ตอนที่ 231 ความจริงปรากฏ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ยังไม่ทันที่ขงชิงจะให้คำตอบ เหล่ายอดฝีมือจากนครไป๋อวิ๋นก็ผลุนผลันลุกขึ้นยืนเสียก่อน

“เฮ้ พวกเจ้าคิดว่าคนจากนครไป๋อวิ๋นไร้ตัวตนหรืออย่างไร แม้ว่าพวกเจ้าจะมาจากดินแดนเทพมายาที่มีทรัพยากรสมบูรณ์พร้อมมากกว่า แต่คนของหวนหลิงเราก็ไม่เคยกลัว”

หลินซิวหยากล่าวขึ้นมาเป็นคนแรกอย่างไม่กลัวเกรง

ไม่ต้องกล่าวถึงตัวแทนที่ถูกส่งมาเพราะต่อให้เป็นผู้นำของขุมกำลังในดินแดนหนเหนือมาเอง หลิวซิวหยาและสหายคนอื่น ๆ ก็จะหยัดยืนเคียงข้างและคอยปกป้องฉินอวี้โม่อย่างไม่ลังเล

พวกเขาเป็นสหายที่ดีของคุณหนูสี่ตระกูลฉิน และนางเองก็มอบมิตรภาพอันยิ่งใหญ่มาให้เสมอ ทุกคนคือพวกพ้อง ฉะนั้นไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับอันตรายแบบใด พวกเขาก็จะผ่านมันไปด้วยกัน

“ใช่แล้ว ถ้าพวกเจ้าจะพาฉินอวี้โม่ไปก็ต้องข้ามศพของพวกเราไปก่อน”

โอวหยางชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะเป็นรองคนจากดินแดนหนเหนืออยู่มาก ทว่าคุณชายตระกูลโอวหยางก็ไม่นึกหวั่นเกรงแม้แต่น้อย

‘อย่างมากก็แค่เผชิญความตาย ไม่มีสิ่งที่เขาต้องกลัว’

“เหอะ ! พวกคนจากดินแดนหนเหนือช่างโอหังโดยแท้ จำไม่ได้หรือว่าก่อนหน้านี้พวกเราสอนบทเรียนอะไรให้พวกเจ้า”

หลินจิ้งหงกล่าววาจาเย้ยหยัน นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างจ้องมองอีกฝ่ายอย่างท้าทาย บนใบหน้าหล่อเหลานี้ก็ไม่มีความกลัวปรากฏให้เห็นเช่นกัน

ในสงครามครั้งก่อน พันธมิตรแห่งฝ่ายผู้ปกป้องไป๋อวิ๋นสามารถเอาชนะยอดฝีมือจากดินแดนหนเหนือได้ ครั้งนี้เขาก็ยังมั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายคว้าชัยได้ดังเดิม

“ขงชิง นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าตัดสินใจอย่างไร เร่งพูดมา !”

ในตอนนี้สีหน้าของหลงจื้อและคนจากดินแดนเทพมาแปรเปลี่ยนเป็นเครียดเขม็ง พวกเขายังคงจ้องมองบุรุษจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อย่างรอคอยคำตอบ…คำตอบที่จะเป็นตัวกำหนดความเป็นไปต่อจากนี้

ขงชิงผู้นี้ดูคล้ายเข้าใจในสถานการณ์เป็นอย่างดี เขาจ้องมองหลงจื้อพลางกล่าว “ฮ่า ๆ ๆ ปกตินครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของเราคงสถานะความเป็นกลาง แต่ในวันนี้พวกเราคงต้องขอเลือกข้างแล้ว”

สิ้นวาจานั้น บุรุษจากขุมกำลังที่เป็นศูนย์รวมแห่งนักกระบี่ก็สาวเท้าเข้าไปหาฉินอวี้โม่และเหล่าผู้ปกป้องก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอู่ซิง ท่านอวิ๋นเฟิง แม่นางอวี้โม่ ไม่ทราบว่าจะต้อนรับคนจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ?”

