬกับคนผู้นั้นสำเร็จลุล่วง มากกว่านั้นเขาเองก็ยังได้เป็นสหายกับนางโดยส่วนตัว ไม่มีสิ่งใดน่ายินดีไปกว่านี้แล้ว

“ฉินอวี้โม่ ที่แท้เจ้าก็คือผู้สืบทอดของเทพมายา ข้าก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดพรสวรรค์ของเจ้าถึงได้สูงส่งยิ่งนัก”

หลิวซิวหยาที่หายจากอาการตกตะลึงได้เป็นคนแรก ๆ กล่าวออกมาพลางส่งยิ้มกว้างให้สหายรุ่นน้อง

ตอนนี้เขาไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดฉินอวี้โม่ถึงก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างผิดปกติ ที่แท้นางก็เป็นผู้ถือครองกายเทพมายา เช่นนี้ เรื่องที่ว่าคุณหนูสี่ตระกูลฉินจะมีพรสวรรค์หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปเพราะกายเทพมายาจะช่วยให้นางก้าวหน้าได้อย่างไร้ขีดจำกัด

“ต้องขอโทษรุ่นพี่และทุก ๆ คนด้วยที่ข้าต้องปิดบังเรื่องนี้”

เมื่อได้ยินวาจาของหลินซิวหยา ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยคำขอโทษด้วยรอยยิ้ม

นางกับเขาถือเป็นสหายกัน แน่นอนว่านางอยากจะรักษาความสัมพันธ์กับสหายที่ดีเช่นนี้ต่อไป

“ฮ่า ๆ ๆ สำหรับสหายคำว่าขออภัยมันไม่จำเป็น”

บุรุษผู้ชื่นชอบการต่อสู้หัวเราะพลางกล่าวเสียงดังก้อง

“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราเข้าใจเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวล”

เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างก็ยิ้มให้สหายเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีผู้ใดขุ่นเคืองเรื่องนี้แม้แต่คนเดียว

“หึ ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบทอดของเทพมายา เช่นนั้นก็จงมากับพวกเราเสียดี ๆ !”

หลงจื้อตวาดอย่างเย็นชาพลางสาดสายตาดุดันเข้าใส่ฉินอวี้โม่

ครั้งนี้ที่เขามาที่ดินแดนหวนหลิงก็เพื่อตามหาตัวผู้สืบทอดของเทพมายาและพาตัวคนผู้นั้นกลับไป

ตอนนี้ ในเมื่อคนที่ตามหามายืนอยู่ต่อหน้า แน่นอนว่าเขาจะต้องพานางกลับไปด้วยให้ได้

“ฝันไปเถอะ ! หลงจื้อ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าจ้าวนิกายของพวกเจ้าคิดจะพาตัวผู้สืบทอดของเทพมายาไปเพื่ออะไร วันนี้วิหารทมิฬของเราจะไม่ยอมให้พวกเจ้าได้สมหวังเป็นอันขาด !”

ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะเอ่ยปาก อู่ซิงที่อยู่ไม่ไกลก็ตวาดสวนกลับไปเสียก่อน

“ขุมกำลังของพี่อู่ส่งคนมาที่นี่เพื่อปกป้องข้า แล้วจุดประสงค์ของพวกหลงจื้อเล่า พวกเขาเข้ามาตามหาข้าเพราะต้องการสิ่งใด ?”

แม้จะคาดเดาคำตอบคร่าว ๆ ไว้แล้ว แต่ฉินอวี้โม่ก็อดถามคำถามที่สงสัยมานานนี้ออกมาไม่ได้ นางคิดว่าเรื่องนี้อู่ซิงจะต้องรู้อย่างแน่นอน และบางทีเขาอาจจะรู้ลึกกว่าที่นางคาด

“สหายน้อยอวี้โม่ เจ้าคงไม่ทราบหรอกว่าเทพมายาคนก่อนแข็งแกร่งเพียงใด ที่พวกเขาตามหาผู้สืบทอดก็เพราะไม่อยากให้คนผู้นั้นเติบโตขึ้นและไม่อยากจะเห็นบุคคลคนระดับตำนานก้าวขึ้นมากุมอำนาจในแนวหน้า คนเหล่านี้ไม่ต้องการให้มี*‘เทพมายาคนที่สอง’* ปรากฏตัวขึ้นมาอีก พวกเราค่อนข้างมั่นใจว่าขุมกำลังของพวกนั้นน่าจะมีความสัมพันธ์กับขุมกำลังฝ่ายมารที่เข้ามารุกรานพวกเราเมื่อหลายพันปีก่อน เพียงแต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานยืนยันเท่านั้น”

อู่ซิงกล่าวออกไปตามตรงไม่คิดปกปิด เวลานี้เขายึดถือเอาสหายน้อยตรงหน้าเป็นพวกเดียวกับตนแล้ว

