ผู้คนที่นั่งอยู่ชั้นล่างค่อยๆ เงียบเสียงลง จนทั้งสองพี่น้องได้พักหูเสียที

“ขี้โม้ ขี้โม้… พวกนักเดินทางสวะ…” ลิลิธพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “พวกดีแต่กล้ามโตๆ แต่โชคร้าย ไม่มีสมองสักนิด”

“อย่าประเมินพวกเขาต่ำไป” ซาลาส่ายหน้า “หลายคนเคยสู้กับอสูรกายในป่าดำกับเทือกเขาแห่งความมืดมานานแล้ว น้องไม่น่าไปดูถูกพวกเขาอย่างนั้น”

ตอนกำลังพูด อยู่ๆ ดวงตาของเขาเบิกโพลง สีของเทียนซีดเผือด เหมือนกับสีของกำแพง สีบรรยากาศรอบตัวเริ่มหายไปทีละนิด เมฆหมอกบางๆ ลอยต่ำลงมาช้าๆ

มือของซาลาสัมผัสโต๊ะในห้องพักตอนที่เขาก้าวเท้าถอยหลังออกมา เขารู้สึกถึงได้ความชื้นของไม้ ราวกับว่าโต๊ะตั้งอยู่ตรงนั้นมาหลายพันปี

“วิ่ง!” ซาลาจับมือน้องสาวแล้วตะโกน “มีบางอย่างผิดปกติ!”

อย่างไรก็ตาม เสียงของเขาฟังดูเหมือนอยู่ไกลมาก ราวกับเสียงมันดังมาจากอีกโลกหนึ่ง ลิลิธท่าทางหวาดกลัวและสับสน คว้ามือของซาลา นางตามเข้าไป ทั้งสองเริ่มวิ่งลงบันได

นักเวทฝึกหัดทั้งสองกำลังออกวิ่ง พวกเขาหยิบสารประกอบเวทออกมาถือไว้ในมือแน่น เผื่อต้องร่ายคาถาเรียกเวทป้องกันตัวเอง หากจำเป็น

เมื่อทั้งสองวิ่งลงมาถึงชั้นล่าง โรงเตี๊ยมขนาดเล็กแห่งนี้ดูโกลาหลไปหมด ทุกๆ คนรวมถึงนักเดินทางที่โอ่อวดเรื่องความแข็งแกร่งมาตลอดทั้งคืน ยื้อยุดกันไปมาเพื่อแย่งกันออกจากโรงเตี๊ยมให้เร็วที่สุด

ดูแล้วไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะผ่านไปทางประตูได้ในตอนนี้ ซาลาดึงแขนน้องสาว ทั้งสองวิ่งไปทางประตูหลังของโรงเตี๊ยม

ถีบประตูหลังพังออก ซาลาและลิลิธเห็นว่าเมืองทั้งเมืองเกิดเรื่องผิดปกติและกลายเป็นสีเทา อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองต่างหลับใหลอยู่ในบ้านพักของตัวเอง พวกเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร ทั้งเมืองเงียบงัน

ซาลาและลิลิธเริ่มวิ่งไปยังทางออกสู่ ‘เมืองมัสซาวา’ อีกเมืองที่อยู่ติดกับ ‘เมืองบอนน์’ ทั้งที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าที่เมืองนั่นเป็นอย่างไร

เมื่อเขากำลังจะออกจากเมือง ซาลาและลิลิธพบนักเดินทางอีกสองสามคนที่กำลังวิ่งหนีไปในทางเดียวกัน

“มีอะไรแปลกๆ ที่ทะเลสาบเอลซินอร์!” นักเดินทางคนหนึ่งพูดกับคนอื่นๆ เสียงดัง “มันต้องเป็นมิติเวทมนตร์… มิติเวทมนตร์… กำลังถล่ม!”

ก่อนที่คนอื่นๆ จะทันได้ตอบ ลิลิธร้องออกมาและชี้ไปยังพวกนักเดินทางด้วยมือสั่นๆ “พวกเจ้า…”

ผิวของพวกเขาเริ่มกลายเป็นสีเทา บางส่วนถึงขั้นเน่าเฟะ อย่างไรก็ตาม ตัวนักเดินทางเองก็ดูสับสนมาก ราวกับพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเอง

เมื่อเห็นว่าดวงตาของพวกเขาเริ่มเลื่อนลอยดูไร้สติ ซาลาดึงแขนน้องสาวแล้วตะโกนลั่น “วิ่ง! อย่าหันหลัง!”

