ท่านอาจารย์จื่อเวยกำลังร้องเพลงสุขสันต์ พอเงยหน้ามองเห็นใบหน้าสุขอุราที่ยื่นลงมาจากบนหน้าผาของทั้งสองคน ถลกกระโปรงขึ้นวิ่งหน้าตั้ง ชายกระโปรงผืนหนึ่งที่ขาดห้อยอยู่บนกิ่งไม้พัดพลิ้วไปตามลม อ้างว้างวังเวง
หลังจากนั้นทุกวัน พอทุกคนเห็นเขาก็ถามว่า “อาจารย์ๆ วันนั้นท่านเช็ดก้นแล้วหรือยัง?”
บนโลกนี้สิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งหนึ่ง ตั้งแต่นั้นบนเขาชีเฟิง ท่านอาจารย์จื่อเวยที่ยโสโอ้อวดไม่สนใจโลกหล้า เห็นเหยียลี่ว์สวินหรูแล้วพลันวิ่งหนี
หลังจากที่เหยียลี่ว์สวินหรูได้ยินเรื่องกฎเกณฑ์การทดสอบของท่านอาจารย์จื่อเวย เกิดความสนใจยิ่งนัก ส่งเสริมจิ่งเหิงปัวให้เลือกหัวข้อที่สองของข้อสอบชุดแรกยามนั้น
ภายในเวลาสามชั่วยาม ค้นหาที่อยู่ของท่านอาจารย์จื่อเวยให้เจอ ซ้ำยังต้องเอากางเกงในสะอาดหนึ่งตัวมาให้ได้
วันนี้สองคนเริ่มการทดสอบ อย่างที่คิดไว้เลย ด้วยเหยียลี่ว์สวินหรูคอยช่วยเหลือ จิ่งเหิงปัวใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วยามก็หาที่อยู่ของท่านอาจารย์จื่อเวยเจอแล้ว ได้รับกางเกงในสะอาดที่เล่ากันว่าไม่เคยมีอยู่ด้วยซ้ำตัวหนึ่งมาอย่างง่ายดาย
ยิ่งกว่านั้นใน**บเสื้อผ้าของท่านอาจารย์จื่อเวย กางเกงในทุกตัวสะอาดสะอ้าน จิ่งเหิงปัวจำได้แม่นว่าหมู่นี้จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยไม่ได้ช่วยเขาซักกางเกงใน
นางสะบัดกางเกงในพลางบอกเหยียลี่ว์สวินหรูว่าแปลกใจ เหยียลี่ว์สวินหรูเพียงหัวเราะ
“ข้าดมกลิ่นบนร่างเขาบ่อยครั้ง เขากล้าสวมกางเกงในสกปรกด้วยหรือ?”
จิ่งเหิงปัวคิดว่าพี่เหยียลี่ว์เป็นดาวนำโชคของนางจริงแท้
ซ้ำยังคิดว่าผู้หญิงแต่งตัวเพื่อคนที่รัก ผู้ชายรักสะอาดเพื่อคนที่ชอบ ท่านอาจารย์จื่อเวยพลันรู้จักรักสะอาดแล้ว แม้แต่ถ่ายหนักยังรู้จักขุดหลุมฝัง รู้ตัวราวกับแมว อีกนัยหนึ่งก็พิสูจน์ได้ว่าแท้จริงแล้วเขาใส่ใจสวินหรูอยู่หลายส่วนใช่หรือไม่?
นางยังมองออกว่าถ้ำเทพน้อยๆ ของท่านอาจารย์จื่อเวยนั้น ข้างในเต็มไปด้วยกับดัก แต่ไม่ได้แสดงประโยชน์ที่ควรมีอยู่เลย เพราะว่าสวินหรูมาด้วย เขาถึงยอมให้เข้ามาเสียเลยใช่หรือไม่?
