ตอนที่1336 หุบเขาถงเทียนจำลอง!

 

“เป็นไปไม่ได้! ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าจะไปเข้าคู่สามคนนั้นได้อย่างไร? ข้าไม่เชื่อ!”

สายตาที่จับจ้องของเฟิงปิงแปรเปลี่ยนดูเอาจริงเอาจัง เห็นได้ชัดแจ้ง เขาไม่เชื่อคำพูดของเย่หยวน

ความเป็นไปได้เดียวที่มีแนวโน้มมากที่สุดคือ เย่หยวนอาศัยวิชาลับควบคุมวิญญาณชั่วและตีฝ่าออกจากวงล้อมของผู้อาวุโสทั้งสาม จึงหนีกลับมาเมืองกุยฉางได้อย่างที่เห็น

เป็นที่ชัดเจน คำอธิบายนี้สมเหตุสมผลกว่ามากโข

 

แต่เย่หยวนพลันยักไหล่และกล่าวอย่างแยแสไม่ว่า

“ความจริงก็คือความจริง หากการสันนิษฐานของข้าถูกต้อง ตะเกียงชีวิตของพวกมันทั้งสามเองก็คงดับมอดลงไปแล้ว หวังอวีเซียงควรจะทราบดีที่สุด รู้สึกว่ามันเองก็ลอบไปตรวจสอบให้แน่ใจที่สุสานสายลมหยินแล้วเช่นกัน”

หวังอวีเซียงเร่งตรงปรี่ไปยังสุสายสายลมหยินพร้อมพกพาเศษเสี้ยวความหวัง และหลังจากกลับมาเขาถึงขั้นไม่พูดไม่พาพลางปลีกวิเวกด้วยความสิ้นหวัง

การจากไปของเหล่าพี่น้องตระกูลหวัง นับเป็นเรื่องเลวร้ายยิ่ง และที่เลวร้ายที่สุดคือเขาไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย

 

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หยางรุยพลันอดลอมองเย่หยวนมิได้ เบื้องลึกในแววตานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความประหลาดใจและสับสน

สุดท้ายนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เย่หยวนเป็นเพียงเซียนมือใหม่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น แต่ไฉนถึงสามารถจบชีวิตของสามผู้อาวุโสแห่งตระกลหวังได้?

ทั้งสามคนนั้นล้วนแต่เป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด ภายใต้อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าลงมา พวกเขานับเป็นการดำรงอยู่ที่ไร้เทียมทาน ยากนักที่จะหาผู้ใดทัดเทียม

เว้นเสียแต่ว่า เย่หยวนจะครอบครองขุมพลังระดับอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอยู่ มิฉะนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จำกัดทั้งสามออกไปได้พร้อมกัน

ยิ่งไปกว่านั้นพวกนั้นทั้งสามยังนำยอดฝีมือของตระกูลหวังมาอีกฝูงหนึ่ง

 

เมื่อเขาพยายามสอบถามจากหลัวเจีย คำตอบของอีกฝ่ายก็ค่อนข้างคลุมเครือ หาได้เจาะลึกลงละเอียดอันใด ซึ่งสิ่งนี้ยิ่งเพิ่มความสับสบให้หยางรุยเข้าไปใหญ่

ในสายตาของหยางรุย นับวันอาคันตุกะนักหลอมโอสถคนนี้ก็ยิ่งลึกลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามั่นใจได้ก็คือ ด้วยนิสัยของเย่หยวน การกระทำของเขาแบ่งแยกได้อย่างชัดเจนระหว่างคนที่รักและคนที่เกลียด

แม้กระทั่งภายใต้สถานการณ์ที่เจียหลัวบาดเจ็บสาหัสและกำลังจะตาย เย่หยวนยังเลือกที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อหนีตายไปด้วยกัน

ทุกคนสามารถบอกได้เป็นเสียงเดียว ภายใต้สถานการณ์วิกฤตคือการพิสูจน์เนื้อแท้ของผู้คน ซึ่งการกระทำเหล่านี้ของเย่หยวนล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของหยางรุยในที่สุด

ไม่ว่าเย่หยวนจะลึกลับหรือทรงพลังสักเพียงใด สุดท้ายนี้ก็มิใช่เรื่องเลวร้ายอันใดเลยสำหรับหอมหาสมบัติ

 

“เฮ้ออ… ผู้อาวุโสเฟิง ข้ากับท่านก็ทำงานช่วยเหลือกันมาหลายปี แต่ไม่คิดเลยว่า…จะมีวันนี้จริงๆ!”