ซาลาและลิลิธวิ่งเร็วมากจนแทบหายใจไม่ทัน รสชาติของเลือดจ่อมาถึงคอหอยของพวกเขา

เมืองบอนน์ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขากลายเป็นนรก

ในที่สุด ซาลาและลิลิธก็รู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมา หลังจากความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกำลังวิ่งฝ่าผ้าม่านหนาๆ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่กล้าที่จะหยุดพัก ทั้งสองยังคงวิ่งต่อไปยัง ‘เมืองมัสซาวา’ ไปให้ไกลจากเมืองที่น่าขนลุกนี้ ‘เมืองบอนน์’

“มิติเวทมนตร์…?!” อีเลีย นักบวชหลวงในชุดสีเงิน สังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในทันที เมื่อสีของทุกๆ รอบตัวอย่างเริ่มซีดลง “ไม่เหมือนกับที่ ‘ท่านเจ้ามหาลัทธิ’ บอกเรา!”

หลังจากนั้น เราออกคำสั่งกับนักบวชชั้นสูง นักบวชชั้นล่าง และอัศวินดำอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่มีเวลาเหลือสำหรับการสังเวยเลือด! มิติเวทมนตร์กำลังเปลี่ยน ยกเลิกการสังเวย เรียกทุกคนมารวมกัน! เราต้องใช้ ‘วงเวทอัญเชิญ’ เดี๋ยวนี้เพื่ออัญเชิญ ‘พระเจ้าที่แท้จริง’ ของเรา!”

เมื่อได้รับคำฟัง นักบวชชั้นสูงหกรูปลอยขึ้นกลางท้องฟ้ากระจายตัวเป็นวงกลมรอบ ‘เมืองบอนน์’ และ ‘ทะเลสาบเอลซินอร์’ ส่วนนักบวชและอัศวินดำอีกสิบสองคนยืนอยู่บนพื้นในรูปแบบเดียวกัน ทุกคนเป็นสาวกลัทธิอาร์เจนต์ ฮอร์น ที่มีอยู่ในราชรัฐออร์วาริต บางคนปฏิบัติตามบัญชาของ ‘พระเจ้าที่แท้จริง’ ของพวกเขามาไกลจากประเทศอื่น หรือแม้กระทั่งมาจาก ‘เทือกเขาแห่งความมืด’ เพื่อเป็นกำลังเสริม

อีเลียก็ลอยขึ้นเหนือ ‘ทะเลสาบเอซินอร์’ และเห็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องตะลึง

ผิวน้ำของทะเลสาบกลายสภาพเป็นของแข็งภายในไม่กี่วินาที และทันใดนั้นก็แตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย เหมือนกระจกแตกละเอียดจากพลังมหาศาลบางอย่าง ‘มหากางเขน’ เปล่งแสงสว่างจ้าอยู่ใต้ทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยของเหลวสีเลือดที่เคลื่อนไหวบิดเบี้ยวไปมาราวกับมีชีวิต

ผี วิญญาณแค้น และเงาดำมากมายกำลังส่งเสียงหวีดหวิวและกรีดร้อง ขณะลอยฉวัดเฉวียนวนไปมาอยู่เหนือทะเลสาบ ขณะที่พวกมันกำลังตะโกนกรีดร้องไปในทิศทางเดียวกัน คลื่นเสียงรวมตัวกันและกลายเป็นร่างของผีร้ายขนาดมหึมาโปร่งแสงในชุดสีดำยาวถือเคียวขนาดใหญ่อยู่ในมือ มันยืนตระหง่านอยู่เหนือของเหลวสีแดงเลือด ภายใต้หมวกคลุมหัว มีหลุมดำสองหลุมอยู่บนหน้าที่ดูเหมือนกะโหลก

แม้มีเวทมนตร์ต่างๆ คุ้มครอง อีเลียยังรู้สึกตัวสั่นพรั่นพรึงจากภาพที่เห็น ราวกับความอบอุ่นของการมีชีวิตอยู่ละทิ้งร่างกายเขาไปแล้ว