ฉะนั้นฉวยโอกาสที่หาได้ยากครั้งนี้ นางจะรื้อค้นถ้ำเทพของท่านอาจารย์จื่อเวยทุกซอกทุกมุม ขโมยสิ่งที่ดูมีประโยชน์จนเต็มกระเป๋า
รอให้นางยกเค้าเสร็จแล้ว พอหันหน้าก็มองเห็นเหยียลี่ว์สวินหรูปีนขึ้นเตียงหยกของเจ้าผู้ชรา กำลังหยิบอะไรสักอย่างขึ้นมาชมในมือ
จิ่งเหิงปัวเข้าไปใกล้ทันที หมู่นี้นางเลื่อมใสในลางสังหรณ์เหมือนสัตว์ป่าบางชนิดของสวินหรูจนศิโรราบกราบกราน บางทีสิ่งที่นางหาเจอถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
สวินหรูถือผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งไว้ในมือ มองออกว่าผ่านกาลเวลายาวนาน ผ้าไหมขาวราวหิมะเริ่มเหลืองแล้ว เก็บรักษาอย่างทะนุถนอมยิ่งนัก ไม่มีแม้แต่รอยพับ
ผ้านี้ไม่มีกลิ่นหอม ไม่มีลายปัก ไม่มีสิ่งพิเศษใดๆ ถ้าจิ่งเหิงปัวมองเห็น คงนึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์แล้วพลาดไปแน่นอน
“ผ้าปักนี้ประณีตเหลือเกิน” สวินหรูใช้นิ้วมือลูบไล้ผ้าอย่างแผ่วเบา ท่าทางก็ทะนุถนอมยิ่งนัก
“ผ้าปักที่ใดกัน” จิ่งเหิงปัวแปลกใจ เห็นได้ชัดว่าบนผ้าไม่มีอะไรทั้งนั้นนะ
การสัมผัสของคนตาบอดก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน นางเริ่มเข้าใจแล้ว รับผ้ามาส่องแสง ครั้งนี้ถึงมองเห็นจิ้งจอกตัวหนึ่งที่ปักโดยใช้เส้นไหมสีเดียวกัน
จิ้งจอกขาว ท่วงท่าแช่มช้อย หางใหญ่ขาวราวหิมะฟูฟ่อง ท่าทางกึ่งเหลียวหลังทำให้นึกถึงวาจา เช่น “ท่วงท่าสง่างาม ทรงเสน่ห์ล้นเหลือ” ฝีมือการปักอัศจรรย์ยิ่งนัก
จิ้งจอก?
“สองด้านแตกต่างกัน” สวินหรูเตือน
จิ่งเหิงปัวพลิกอีกด้านหนึ่งขึ้นมาดู ครั้งนี้เป็นวิมานเก้าชั้นฟ้า นกกระเรียนมงกุฎแดงเหาะเหิน เมฆาดั่งผ้าต่วนปลิวว่อน สุริยันจันทราร่วมเคลื่อนคล้อย
เป็นภาพที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียนโดยแท้
ลายปักด้านนี้ก็เป็นเส้นไหมสีเดียวกันด้วย ส่องผ้าทั้งผืนใต้แสงอาทิตย์แล้วเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่สีขาวราวหิมะบริสุทธิ์ แต่เปล่งประกายแสงเงินอ่อน ฉะนั้นการปักสองด้านที่ปักโดยใช้เส้นไหมเงินจึงซ่อนเร้นเมื่ออยู่ใต้แสงธรรมดา
จิ่งเหิงปัวยิ่งตกใจในฝีมือการปักผ้านี้ ถ้านางจำไม่ผิด ที่นี่ยังไม่ได้คิดค้นวิธีปักผ้าสองด้าน แต่ผ้านี้ไม่เพียงแค่ปักสองด้าน กล่าวเฉพาะฝีมือการปักก็มีเพียงหนึ่งเดียวแล้ว