หยางรุยถอนหายใจไม่หยุดหย่อนกล่าวขึ้น

 

 

เฟิงปิงเค้นเสียงเย็นกล่าวตอบว่า

“ถูกต้อง ข้ารับใช้หอมหาสมบัติมาแทบทั้งชีวิต แต่ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกลับได้ผลลัพธ์แบบนี้! เพียงเห็นเด็กใหม่ดีกว่าก็ถีบหัวส่งคนเก่าอย่างไม่แยแส! เหอะ เหอะ”

 

“ไฉนเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้? แม้ในวันนี้ที่เย่หยวนกลายมาเป็นคนสำคัญของหอมหาสมบัติ แต่ข้าก็ยังให้เจ้าดำรงอยู่ในตำแหน่งสำคัญไม่ต่าง ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรวิญญาณหรือเงินทอง ข้าก็ยังสนับสนุนเจ้าเหมือนเดิม นี่รึที่เรียกว่าถีบหัวส่ง? ประมุขหอมหาสมบัติคนนี้หาใช่คนเช่นนี้ไม่!”

หยางรุยกล่าว

 

“หึ! เลิกพล่ามกันได้แล้ว! อยากจะฆ่าหรือปล่อยไปแล้วแต่ตามใจชอบ!”

เฟิงปิงตะโกนกู้ร้องเสียงเย็นชา

 

เมื่อหยางรุยเห็นว่า เฟิงปิงไม่ยอมฟังเหตุผลของตนอีก เช่นนั้นพลันถอนหายใจไม่หยุไม่หย่อน

เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะลงเอยด้วยบทสรุปเช่นนี้จริงๆ

 

หยางรุยถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า

“หลัวเจีย!”

 

หลัวเจียรับส่ง ร่างไสวกลายสภาพเป็นประกายแสงสายหนึ่งวูบวาบประดุจภูตผี

 

“อ๊ากกก! หยางรุย เจ้า…เจ้าจะต้องไม่ตายดี!”

เฟิงปิงแผดเสียงโห่ร้องลั่นสุดแสนอเนจอนาถ

เฟิงปิงยังไม่ตายในท้ายที่สุด แต่กลับถูกทำลายทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์แทนจนไม่สามารถระดมพลังปราณเทวะใดๆได้อีกต่อไป ยามนี้เขากลายมาเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์

 

หลัวเจียเข้าคุมตัวเฟิงปิงกลับไป ระหว่างนั้นหยางรุยหันมองไปยังเย่หยวนด้วยสีหน้าแววตาแสนรู้สึกผิดและกล่าวว่า

“สหายน้อยเย่หยวน เรื่องในคราวนี้ กลับเป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน! ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าภายในหอมหาสมบัติกลับมีคนทรยศเสียเอง หยางคนนี้ต้องขอโทษสหายน้อยเย่หยวนจริงๆ”

ในตอนนี้หยางรุยมิได้มองเย่หยวนเป็นคนพิการหรือไร้ความสามารถอีกต่อไป ต่อจากนี้กลับเป็นหอมหาสมบัติเสียเองที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากเย่หยวน

สามารถบดขยี้สามผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหวังได้ในคราเดียว ไม่ว่าเย่หยวนจะมีไผ่เด็ดแบบใดแฝงเร้นอยู่ แต่เขาย่อมมีปัญญาป้องกันตัวเองอยู่แล้ว

และไพ่ตายที่ว่าอาจยังสามารถสร้างภัยคุกคามต่อเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้เลยด้วยซ้ำ!