“ฮ่า ๆ ๆ ยินดีอย่างยิ่ง ๆ พวกเราทุกคนรู้สึกเป็นเกียรติมากที่จะมีโอกาสได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนของนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ วันนี้คงต้องรบกวนพี่ขงแล้ว”

อู่ซิงกล่าวกับขงชิงด้วยรอยยิ้มกว้าง

กล่าวตามตรง การตัดสินใจเช่นนี้ของขงชิงทำให้อู่ซิงประหลาดใจไม่น้อย เขาคิดว่าอย่างไรวันนี้ขงชิงก็จะคงท่าทีที่เป็นกลางเอาไว้ เพราะการทำเช่นนั้นจะเป็นผลดีต่อพวกเขาการเข้าร่วมสงคราม ไม่ทราบเช่นกันว่า เพราะเหตุจึงทำให้ขงชิงเลือกมายืนอยู่ข้างพวกเขา

แท้จริงแล้ว การตัดสินใจนี้เป็นไปตามความต้องการส่วนตัวของขงชิงเอง

ในอดีตที่ผ่านมานครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขามักจะประกาศตนเป็นกลางระหว่างขั้วอำนาจเสมอ นครรักสันโดษแห่งนี้มักจะลอยตัวเหนือความขัดแย้งและแทบจะไม่เคยเข้าร่วมศึกสงครามใด ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ของโลกก็ยิ่งผันแปร ความเป็นกลางไม่ได้ก่อผลดีให้นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนแนวทาง

เพราะช่วงหลายปีหลังมานี้ ขั้วอำนาจในฝั่งสามพันธมิตร ที่ประกอบด้วย นิกายหงส์มังกร อารามโชติช่วงและนครหมื่นอสูรขยายอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความทะเยอทะยานที่ไม่สิ้นสุดเป็นผลให้พวกเขาเริ่มคิดการใหญ่ ทั้งสามขุมกำลังตั้งเป้าหมายไว้ว่า*‘จะยึดครองดินแดนหนเหนือทั้งหมด’*ให้ได้ นานวันเข้าเป้าหมายดังกล่าวของพวกเขาก็ยิ่งชัดเจนและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมากขึ้น ยิ่งในพักหลังความเหิมเกริมของสามพันธมิตรยิ่งทวีความหนักหน่วง เพราะแม้แต่ขุมกำลังที่วางตัวเป็นกลางพวกเขาก็ยังไม่คิดไว้หน้า

ขั้วอำนาจเดียวที่ทรงพลังมากพอจะต่อต้านสามพันธมิตรได้ก็คือ การผสานกำลังกันระหว่างนครเวหากับวิหารทมิฬ ด้วยอิทธิพลของสองขุมกำลังทำให้ขุมกำลังฝ่ายตรงข้ามทั้งสามยังไม่กล้าทำเรื่องร้ายแรงอย่างเอิกเกริก แต่สภาพการณ์เช่นนี้ก็อาจจะ ‘คงไว้’ ได้อีกไม่นาน

เมื่อใดก็ตามที่ความแข็งแกร่งของพวกเขาเหนือกว่านครเวหาและวิหารทมิฬได้ ขุมกำลังทั้งสามก็คงลงมือถอนรากถอนโคนอีกฝ่ายทิ้งอย่างแน่นอน และในมุมมองของนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หากนครเวหาและวิหารทมิฬถูกทำลาย พวกเขาเองก็คงไม่พ้นต้องเป็นรายต่อไป

ยิ่งกว่านั้นหลังจากพวกเขาลอบทำการสืบสวนมาสักระยะก็พบว่าทั้งนิกายหงส์มังกร อารามโชติช่วงและนครหมื่นอสูรต่างก็มีความสัมพันธ์กับขุมกำลังวายร้ายในอดีต เรื่องนี้ทำให้จ้าวนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์โกรธเป็นอย่างมากและตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้ในที่สุด

ด้วยเหตุนี้ ทางเลือกเดียวที่จะส่งผลดีต่อนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดคือ การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับนครเวหาและวิหารทมิฬ

ต้องยอมรับว่าต่อให้วางตัวเป็นกลางต่อไปอย่างไรก็ไม่พ้นพบเจอความเสียหาย นั่นเพราะสถานการณ์ของพวกเขาไม่ได้เหมือนเกาะวายุนิ่ง

ด้วยภูมิประเทศที่เป็นเกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร ทำให้เกาะวายุนิ่งไม่ได้รับผลกระทบจากภัยสงครามในด้านเขตแดน อีกทั้งพวกเขายังเป็นศูนย์รวมของช่างหลอมมากฝีมือ ดังนั้นถึงแม้สามขุมกำลังชั่วช้าจะยึดครองแผ่นดินใหญ่ได้ก็คงไม่คิดจะทำอันตรายแก่พวกเขา

แม้ว่าเหมือนขงชิงจะแสดงอาการลังเลในตอนแรก ทว่านั่นก็เป็นเพียงท่าทีที่เขาจงใจแสดงออกมาล่อลวงศัตรู ใจของเขาเลือกฝ่ายปกป้องผู้สืบทอดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เพราะนี่คือหนทางเดียวที่ขุมกำลังของเขาจะปลอดภัย

“ดี ! ในที่สุดนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าก็ตัดสินใจได้เสียที !”