กล่าวได้ว่าผ้าผืนนี้เองก็มีกลิ่นอายแห่งเซียน ถ้านางไม่ใช่ผู้ทะลุมิติ แต่เป็นชาวต้าฮวง อาจจะเกิดความคิดว่า “ของสิ่งนี้เป็นสิ่งอัศจรรย์แห่งเซียน ควรบูชากราบไหว้”
แม้ท่านอาจารย์จื่อเวยเป็นผู้ชายที่หน้าตาเหมือนผู้หญิง ชอบสวมเสื้อผ้าที่คล้ายกระโปรงผู้หญิง แต่ผ้าผืนนี้ไม่ใช่ของเขาเองแน่นอน
เพลงจิ้งจอกเพลงหนึ่ง ผ้าจิ้งจอกผืนหนึ่ง บัดนี้เก็บไว้ในถ้ำเทพนี้อีกด้วย ของสิ่งนี้มีความหมายต่อเขา แค่คิดก็รู้แล้ว
จิ่งเหิงปัวลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรเตือนเหยียลี่ว์สวินหรูหรือไม่ว่าอย่าจัดการผ้านี้ตามใจชอบ นางเชื่อว่าด้วยความรู้ด้านการปักผ้าของเหยียลี่ว์สวินหรู คงเดาความหมายแฝงกับแหล่งที่มาของผ้านี้ได้แน่นอน กลัวว่านางจะบันดาลโทสะ ทำลายผ้าทิ้งเสียเลย
เหยียลี่ว์สวินหรูคล้ายเดาความคิดของนางได้ เพียงแค่ยิ้มแย้ม กางผ้าให้ราบเรียบ เก็บไว้ในม้วนผ้าที่อยู่ข้างหนึ่ง
คราวนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งพบว่าข้างหมอนของท่านอาจารย์จื่อเวยมีผ้าเช็ดมือกองหนึ่ง ดูท่าทางก็เป็นม้วนผ้าธรรมดา ผ้าก็สอดไว้ตรงกลางอย่างเรียบร้อย ทั้งไม่สะดุดตา ซ้ำยังปกป้องให้ไม่เปื้อนฝุ่นไม่มีรอยพับได้ดียิ่ง
จินตนาการได้ยากเหลือเกินว่าคนตาบอดเช่นสวินหรู พบว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในผ้าเช็ดมือธรรมดากองนั้นได้อย่างไร
“เขาวางไว้เช่นนี้ไม่ดี ยับย่นได้ง่าย” นางลูบผ้าให้เรียบอย่างประณีต วางแผ่นหยกแข็งทับไว้ข้างบน
จิ่งเหิงปัวมองนางอย่างงงงวย ไม่เข้าใจว่านางคิดอย่างไร นางเริ่มไม่รู้สึกว่านางเหมือนไท่สื่อหลันแล้ว ไท่สื่อหลันต้องการให้ผู้ชายกล้าได้กล้าเสียเหมือนกับเธอ แต่ถ้าแน่ใจว่าอีกฝ่ายมีคนอื่นอยู่ในใจ จะปัดก้นหนีไปแน่นอน
“เจ้านึกว่าข้าจะหึงหวง? ข้าจะโวยวาย? ข้าจะทำลายผ้าทิ้ง?” เหยียลี่ว์สวินหรูหัวเราะฮ่าๆ จิ้มหน้าผากนาง “อะไรกัน จำเป็นด้วยหรือ? เขาเก็บสิ่งของไว้อย่างทะนุถนอมขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สมหวังเช่นกันไม่ใช่หรือ? เป็นความคิดที่ไม่เป็นจริงแล้ว ข้ายังโวยวายจะเป็นจะตายทำอะไร? นึกว่าข้าเป็นผู้ใดของเขาหรือ? ต่อให้ข้าอารมณ์ร้ายกว่านี้ ก็ไม่ทำเรื่องที่ทำให้ผู้อื่นเกลียดชังเช่นนี้” นางบิดขี้เกียจ พึมพำว่า “แท้จริงแล้วเช่นนี้ก็ดีนัก ข้าไม่เคยคิดว่าจะได้ครอบครองเขาด้วยซ้ำ เขาจำของเขา ข้าชอบของข้า ต่างคนต่างรักษาจิตใจดีงามส่วนหนึ่งไว้เพื่อแต่ละคน ความรักเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก อย่าใช้น้ำตาที่เป็นส่วนเกินกับกิริยาวาจาที่ไม่สมควรทำให้มันแปดเปื้อนเลย”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าผู้หญิงใจแคบทั้งโลกนี้ ตอนนี้ควรมาฟังสักหน่อย