อู่ซิงจำได้ดีว่าก่อนจะมาที่นี่ ท่านประมุขได้กำชับพวกเขาให้เร่งรีบตามหาตัวผู้สืบทอดและรีบให้การคุ้มครองเพื่อปกป้องจากภัยอันตรายให้ได้ และยังสั่งการว่า ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ให้ดำเนินภารกิจให้บรรลุเป้าหมาย ท่านประมุขทราบดีว่าแม้ว่าตอนนี้โลกจะคล้ายอยู่ในสถานการณ์ที่สงบ แต่อีกไม่ช้าก็เร็วเขาเชื่อว่าจะต้องมีมหาสงครามเช่นในอดีตเกิดขึ้นแน่ ถึงตอนนั้นผู้สืบทอดเทพมายาจะถือเป็นความหวังของทุกคนในแผ่นดิน

“เหอะ ! อู่ซิง ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะสอดรู้เรื่องของเรามากมายถึงเพียงนี้ แต่เจ้าคิดหรือว่าอย่างพวกเจ้าจะหยุดยั้งพวกเราได้ ?”

ว่านเจียงจากนครหมื่นอสูรเอ่ยคำค่อนแคะ ก่อนที่เขาและพวกพ้องจะเดินเข้าไปร่วมกลุ่มของยอดฝีมือจากนิกายหงส์มังกรอย่างไม่ลังเล

อู่ซิงขมวดคิ้ว ถ้าหากนครหมื่นอสูรกับนิกายหงส์มังกรร่วมมือกันจริง ลำพังกำลังจากวิหารทมิฬเพียงขุมกำลังเดียวคงจะรับมือไม่ได้แน่

“ฮ่า ๆ ๆ หากวิหารทมิฬมีคนช่วยเหลือเทพมายาไม่พอ เช่นนั้นก็นับรวมนครเวหาของเราเข้าไปอีกหนึ่งได้หรือไม่ ?”

อวิ๋นเฟิงจากนครเวหาก้าวออกมาพร้อมกล่าววาจาด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้เขาหยุดยืนอยู่ข้างกายอู่ซิงกับฉินอวี้โม่แล้ว

นครเวหาเป็นพันธมิตรที่ดีของวิหารทมิฬมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวนครเวหาอวิ๋นซื่อเทียนยังมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับดินแดนหวนหลิง เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเลือกหยัดยืนเคียงข้างวิหารทมิฬผู้เป็นพันธมิตรและฉินอวี้โม่สตรีจากดินแดนหวนหลิง

“เหอะ ! นครเวหา พวกเจ้ากล้าประกาศตัวเป็นศัตรูกับเราสามพันธมิตรใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ชักจะจองหองมากเกินไปแล้ว”

หลงจื้อแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันไปมองท่าทีของตัวแทนจากเกาะวายุนิ่งและนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์

“ฮ่า ๆ ๆ คนของเกาะวายุนิ่งของเราไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทั้งปวง เชิญพวกท่านตามสบาย พวกเรามาที่นี่เพื่อร่วมงานชุมนุมเมฆาเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ใช่ธุระ”

บุรุษจากเกาะวายุนิ่งนาม*— ‘เนี่ยเจ๋อ’* เอ่ยวาจา ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเฉลียวฉลาดไม่น้อย

เกาะวายุนิ่งถือสถานที่ที่เป็นแหล่งรวมตัวของช่างหลอมฝีมือสูงส่ง ทางด้านการต่อสู้หรือรณรงค์สงครามพวกเขาล้วนไม่ฝักใฝ่ ดังนั้นเรื่องของกายเทพมายาจึงไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนจากขุมกำลังนี้มากนัก

วันนี้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเมฆาก็เพื่อเปิดหูเปิดตาดูชมการหลอมจากต่างดินแดนเท่านั้น

“ขงชิง แล้วนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเล่า จะว่าอย่างไร ?”

เมื่อได้ฟังคำตอบของเนี่ยเจ๋อ สีหน้าของหลงจื้อก็ผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาก็รีบหันไปไถ่ถามคนจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ต่อทันที

ตอนนี้ฝ่ายเขามีอารามโชติช่วง นิกายหงส์มังกร และนครหมื่นอสูร ขณะที่อีกฝ่ายมีวิหารทมิฬและนครเวหา อีกทั้งยังมียอดฝีมือบางส่วนจากนครเมฆา ดังนั้นการตัดสินใจของทางนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จึงมีความสำคัญมากเพราะนอกจากกำลังพลของทั้งสองฝ่ายจะยังไม่ต่างกันมากในขณะนี้แล้ว นักกระบี่จากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นยอดนักรบที่เยี่ยมยุทธ์ที่สามารถช่วยให้ข้างฝ่ายของตนได้เปรียบได้

ถ้านครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เลือกไปยืนอยู่ข้างฉินอวี้โม่เห็นทีว่าวันนี้พวกเขาเองคงจะต้องเจอกับศึกหนักเป็นแน่

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา นครของเหล่ายอดฝีมือวิถีกระบี่แห่งนี้ก็มักจะมีท่าทีที่เป็นกลางเสมอ

*‘ขงชิง’*ลังเลอยู่นาน ไม่ทราบว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่

ในตอนนี้ทุกสายตาล้วนจับจ้องอยู่ที่เขา ทุกคนกำลังรอฟังการตัดสินใจครั้งสำคัญ

.