เมื่อได้รับรู้การตัดสินใจของผู้มาจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หลงจื้อก็แค่นยิ้มแล้วกล่าวเสียงเย็นชา

ช่วงหลังมานี้ เรียกได้ว่านครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์แทบจะตัดขาดทุกช่องทางการติดต่อกับพวกเขาจนหมดสิ้น  นั่นเป็นสัญญาณที่แน่ชัดว่านครมีชื่อเสียงแห่งนี้เตรียมจะเลือกฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขา ฉะนั้นการตัดสินใจในครั้งนี้ของขงชิงจึงไม่ทำให้หลงจื้อประหลาดใจนัก

“หลงจื้อ ขุมกำลังทั้งสามของพวกเจ้าทำเรื่องไร้ยางอายมากเกินไปแล้ว แม้ว่านครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของเราอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าพวกเจ้า แต่ก็ไม่คิดจะให้ความร่วมมือกับพวกเจ้า”

ขงชิงจ้องมองหลงจื้อด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะประกาศกร้าว “ที่พวกเราตัดสินใจเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความฝักใฝ่ในอำนาจ แต่เป็นเพราะพวกเจ้าบีบบังคับให้เราต้องเลือก แต่กระนั้นการได้สู้เคียงข้างนครเวหาและวิหารทมิฬสำหรับข้าก็ถือเป็นเรื่องที่มีเกียรติมากกว่าเข้าร่วมกระทำสิ่งชั่วช้า แล้วต้องเลียแข้งขาเป็นเบี้ยล่างของพวกเจ้า นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อันมีเกียรติของเราไม่มีวันเสียใจภายหลังที่เลือกหนทางนี้ เพราะอย่างไรเสียนี่ก็คือทางเลือกเพื่อความถูกต้อง !”

เมื่อได้ยินวาจาของขงชิง อู่ซิงและอวิ๋นเฟิงก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แม้จะดูเหมือนว่านครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เลือกข้างอย่างจนใจ แต่ทั้งวิหารทมิฬและนครเวหาต่างก็ยินดีต้อนรับพันธมิตรใหม่นี้ด้วยไมตรี นี่เป็นทางเดียวที่จะต้านทานกำลังของอีกขั้วอำนาจได้และเป็นทางเดียวที่จะทำให้ดินแดนหนเหนือสงบสุข

“ขงชิง นี้คือเจตจำนงของจ้าวนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จริงรึ ?”

หลงจื้อกล่าวถามอีกฝ่ายเพราะเกรงว่าท่าทีที่ฝ่ายนั้นแสดงออกจะเกิดจากความคิดของขงชิงเพียงคนเดียว

“หึ ๆ แน่นอนว่าเป็นความคิดของท่านจ้าวนคร เป็นการตัดสินใจที่เป็นที่ยอมรับในขุมกำลังของเรา”

ขงชิงยิ้มอ่อน จ้าวนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์กำชับเขาเป็นพิเศษว่า มาเยือนหวนหลิงครั้งนี้ อย่างไรก็ต้องช่วยเหลือนครเวหาและวิหารทมิฬในการปกป้องผู้สืบทอดของเทพมายา หากทำเช่นนี้ไม่ว่าในอนาคตอีกสามขุมกำลังจะขยายอำนาจมากเพียงใดพวกเขาก็จะรับมือได้

เมื่อได้ยินคำตอบของขงชิง สีหน้าของหลงจื้อก็เปลี่ยนไปทันที เพราะถ้านี่เป็นการตัดสินใจอย่างชอบธรรมจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ เรื่องราวและสถานการณ์ต่อจากนี้จะต่างออกไปมาก เพราะมันจะส่งผลกระทบกับขั้วอำนาจในดินแดนเทพมายาอย่างมหาศาล

“อู่ซิง อวิ๋นเฟิง ขงชิงต่อให้วันนี้พวกเจ้าร่วมมือกันก็ไร้ความหมาย เพราะอย่างไรสตรีผู้นั้นก็จะต้องกลับไปกับเราเป็นแน่”