เหยียลี่ว์สวินหรูไม่ได้อยู่ในถ้ำเทพของท่านอาจารย์จื่อเวยนานนัก ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่หวังว่าจะเข้าใจความเคยชินความเป็นอยู่ของคนที่หมายปองให้มากขึ้น นางเพียงนอนอยู่บนเตียงเขา ฮัมเพลงแผ่วเบา จิ่งเหิงปัวฟังออกว่าเป็นเพลงกล่อมเด็กเกี่ยวกับจิ้งจอกเพลงนั้น
หลังจากที่ร้องเสร็จแล้ว เหยียลี่ว์สวินหรูเงยหน้ายิ้มแย้มมองจิ่งเหิงปัว เอ่ยว่า “ยังพอมีเวลา พวกเราไปดูบึงโคลนทดลองของเขากัน”
จิ่งเหิงปัวได้ยินมานานแล้วว่าท่านอาจารย์จื่อเวยเลือกบึงโคลนแห่งหนึ่งในเขาชีเฟิง ทดลองแผนปลูกพืชปรับปรุงบึงโคลนที่นางเสนอในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จตอนนั้น นางสนใจเรื่องนี้อย่างมากมาโดยตลอด อยากไปดูสักหน่อย เสียดายว่าถูกการทดสอบที่ไม่จบไม่สิ้นของท่านอาจารย์จื่อเวยบังคับให้วิ่งวุ่นวาย จะมีเวลาได้อย่างไร ตอนนี้ดีแล้ว เหยียลี่ว์สวินหรูมาแล้ว ท่านอาจารย์จื่อเวยกลัวจนหลบแทบไม่ทัน ขอแค่นางอยู่กับเหยียลี่ว์สวินหรูก็เท่ากับหยุดฝึกแล้ว
ตอนนี้ทางตี้เกอนั้นก็กำลังเผยแพร่บึงโคลนทดลอง แต่ชั่วขณะนี้ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทุกแคว้นทุกชนเผ่าที่เหลือ โครงสร้างของต้าฮวงแปลกประหลาดและซับซ้อนเกินไป จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าความหวังที่จะสร้างความผาสุกทั่วต้าฮวงของตัวเองเป็นจริงได้ยากยิ่ง
บึงโคลนทดลองอยู่บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง แต่ตอนนี้สำหรับจิ่งเหิงปัวแล้ว ระยะทางแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ นางจูงมือเหยียลี่ว์สวินหรูหายตัวติดต่อกัน เหยียลี่ว์สวินหรูหรี่ตาเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ว่า “ต่อไปเสี่ยวฉีของข้ามีวาสนาแล้ว…”
จิ่งเหิงปัวก็ทําเป็นไม่ได้ยิน