‘มหากางเขน’ พังทลายลงช้าๆ โลกหลักและโลกสีขาวดำกำลังทับซ้อนกัน

อีเลียยื่นมือซีดใหญ่ออกมา ทุกข้อนิ้วมีเดือยกระดูกแหลมๆ โผล่มา ส่องแสงมัวๆ

เขายกมือขึ้นกลางอากาศ อีเลียเริ่มร่าย ‘บทสวด’ ยาวเหยียดที่อาจทำให้ผู้คนกลายเป็นบ้าได้ เส้นพลังสีเงินหลายเส้นปรากฏออกมาจากตัวนักบวชและอัศวินดำที่ลอยอยู่กลางอากาศและยืนบนพื้น เชื่อมต่อกันรอบตัวอีเลีย สร้างวงเวทที่ซับซ้อน

เมื่ออีเลียร่ายเวทเสร็จ เขาตะปบมือขนาดใหญ่ของเขาลงตรงกลางวงเวท เส้นพลังสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนกระโดดเข้าสวาปามมือข้างนั้นอย่างกับปากขนาดมหึมาของอสูรกาย

เมื่อประตูสีเงินค่อยๆ ปรากฏบนท้องฟ้า ‘มหากางเขน’ ข้างล่างเลือนหายไปเกือบหมด

ทันใดนั้น ลำแสงสว่างจ้าลุกเป็นเพลิงก็พุ่งตรงเข้ากลางประตูสีเงินลงมาจากตำแหน่งสูงด้านบนฟากฟ้า

สีดำและเทาหายไปในทันตา และทั้งบริเวณก็เต็มไปด้วยแสงจ้าศักดิ์สิทธิ์

ทันทีที่ผี วิญญาณแค้น และเงาดำสัมผัสกับแสงนั้น พวกมันก็สลายกลายเป็นไอ แม้แต่พวกผีดิบซากศพเดินได้ทั้งเมืองก็หลายเป็นเถ้าถ่านในทั้งที

นี่เป็นอาคมชั้นเทพ ระดับแปด ‘เวทลำแสงตะวันฉาย!’

“อะเมลตัน… กอสเซ็ตต์!?” อีเลียตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้…”

วีล่า อะเมลตัน พระคาร์ดินัลหญิง ลอยสูงขึ้นกลางอากาศ ในมือนางถือเหรียญตรากางเขนสลักรูปดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง และพระคาร์ดินัลกอสเซ็ตต์อยู่ข้างกายนาง

เคานต์ฮาร์ต ราฟาติ และเคานต์เฮย์เวิร์ด ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการ ‘กองอัศวินไวโอเล็ต’ และยังมียศ ‘อัศวินทองคำ’ รวมถึงอัศวินอาภาอีกสองนายก็อยู่ที่นั่น

อีกฟากหนึ่ง ซัลวาดอร์ หรือ ‘ผู้คุมกฎ’ และคลาวน์ หัวหน้ากองผู้พิทักษ์ราตรี ก็กำลังนำ ‘กองกำลังผู้พิทักษ์ราตรี’ เข้าปิดล้อมพื้นที่ทั้งหมด

บุคคลผู้ทรงพลังที่สุดในราชรัฐกว่าครึ่งหนึ่งมารวมตัวกันที่นี่ในคืนนี้

“เป็นไปไม่ได้?” วีล่าเก็บเหรียญตราชั้นเทพระดับแปดกลับ นางพูดกับอีเลียอย่างเยือกเย็น “เราซุ่มรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่มานานแล้ว”

แม้ว่าอีเลียรู้ดีว่า ‘ศาสนจักร’ จะส่งคนมาสืบสวนเหตุการเปลี่ยนแปลงผิดปกติที่เกิดขึ้นรอบทะเลสาบในช่วงนี้ แต่เขาไม่คิดว่าการซุ่มโจมตีจะเต็มไปด้วยบุคคลที่ทรงพลังขนาดนี้

“ใครหักหลังเรา!?” อีเลียกำหมัดแน่น แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมา รอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏบนหน้า “หาก ‘พระเจ้าที่แท้จริง’ ไม่เสด็จมา คืนนี้ เราทั้งหลายจะตายกันหมดด้วยน้ำมือของพลังที่ผนึกไว้ หรือแย่กว่านั้น เราทุกคนจะถูกจับเป็นเชลย”