หลงจื้อกล่าวเสียงดังลั่น ในน้ำเสียงนั้นดูมั่นใจอย่างมาก ประหนึ่งว่าเขามีไพ่ตายอันร้ายกาจซ่อนอยู่

ฝ่ายอู่ซิงขมวดคิ้ว อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ทราบดีว่า การที่ฝ่ายตรงข้ามกล้าบุกมาชิงตัวผู้สืบทอดของเทพมายาจากดินแดนหวนหลิงก็ย่อมต้องมีดีระดับหนึ่ง

เมื่อดูจากท่าทีแล้วก็ชัดเจนว่า หลงจื้อผู้นั้นจะต้องมีไพ่ตายที่น่ากลัวแน่นอน เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรหรือจะน่าหวาดหวั่นสักแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ พวกเขาเองก็ไม่มีวันถอยเช่นกัน

“พอแค่นั้นแหละ !”

ทันใดนั้นอวี๋จวินซานที่นิ่งเงียบมานานก็ตะโกนลั่น ขณะเดียวกันสภาวะพลังอันมหาศาลไหลก็ทะลักออกมาจากร่างของเขา มันตรงเข้าสร้างความกดดันให้ทุกผู้คนในที่แห่งนั้นจนยากจะหายใจ

“กล้าคิดชิงตัวหลานสาวของเขาในนครเมฆาแห่งนี้ ต่อให้พวกเจ้าเป็นยอดฝีมือสูงส่งจากดินแดนหนเหนือก็อย่าว่าจะทำได้ !”

ตัวอวี๋จวินซานคือจ้าวนครเมฆา เขาคือผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดที่นี่ ทว่าคนเหล่านี้กลับคิดการชั่วช้า โต้เถียงกันต่าง ๆ นานา เพราะต้องการจะพาตัวหลานสาวของเขาไป จะพรากนางไปต่อหน้าโดยไม่หวั่นเกรงบารมีของเขา ไม่คิดจะขออนุญาต ไม่เคยไถ่ถามความคิดเห็น ไม่สนใจกระทั่งการมีตัวตนของเขาเลยแม้แต่น้อย …นี่มันจะบังอาจเกินไปแล้ว !

เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของอวี๋จวินซาน หลงจื้อและพวกพ้องต่างก็ขมวดคิ้วแน่น แม้แต่ฉินอวี้โม่และฝ่ายผู้ปกป้องของนางเองก็ยังอึ้งงันไปเช่นกัน

เพราะแรงกดดันที่ผู้ปกครองสูงสุดแห่งนครเมฆาปลดปล่อยออกมานั้น มันมิใช่แรงกดดันที่ขอบเขตจักรวรรดิทูตสวรรค์พึงจะมีได้เลย มันคือแรงกดดันที่สูงล้ำยิ่งไปกว่านั้นและทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นตะลึงแทบลืมหายใจ

“จ้าวพิภพครึ่งก้าว !”

เหยาปิงอุทานมาด้วยน้ำเสียงงุนงงระคนแตกตื่น

เหนือขึ้นไปจากจักรวรรดิทูตสวรรค์ก็คือ ‘ขอบเขตจ้าวพิภพ’ ยอดฝีมือที่อยู่ขอบเขตจ้าวพิภพจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจักรวรรดิทูตสวรรค์อย่างเทียบกันไม่ได้ จ้าวพิภพครึ่งก้าวนั้นหมายถึงผู้ที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพไปแล้วครึ่งทางแม้จะยังไม่สมบูรณ์แต่ก็เหนือชั้นกว่าขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์มาก

จ้าวพิภพเป็นขอบเขตที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวขึ้นไปให้ถึงได้ในดินแดนที่ต่ำชั้นกว่าดินแดนเทพมายานี้ ทว่าขอเพียงเข้าถึงแล้วครึ่งก้าว การจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตนั้นเต็มตัวก็จะไม่ยากเย็นอีกต่อไป

“ไม่คิดเลยว่าจ้าวนครเมฆาจะสามารถเหยียบเข้าสู่ขอบเขตนี้ได้จริง ๆ”

หลงจื้อที่ดึงสติกลับมาได้จ้องมองอวี๋จวินซานพลางกล่าวคล้ายจะชื่นชม แต่น่าแปลกที่ในน้ำเสียงและแววตาของเขากลับไม่มีความยำเกรงปรากฏให้เห็นเลย

