ตอนที่ 424 วิธีการผ่านบททดสอบให้สำเร็จลุล่วง

เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)

ตอนที่ 424 วิธีการผ่านบททดสอบให้สำเร็จลุล่วง!

ซูเจิ้นหางพูดถูกมากทีเดียว ถ้าตอนนี้เย่เฉินเริ่มผ่านด่านธุรกิจในตอนนี้ ด้วยสภาพในตอนนี้นั้นก็ถือว่าน่าจะลำบากไม่น้อยทีเดียว

ถ้าหากสามารถประสบความสำเร็จได้ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก จะต้องได้รับการยอมรับจากคุณปู่!

เย่เฉินกำหมัดแน่นแล้วลอบตัดสินใจ “ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะต้องผ่านด่านธุรกิจให้ได้!”

ซูเจิ้นหางเองก็ให้กำลังใจเย่เฉิน “หลานชาย ถ้าอยากจะทำธุรกิจให้สำเร็จโดยที่ทรัพย์สินของเธอโดนอายัดอยู่อาจจะเป็นไปได้ยาก แต่เธอเป็นเด็กฉลาด ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องหาวิธีทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้แน่ ทุ่มให้สุดตัวแล้วทำใจกล้าๆ ไปเลย!”

ทรัพย์สินและบัญชีธนาคารล้วนแต่โดนอายัด ส่วนบัญชีวีแชทและอัลลิเพย์ก็ใช้ไม่ได้ ทำให้ตอนนี้เย่เฉินจะเปิดบริษัทก็ยังไม่ได้

แต่ซูเจิ้นหางและเย่เฉินกลับมั่นใจว่าเย่เฉินจะประสบความสำเร็จ

ซูเจิ้นหางกล่าว “เย่เฉิน ก่อนที่เธอจะไป ฉันมีอะไรอยากบอก ทุกเรื่องล้วนแต่ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์และกำไร อารมณ์ความรู้สึกรังแต่จะทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ดนตรีที่ไพเราะที่สุด ภาพยนตร์ที่น่าสนใจที่สุด นักกีฬาที่มีภาวะผู้นำที่สุดในโลกใบนี้ล้วนแต่อยู่ที่เมืองนอก แต่ว่าหลักการที่ชี้นำสั่งสอนคนอื่นที่สุด และหลักคำสอนที่ช่วยให้คนเติบโตขึ้นและปราดเปรื่องล้วนแต่เกิดขึ้นในประเทศเรา! ถ้าว่างๆ ลองไปอ่านหนังสือเก่าๆ ของบรรพชนของเราสิ เธออาจจะได้ไอเดียอะไรมาก็ได้นะ!”

ซูเจิ้นหางยิ้มแย้ม วินาทีนี้เขาดูใจดีกับอีกฝ่ายเหมือนตนเองเป็นปู่แท้ๆ ของเย่เฉินเลยทีเดียว

“ครับ ขอบคุณนะ ผมขอตัวก่อนแล้วไว้ผมจะมาหาคุณปู่ใหม่ครับ”

“ได้สิ แล้วฉันจะรอข่าวดีจากเธอนะ!”

ซูเจิ้นหางระบายยิ้มน้อยๆ ขณะพึมพำกับตัวเองเมื่อมองดูเงาที่เดินจากไปของเย่เฉิน

“ทำใจกล้าๆ แล้วลงมือทำเลยเถอะ เย่เฉินไม่ว่าเธอจะทำอะไร ไม่ว่าเธอจะหลอกลวงที่บ้านหรือใช้ความสามารถที่มีเพื่อทำธุรกิจให้สำเร็จ ฉันก็จะคอยช่วยเธอลับๆ เอง!”

ซูเจิ้นหางดีใจอย่างมาก เขารู้ว่าตนเองใกล้จะได้รู้ความลับของตระกูลเย่แล้ว!

ระหว่าทางกลับบ้านเย่เฉินครุ่นคิดถึงบทสนทนาเมื่อครู่ของเขาและซูเจิ้นหาง

คำพูดของชายชราเมื่อครู่มาจากคัมภีร์อี้จิง ความหมายก็คือความโชคดีหรือร้ายไม่แน่นอน

และเป็นไปได้อย่างมากที่จะเปลี่ยนไปเพราะอารมณ์และสภาวะทางจิตใจ

“ปู่ของซูมู่ชิงคงคิดว่าฉันยังควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีล่ะมั้ง”

เย่เฉินเองก็อ่านคัมภีร์อี้จิงตามคำแนะนำของชายชราและเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายบอกเขาอย่างรวดเร็ว

แต่ในฐานะที่เป็นลูกผู้ชาย ตอนรู้ว่าภรรยาตนเองหลอกลวงตนเองและลูกก็อาจจะไม่ใช่ของตนเอง

เย่เฉินจะควบคุมอารมณ์ได้ยังไง?

หรือจะให้เขาเป็นเหมือนพวกในอินเตอร์เน็ตที่ขอแค่ให้ได้แต่งงานกับสาวสวยต่อให้เจ้าหล่อนมีลูกก็ยอมเหรอ?