ท่ามกลางความรกร้าง ณ บริเวณทางแยกระหว่าง ‘ป่าดำเมลเซอร์’ กับ ‘เทือกเขาแห่งความมืด’

“ลูเซียน ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” นาตาซาถามลูเซียนด้วยความสับสนงุนงง เสียงของนางสั่นเล็กน้อย

ลูเซียนมองสำรวจชุดสีดำที่เขาสวมอยู่และตระหนักว่าเขาต้องบอกความจริงอย่างน้อยบางส่วนกับนาตาซา “กระหม่อมพบความลับของมิติเวทมนตร์จากบทกวีของเดโรนี และม้วนเอกสารโบราณที่มีคนแปลกหน้าสองคนนำมาให้กระหม่อมอ่านตีความ” ลูเซียนหยุดพูดพักหนึ่งก่อนเล่าต่อ “พระองค์รู้จักกระหม่อมดี กระหม่อมอยากแข็งแกร่ง อยากมีพลังมากขึ้นเพื่อปกป้องสหายและครอบครัว กระหม่อมตัดสินใจลองเสี่ยงดู เผื่อว่าจะเจอยาวิเศษในมิติเวทมนตร์”

นาตาซาขมวดคิ้ว

“ทันทีที่กระหม่อมเดินทางมาถึงเมืองบอนน์ กระหม่อมถูกดูดลงไปในหลุมลึกลับ ทั้งโลกภายในหลุมเป็นสีขาวดำ กระหม่อมเกือบตายอยู่ในนั้น กระหม่อมถูกพวกซากศพเดินได้และต้นไม้ปีศาจไล่ล่า ข้าเจอรูโหว่เลยกระโดดเข้ามา แล้วกระหม่อมก็มาโผล่ที่นี่… มันแปลกมากพะยะค่ะ”

“ข้าพอเห็น… ประโยชน์จากการประวัติศาสตร์บ้างแล้วล่ะ จริงไหม?” นาตาซายิ้มแบบหมดเรี่ยวแรง แม้นางไม่เชื่อคำพูดของลูเซียนเสียทีเดียว ในความคิดของนางคิดว่าหากถามมากไปกว่านี้ก็คงไม่มีประโยชน์กับใครในสถานการณ์แบบนี้

“เกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ พะยะค่ะ? แล้วท่านหญิงคามิลไปไหน?” ลูเซียนถาม

นาตาซาตาละห้อยและดูเศร้าสร้อย “ข้าได้ข่าวเกี่ยวกับมิติเวทมนตร์เมื่อวานก่อน ด้วยความสงสัย ข้าตัดสินใจมาที่ทะเลสาบเอลซินอร์เพื่อสำรวจ แต่พวกเราถูกซุ่มโจมตี ความสงสัยของข้าพาพวกเรามาติดกับดัก…”

“อะไรนะพะยะค่ะ?” ลูเซียนถึงกับตกใจ

“เพื่อถ่วงเวลาให้ข้าหนี ท่านป้าคามิลคอยอยู่คุ้มกันข้า นางกำลังสู้กับอัศวินอาภาและนักเวทระดับสูง…”

“ใครซุ่มโจมตีพระองค์?” ตาของลูเซียนเปิดกว้าง

นาตาซาดูเศร้ามาก ตอนที่นางกำลังจะตอบ กองทหารกองหนึ่งก็เดินทัพมาถึงและเข้าล้อมกรอบทหารของนาตาซาและลูเซียน

ลูเซียนแหงนหน้ามองขึ้นไปเห็นเวอร์ดี้นั่งอยู่บนหลังม้าหน้าตาประหลาดที่มีเขาแพะคู่หนึ่งอยู่บนหัว ซิลเวียอยู่ข้างกายเวอร์ดี้ ท่าทางเศร้า อย่างไรเสียพ่อของนางไม่ได้อยู่ตรงนั้น

“ญาติผู้น้อง โปรดยอมแพ้เสียเถิด” เวอร์ดี้สวมชุดเกราะสีม่วงเข้ม “สายไปแล้วที่ ‘ศาสนจักร’ หรือ ‘กองอัศวินไวโอเล็ต’ จะมาช่วยชีวิตเจ้าได้”

……………………………………….