ก่อนหน้านี้ที่เขาประหลาดใจมากก็เป็นเพราะดินแดนหวนหลิงมีทรัพยากรอันจำกัดไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นของพลังมายาในบรรยากาศหรือ*‘สมบัติสำหรับการบ่มเพาะ’*อื่น ๆ ที่สำคัญดินแดนแห่งนี้ยังมีสิ่งประหลาดคล้ายเป็นผนึกที่คอยจำกัดพลังของผู้คนในที่แห่งนี้ไม่ให้พัฒนาเกินขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ไปได้ แต่จ้าวนครเมฆากลับก้าวเข้าสู่ขอบเขตถัดไปได้แล้วถึงครึ่งก้าว นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายและไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสักนิด

“จ้าวนครนี่ท่านคิดจะใช้กำลังกับพวกเราอย่างนั้นรึ หรือว่าท่านไม่ห่วงความปลอดภัยของลูกสาวของท่านแล้ว ?”

หลงจื้อกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และวาจานี่เองที่ทำให้อวี๋จวินซาน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ชะงักไป

“หมายความว่า อวิ๋นเอ๋อร์อยู่ในมือนิกายหงส์มังกรของเจ้าอย่างนั้นรึ ?!”

ใบหน้าของอวี๋จวินซานบิดเบี้ยวถึงขีดสุด แม้ว่าเขาจะคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกบางขุมกำลังที่อยู่ในดินแดนหนเหนือจับตัวไป แต่ก็ไม่ทราบเลยว่าเป็นขุมกำลังใด ยิ่งเมื่อได้ยินหลงจื้อกล่าวคล้ายยอมรับว่าเป็นผู้กระทำและยกชื่อของนางขึ้นมาข่มขู่ผู้เป็นบิดาก็ยิ่งรู้สึกเคืองแค้น

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านจ้าวนครฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก”

หลงจื้อหัวเราะ แม้ถ้อยคำจะชื่นชมแต่น้ำเสียงกลับคล้ายจะเย้ยหยัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเต็มไปด้วยความสาแก่ใจ

“เกือบยี่สิบปีที่แล้วขุมกำลังของเราได้รับข้อมูลว่ามีผู้สืบทอดของเทพมายาปรากฏตัวในดินแดนหวนหลิง พวกเราจึงแอบส่งคนเข้ามาอย่างลับ ๆ เพื่อตามหาตัวคนผู้นั้น แต่นั่นมันกลับไม่ง่าย ต้องขอบคุณความช่วยเหลือน้องชายที่ดีของท่าน หากไม่ได้เขาเวลานั้นพวกเราก็คงจะหาตัวบุตรสาวของท่านไม่พบเป็นแน่ เหอะ ! แต่ก็น่าเสียดายที่เราเพิ่งได้รู้ว่ากายเทพมายาไม่ได้อยู่ในตัวนางแต่เป็นบุตรสาวของนางแทน”

หลงจื้อหันไปมองอวี๋จวินเหยาก่อนจะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย

“น้องสาม นี่เป็นฝีมือของเจ้าอย่างนั้นรึ ?!”

เมื่อได้ยินสิ่งที่คนจากนิกายหงส์มังกรบอกเล่า ใบหน้าของอวี๋จวินซานก็เปลี่ยนเป็นคล้ำเข้มด้วยความเคืองแค้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาหันไปมองอวี๋จวินเหยาที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยแววตาเย็นชาพลางกัดฟันถาม

“ฮ่า ๆ ๆ ใช่แล้ว พี่ใหญ่ เรื่องนี้เป็นฝีมือของข้าเอง !”

อวี๋จวินเหยากล่าวยอมรับด้วยแววตาเชือดเฉือน รอยยิ้มของเขาเย็นชาไม่แพ้ผู้เป็นพี่ชาย

“เมื่อนานมาแล้ว เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ของท่านเคยส่งจดหมายมาที่นครเมฆาครั้งหนึ่ง แต่บังเอิญโชคดีข้าเป็นผู้รับไว้เสียก่อนจึงได้รู้ว่านังหลานสาวตัวดีนั่นซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ในตอนนั้นข้าก็ไม่รอช้า รีบส่งคนไปตามล่า…ไม่สิ…ลากตัวนางกลับมาทันที แต่ข้าก็บังเอิญได้ทราบอีกว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังออกไล่ล่านางเช่นกัน ไหน ๆ ข้าก็แค่อยากจะกำจัดนางเท่านั้นจึงคิดยืมมือพวกเขาโดยไม่ต้องเปลืองแรง