 

เย่หยวนผสานมือก่อนกล่าวกับหยางรุยว่า

“คำกล่าวของท่านประมุขหอ แลดูเย่คนนี้เป็นคนนอกเกินไป! เรื่องนี้เป็นความผิดของเฟิงปิงทั้งหมด แล้วมันจะข้องเกี่ยวกับหอมหาสมบัติได้อย่างไร? ในทางตรงข้าม หากมิใช่เพราะหอมหาสมบัติที่ยื่นมือช่วยเหลือในวันนั้น ก็คงไม่มีเย่ในวันนี้เช่นกัน”

 

หยางรุยโบกมือปัดพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มตอบว่า

“สหายน้อยใจดีเกินไปแล้ว! เฟิงปิงคงตำแหน่งหัวหน้านักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติมาเนินนาน มีสถานะและอำนาจสูงส่ง จึงเป็นสาเหตุให้ข้าประมาทและมองข้ามไป แม้วันนี้ยังไม่มีเรื่องของเจ้าเข้ามา แต่ในหอมหาสมบัติที่มีอันตรายซุกซ่อนอยู่เช่นนี้ วันไหนจะปะทุขึ้นก็ยังมิทราบ!”

 

เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า

“เช่นนั้น เย่คนนี้ต้องขอบพระคุณท่านประมุขหออย่างยิ่ง! บุญคุณที่หอมหาสมบัติมอบให้เย่คนนี้ช่างยิ่งใหญ่ดุจภูเขา! เย่คนนี้คงตอบแทนในสิ่งที่ถนัดช่ำชองที่สุด หลังจากกลับไป ข้าจะหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะเพื่อชูจุดขายของหอมหาสมบัติขึ้นอีกครั้ง กลยุทธ์นี้น่าจะดึงดูดเหล่านักสู้ในเมืองกุยฉางได้ไม่น้อย”

 

หยางรุยดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ฟังดังนั้น ก่อนกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะว่า

“เช่นนั้นต้องรบกวนเจ้าแล้วสหายน้อย!”

ยามสนทนากับคนฉลาดทุกอย่างย่อมไปโดยง่าย เฟิงปิงในตอนนี้กลายเป็นคนพิการ หยางรุยจำต้องรายงานเรื่องนี้ไปยังเบื้องบนและขอให้ทางนั้นส่งนักหลอมโอสถคนใหม่มาอีกครั้ง

ในช่วงเวลานี้เอง เขาวานให้เย่หยวนเป็นผู้ดูแลสถานการณ์โดยรวม

อันที่จริงแล้ว แม้ว่าเบื้องบนจะส่งจอมเทพโอสถสองดาวมาช่วยเหลือ แต่หยางรุยก็มั่นใจว่า อีกฝ่ายคงไม่มีประสิทธิภาพเท่าเย่หยวนแน่นอน

แค่จอมเทพโอสถสองดาวจะไปหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะได้อย่างไร?

 

ท้ายที่สุดนี้ นักสู้โดยส่วนใหญ่ในเมืองกุยฉางยังเป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า ส่วนประชาชนทั่วไปเป็นเพียงนักสู้อาณาจักรเต๋าลึกลับ ดังนั้นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงจึงไม่มีประโยชน์มากนัก

 

 

………………………………

 

 

ในช่วงเวลาต่อมา เมืองกุยฉางกลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง

ตระกูลหวังประสบความสูญเสียอย่างหนัก หลังจากนี้ต่อไปพวกจำต้องกลับสู่ยุคแห่งความล้มสลาย

สำหรับหอมหาสมบัติ ณ ปัจจุบันกล่าวได้ว่า พวกเขากำลังทะยานสู่ยุคแห่งความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดอย่างรวดเร็ว!

โอสถขั้นเทวะที่เปิดตัวขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของหอมหาสมบัติแพร่หลายกระช่อนทั่วทั้งเมืองกุยฉาง

แน่นอนว่าโอสถขั้นเทวะหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถจับจ่ายเอื้อมถึงได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นต่ำสุดก็ตาม

 

หอมหาสมบัติขึ้นกลายมาเป็นกลุ่มอิทธิพลที่ทรงอำนาจที่สุดในเมืองกุยฉาง!