สุดท้ายพวกนางหยุดลงตรงหน้าบึงโคลนใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นี่ปลูกต้นหม่อนจนแน่นขนัดแล้ว ยังไม่ถึงช่วงริดใบ ในป่าต้นหม่อนเลี้ยงเป็ดไก่แบบปล่อยมากมาย จิ่งเหิงปัวรู้ว่าบางครั้งที่ลงเขา จะได้กินน้ำแกงไก่สดใหม่หอมกรุ่นที่บ้านกลางเขา หลูเฮาไม่น้อยที่ข้างบึงโคลนแตกกิ่งก้านสีเขียวอ่อนแล้ว มองไม่ออกว่าในบึงโคลนมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่จิ่งเหิงปัวรู้ว่าขอแค่ลงไปเหยียบย่ำ ก็จะเหยียบโดนรากบัวที่ยังไม่เติบโตเต็มที่
เหยียลี่ว์สวินหรูมองไม่เห็น ทว่าได้กลิ่นอายในอากาศ นางสูดหายใจลึกๆ ดวงตาเปล่งประกาย “ข้าได้กลิ่นหอมสดชื่นในกลิ่นโคลนเลนเป็นครั้งแรก คล้ายมีกลิ่นใบหม่อน”
“ในบึงยังมีรากบัว น่าจะงมขึ้นมาผัดสักจานได้” จิ่งเหิงปัวนึกสนุกทันที อยากใช้ผลผลิตของบึงโคลนนี้จัดงานเลี้ยงชนบทสักครั้ง
เหยียลี่ว์สวินหรูเป็นสตรีที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานต่อชีวิตเสมอ ถลกกระโปรงกับขากางเกงลงไปเก็บรากบัวกับนางด้วย แน่นอนว่านางเก็บได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็หอบฮืดฮาดมองจิ่งเหิงปัวแสดงฝีมือกลางน้ำโคลน
แค่นี้จิ่งเหิงปัวก็พอใจมากแล้ว รู้สึกว่าคล้ายมองเห็นความหวังที่เหยียลี่ว์สวินหรูเริ่มดีขึ้น นางหิ้วรากบัวขึ้นฝั่ง พอเงยหน้ามองเห็นสายตาของเหยียลี่ว์สวินหรู “จ้อง” นางเขม็ง อดจะหลุดหัวเราะไม่ได้ “มองข้าทำอะไร?”
ต่อหน้าเหยียลี่ว์สวินหรู ไม่ต้องหลีกเลี่ยงวาจา เช่น ตาบอด มองเห็น อะไรพวกนั้น นางไม่ถืออยู่แล้ว
“ข้ากำลังคิดว่า” เหยียลี่ว์สวินหรูเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “หากเจ้าเป็นน้องสะใภ้ข้าจริง คงดียิ่งนัก”
จิ่งเหิงปัวยืนนิ่ง ชี้นางพลางยิ้มแย้ม กล่าวว่า “เฮ้ บอกไว้ก่อนเลยนะ วันหน้าท่านตายไปแล้ว ห้ามมาฝากฝังก่อนตายว่าจะยกน้องชายให้ข้าอะไรเอย ขอให้ข้าเห็นแก่ท่านที่ใกล้ตายแล้ว จักต้องรับปากอะไรเอย ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ”
เหยียลี่ว์สวินหรูเอียงศีรษะหัวเราะ “ว่าอย่างไร กลัวหรือ?”
“กลัว” จิ่งเหิงปัวเอ่ยอย่างว่านอนสอนง่าย “วันนั้นท่านดูท่าทางไม่ไหวแล้ว นอนอยู่ตรงนั้นมองข้าปราดเดียว หัวใจดวงน้อยของข้าเต้นตึกตัก กลัวว่าท่านจะโบกมือให้ข้า”
“เจ้าไม่ต้องการ ปฏิเสธก็พอแล้ว” เหยียลี่ว์สวินหรูหัวเราะฮิฮิ
“ข้าปฏิเสธได้ ทว่าข้าจะไม่สบายใจกับเรื่องนี้ อึดอัด รู้สึกว่าทำให้ท่านผิดหวัง ยิ่งยามที่ท่านตายไปแล้ว ข้าจะรู้สึกว่าหนี้ครั้งนี้ไม่มีทางชดใช้ได้เลย” จิ่งเหิงปัวคว้ามือของนางไว้ “พี่ เช่นนี้โหดร้ายเกินไปแล้ว ท่านอย่าทำเชียว!”