ข้าบอกถึงที่ซ่อนตัวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นกับคนของนิกายหงส์มังกร จากนั้นไม่นานพวกเขาก็พาตัวเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไปจากมือของคนน่ารังเกียจตระกูลฉินนั่น หลังจากนั้นฉินเทียนก็ออกจากตระกูลฉินเพื่อไปตามหานางแทบจะทันที ส่วนฉินจิ่วผู้นี้ก็คือคนที่ข้าช่วยไว้โดยบังเอิญ เขากลายเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ของข้า ตอนที่ฉินเทียนออกไปข้าก็ส่งเขาไปที่ตระกูลฉินเพื่อคอยจับตาดูฉินอวี้โม่และฉินเฟยเอาไว้ ตอนนั้นเป้าหมายของข้าก็คือล่อให้ฉินเทียนมันกลับมา ข้าจะได้สังหารพวกมันทั้งหมดสามพ่อลูกไปพร้อม ๆ กันซะโทษฐานที่ทำให้สายเลือดของนครเมฆาอันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งต้องแปดเปื้อน !”

อวี๋จวินเหยาบอกเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นออกมาตรง ๆ ผู้อาวุโสสามแห่งนครเมฆายอมรับสิ่งที่กระทำด้วยสีหน้าแววตาที่ชั่วร้ายไม่คิดสำนึก

เป็นเขาเองที่บงการเรื่องนี้ นี่เป็นแผนการอันชาญฉลาดและแยบยลจนไม่เคยมีผู้ใดนึกสงสัย แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ที่พาตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปเอง แต่เบื้องหลังนั้นเป็นการชักใยอย่างแนบเนียนของเขา

“ชั่วช้า ! น้องสามเจ้าถึงกับกล้าทำร้ายหลานสาวตัวเองได้ลงคอเลยรึ ?!”

เหวินเปียวตะคอกถามอวี๋จวินเหยาที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความโกรธ

เขาเคยคิดเลยว่าน้องสามของเขาจะเป็นคนต่ำทรามถึงเพียงนี้ ไม่คิดเลยว่าหลายปีที่ผ่านมาเขาจะรู้ที่อยู่ของฉินอวี้โม่มาโดยตลอด เขาจับตาดูฉินอวี้โม่ไว้เพื่อเป็นเหยื่อล่อฉินเทียนโดยไม่ได้บอกพวกเขาแม้แต่ครึ่งคำ และปล่อยให้พี่ใหญ่ต้องเฝ้าตามค้นหาแทบพลิกแผ่นดิน

“เหอะ ที่ข้าทำเช่นนี้มีอะไรผิดรึ ? ข้าก็แค่ทำตามจารีตดั้งเดิม ช่วยรักษาสายเลือดบริสุทธิ์ของเราเท่านั้น เรื่องนี้ต้องโทษพี่ใหญ่ที่เลี้ยงดูบุตรไม่ดี ไม่ใช่มาโทษข้า !”

อวี๋จวินเหยาตวาดสวนกลับไปอย่างเย็นชา

“ไอ้คนสารเลว !”

อวี๋จวินซานโกรธถึงขีดสุดแล้ว จ้าวอารามส่งฝ่ามืออันทรงพลังและเกรี้ยวกราดพุ่งตรงเข้าใส่อวี๋จวินเหยาที่อยู่ไม่ไกลในทันที

แน่นอนว่าอวี๋จวินเหยาเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว เขารู้ตัวดีว่าไม่สามารถรับฝ่ามือของพี่ชายผู้นี้ได้จึงกระโดดหลบหลีก พริบตาต่อมาผู้มีอำนาจเป็นรองเพียงจ้าวนครเมฆาก็เปลี่ยนมายืนเคียงข้างหลงจื้อในทันที

— ตูม ! —

แรงกระแทกจากกระแสลมที่มาพร้อมกับฝ่ามือของอวี๋จวินซานทำให้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ในสวนกว้างขวางสำหรับจัดงานเลี้ยงพังถล่มลงมาหลายสิบต้น ก้อนหินใหญ่ที่อยู่ในรัศมีทำลายล้างก็แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ

“พี่ใหญ่ ท่านเป็นคนบีบบังคับให้ข้าต้องทำ เรื่องทั้งหมดถ้าจะโทษท่านก็ต้องโทษตัวท่านเอง !”

อวี๋จวินเหยาที่คิดว่าตัวเองปลอดภัยแล้วเมื่อได้ยืนรวมกลุ่มกับพันธมิตรของตนจากดินแดนหนเหนือ เอ่ยถ้อยคำอย่างไร้สำนึก

.