นี่คือยุคทองของหอมหาสมบัติอย่างแท้จริง จนแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดของสามตระกูลใหญ่ไปมากกว่าขึ้น

นาทีนี้ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าหอมหาสมบัติอีกแล้ว

 

ในขณะนี้เอง เย่หยวนก็กำลังเข้าสู่การเก็บตัวฝึกปรือ หลังจากที่หลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะได้จำนวนที่กำหนด

อาณาจักรพลังของเขาหยุดนิ่งมาเป็นเวลานานแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เพียงไม่มีเวลาบ่มเพาะพลัง แต่เนื่องจากทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงไม่สามารถบ่มเพาะฝึกปรือใดๆได้เลย แต่แล้วปัญหาทุกอย่างทั้งภายนอกและภายในก็ได้รับการแก้ไขหมดจด นับเป็นยามดี ในที่สุดเย่หยวนก็เริ่มบ่มเพาะพลังต่อได้เสียที

“เจ้าหนู เจ้าต้องคิดไตร่ตรองให้ดี! การจะสร้างเต๋าของตัวเองขึ้นมา นั้นหมายถึงจะต้องสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังของตัวเองขึ้นมาโดยเฉพาะ ถึงมีศิลาจารึกบัลลังก์สวรรค์คอยช่วยเหลือก็จริง แต่นั้นกลับเป็นกระบวนการที่เสียเวลายืดเยื้อเกินไป! บางทีเจ้าอาจจะได้รับวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ท้าทายสวรรค์ยิ่ง แต่…สิ่งที่ต้องแรงมาคือเวลาที่เสียไปอย่างมหาศาล!”

ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์สวรรค์ หวูเฉินยังคงพยายากล่าวโน้มน้าวใจเย่หยวนเป็นครั้งสุดท้าย

ทั้งๆที่มีวรยุทธบ่มเพาะพลังอันท้าทายสวรรค์ของจอมเทพนิรันดร์อยู่ในมือแท้ๆ เย่หยวนสามารถหยิบใช้วรยุทธบ่มเพาะพลังอันนี้ เพื่อฝึกปรือจนขึ้นไปยืนอยู่บนจุดๆเดียวกับจอมเทพนิรันดร์ได้ในไม่ช้าก็เร็ว

นี่เป็นทางลัดที่ดีที่สุด แต่เย่หยวนกลับเลือกที่จะปฏิเสธและยืนกรานที่จะสร้างเต๋าของตัวเองขึ้นมา

 

คู่สายตาเข้าจับจ้องอย่างแน่วแน่ เย่หยวนกล่าวตอบว่า

“ท่านอาวุโส โปรดอย่าโน้นนาวตัวข้าอีกต่อไป! ข้าเคยกล่าวไปแล้วตั้งแต่ที่อยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ ข้าจะก้าวเดินบนเส้นทางที่ข้าเบิกขึ้นเอง ไม่ว่ามัน…จะยากลำบากเพียงใดก็ตาม!”

 

หวูเฉินอยู่กับเย่หยวนมาก็ตั้งนาน มีหรือที่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอของเด็กหนุ่มคนนี้? ได้ฟังแบบนั้นจึงเงียบลงทันทีเพราะรู้ว่ากล่าวต่อไปก็ไร้ประโยชน์

 

เขาทำได้แค่ถอนห่ายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า

“เจ้าสหายหัวรั้นคนนี้ ดูท่าไม่บรรลัยก็บรรลุ! ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่า เจ้าจะสามารถสร้างวรยุทธบ่มเพาะท้าทายสวรรค์เพียงใด!”

 

ตึงงง….

 

ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ จู่ๆก็ปรากฏหุบเขาลูกใหญ่ขึ้นจากกลีบเมฆ!

 

ม่านตาดำเย่หยวนพลันขยาดขยายกว้าง กลิ่นอายความลี้ลับเกินหยั่งรู้พรั่งพรูถาโถมเข้าใส่โดยตรง

ปรากฏว่า นี่คือร่างที่แท้จริงของศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ!

 

“อ๊อก…”

เย่หยวนไม่สามารถต้านทานต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ปลดปล่อยออกจากหุบเขาลูกมหึมานี้ได้แม้แต่น้อย จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกโจมตีจนบาดจเจ็บสาหัสทันที

 

“เจ้าเด็กคนนี้ ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงหารู้จักไม่จริงๆ! เพียงกลิ่นอายแห่งยอดเต๋าที่กอปรอยู่ในหุบเขาถงเทียนจำลอง มันก็มากเกินพอที่จะสังหารเซียนอาณาจักรจักรเทพสวรรค์ได้แล้ว! แต่เจ้ายังจะต้องเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าอีก!”

หวูเฉินบ่นเสียงเย็น