“ฮ่าๆๆ เจ้าคิดมากไปแล้ว” เหยียลี่ว์สวินหรูตีมือของนาง เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าอยากให้เจ้าสมรสกับเสี่ยวฉียิ่งนัก ด้วยเพราะข้าเป็นพี่สาวเขาก็ไม่เชิง แต่ข้ารู้สึกว่าเสี่ยวฉีค่อนข้างเหมาะกับเจ้า แต่ไม่ว่าข้าจะหวังไว้เท่าใด ข้าไม่คิดจะใช้ความตายของตนเองเป็นข้อต่อรอง เรียกร้องความสุขทั้งชีวิตของสตรีนางหนึ่ง เสี่ยวฉีอยากได้เจ้า ต้องไปแย่งชิงด้วยตนเอง ลูกผู้ชายอกสามศอก อาศัยพี่สาวถึงตบแต่งภรรยาได้? เรื่องน่าอายขนาดนี้ เหยียลี่ว์สวินหรูไม่ทำ เหยียลี่ว์ฉียิ่งไม่ทำ!”
จิ่งเหิงปัวก็หัวเราะเล็กน้อย ตีมือของนางเช่นกัน รู้สึกว่าตัวเองพบเจอพายุหิมะที่เหน็บหนาวที่สุดในชีวิตที่ตี้เกอ แต่ตลอดเส้นทางที่ออกจากตี้เกอ ได้พบเจอคนที่ดีที่สุดเหล่านี้
ช่องว่างที่อยู่เบื้องลึกในใจ นับวันยิ่งค่อยๆ ถูกเติมเต็ม
“เพียงแต่” เหยียลี่ว์สวินหรูพลันชนไหล่นาง เอ่ยอย่างลึกลับว่า “เจ้าจะไม่พิจารณาหน่อยหรือ? เสี่ยวฉีดียิ่งนัก เขาทำได้ตั้งหลายอย่างนะ เขาตัดเสื้อผ้าได้ด้วยนะ…”
จิ่งเหิงปัวหลุดหัวเราะพรืด แต่ในใจท่วมท้นด้วยความเศร้า ค่อยๆ จูงมือของเหยียลี่ว์สวินหรูมาทาบอกตัวเอง กล่าวว่า “พี่ ที่นี่เคยเต็มเปี่ยม ว่างเปล่าอีกแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่ของทุกคน หากเคยมีผู้ใด เช่นนั้นก็คล้ายโพรงที่ขุดไว้แล้ว พอดีกับแค่คนหนึ่งนั้น ภายหลังว่างเปล่าแล้ว ตำแหน่งที่เหลือไว้ไม่เหมาะจะมีคนใหม่ใดๆ อีกเลย ยัดผู้ใดเข้าไป เขาจะเป็นทุกข์ นางก็เป็นทุกข์ ผู้ที่พอดีกับช่องว่างคนนั้นไม่อยู่แล้ว ยอมให้มันว่างเปล่าชั่วชีวิตดีกว่า ข้าเป็นคนเช่นนี้ ข้าคิดว่าท่านก็เช่นกัน”
เหยียลี่ว์สวินหรูหรี่ตา หันหน้ารับลมที่เจือด้วยกลิ่นพืชน้ำ กระซิบว่า “ใช่ หลายปีมานี้ ข้าก็ปฏิเสธการขอสมรส ตำแหน่งนั้นที่ขุดไว้ในใจข้า คิดจะไว้ให้เขาผู้เดียว ไม่มีเขา ก็ปล่อยว่างชั่วนิรันดร์…เพียงแต่…” น้ำเสียงนางเจือด้วยความเศร้า “ยืนหยัดเช่นนี้ ไม่มีความสุขหรอก”
“ไม่ยืนหยัด ก็ไม่มีความสุขเช่นกัน” จิ่งเหิงปัวกอดเข่ามองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับฟ้าที่ยอดเขาไกลโพ้น
บทสนทนาไม่ได้ดำเนินต่อไป
พวกนางพิงไหล่กันและกัน เผชิญหน้าขุนเขากว้างใหญ่กับบึงโคลนอึมครึม นึกถึงคนนั้นที่ทำให้ในใจตนเองว่างเปล่า