เฮ้อ ยากจริงๆ เลย

เย่เฉินเพิ่งจะอายุ 20 กว่าๆ ไม่เหมือนคนชราที่ทนรับแรงกระแทกอะไรก็ไม่หวั่นไหวเสียหน่อย

เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ตรงไปที่ห้องนอน ก็พบว่าซูมู่ชิงกำลังจะเข้านอนแล้ว

เย่เฉินก็ถอดเสื้อเตรียมจะขึ้นเตียง ทว่าซูมู่ชิงกลับปฏิเสธเขา

“เย่เฉิน ฉันอยากนอนคนเดียว”

ซูมู่ชิงกล่าวเสียงเย็นชา

คิดไม่ถึงว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากของซูมู่ชิง

หลายวันมานี้เขากลับต้องเป็นคนอ้อนวอนขอหญิงสาวเข้านอนด้วย

ช่วยไม่ได้เย่เฉินทำได้เพียงเดินออกมาจากห้องอย่างว่าง่าย

และในตอนนี้ซวงเอ๋อร์ที่เปลี่ยนชุดนอนแล้ว สวมรองเท้าแตะเดินผ่านมาพอดี

เมื่อเห็นเย่เฉินเดินออกมาจากห้องซูมู่ชิงด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ซวงเอ๋อร์เลยอดไม่ได้ที่จะถามผู้เป็นเจ้านายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“คุณชายคุณโดนคุณหนูไล่ออกมาจากห้องใช่ไหมคะ?”

เย่เฉินจะยอมรับเรื่องขายหน้าแบบนี้ได้ยังไง!

ก่อนหน้านี้เขาแต่งงานกับหวังเจียเหยามาสามปีแต่ก็ไม่เคยนอนห้องเดียวกัน

หลังจากนั้นเขาก็เคยสาบานเอาไว้ว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก!

แต่วันนี้ซูมู่ชิงกลับทำให้เย่เฉินได้ลิ้มลองมันอีกครั้ง

เย่เฉินกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ไล่ผมออกมาที่ไหน ผมย้ายออกมาเองต่างหาก ผมอยากนอนกับซือซือ”

“อย่าเลยค่ะ” ร่างเล็กๆ ของซวงเอ๋อร์ปราดเข้ามาขวางด้านหน้าเย่เฉิน “ซือซือนอนห้องเดียวกับฉันคุณชายอย่านอนเลยค่ะ”

เย่เฉินสงสัย “ทำไมล่ะ เธอไม่ได้นอนเตียงเดียวกันเสียหน่อย”

ซวงเอ๋อร์มีท่าทีเขินอาย “คุณชายหล่อเหลาขนาดนี้ นอนห้องเดียวกับฉัน ฉันจะห้ามใจตัวเองไม่ไหวน่ะสิคะ!”

เย่เฉิน “…”

“เธอก็พูดถูก แต่ฉันพอจะฟังออกจะว่าเธอรังเกียจฉัน! ช่างเถอะฉันนอนห้องแขกก็ได้”

ซวงเอ๋อร์กล่าวพลางระบายยิ้ม “คิกคิก คุณชายฝันดีนะคะแล้วฉันคงต้องขอเตือนคุณชายหน่อยว่าวันมะรืนเป็นวันเกิดคุณหนูู เป็นโอกาสเหมาะที่คุณชายจะง้อคุณหนู อย่าลืมเชียวค่ะ”

“ผมจำได้แล้ว” เย่เฉินกล่าว

เขาจดวันเกิดของซูมู่ชิงเอาไว้ในบันทึกเตือนความจำในมือถือแล้ว

เมื่อถึงห้องนอนแล้วเย่เฉินก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ เขายังมีเรื่องต้องทำ!

ถูกต้องเขาต้องรีบผ่านบททดสอบด้านธุรกิจให้ได้เร็วที่สุด เขาต้องรู้ให้ได้ว่าความลับของตระกูลคืออะไรกันแน่!

เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมพี่รองของเขาถึงต้องทำร้ายเขา เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมพ่อของฉินหงเหยียน ทั้งๆ ที่ยังไม่ตายแต่กลับไม่ยอมติดต่อสองศรีพี่น้องตลอดเวลา 11 ปี!

“ทรัพย์สินกับบัญชีธนาคารโดนอายัด ส่วนอะไรที่พอจะเป็นเงินเป็นทองได้ฉันก็ไม่มี แต่ถ้าจะทำธุรกิจจะต้องมีเงิน ถ้าไม่มีเงินฉันก็เปิดบริษัทไม่ได้ ไม่สามารถซื้อหุ้น ลงทุนอะไรก็ไม่ได้ ต้องทำยังไงถึงจะกลายเป็นคนที่พอจะมีความน่าเชื่อถือในวงการนี้นะ?”

เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วก็พบว่านี่เป็นไปไม่ได้เลย!

ตอนนี้เย่เฉินมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ เขาโดนติดแบล็คลิสต์กับทางธนาคาร ทำให้บริษัทแทบทุกแห่งไม่อยากจะร่วมมือกับเขา

ที่เขามีตอนนี้ก็แค่ลูกน้องคนที่ไม่มีหัวทางธุรกิจเป็นขโยง

เขาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงจนหัวแทบระเบิด

“นี่เป็นสถานการณ์ลำบาก ไม่ว่าฉันจะมีหัวทางด้านธุรกิจขนาดไหน มีความสามารถมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางจะประสบความสำเร็จในวงการนี้ เพราะฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะลงทุนด้วยซ้ำไป โอกาสจะเริ่มยังไม่มีด้วยซ้ำ ทันทีที่ฉันเริ่มทำโปรเจกต์อะไรสักอย่าง เพิ่งเริ่มเปิดบริษัทก็คงจะโดนสั่งปิดอยู่ดี ต้องทำยังไงถึงจะผ่านความลำบากเรื่องนี้ไปได้นะ?”

ทันใดนั้นเองเย่เฉินก็นึกถึงคำพูดๆ หนึ่ง

“มีหนูสองตัวตกลงไปในถังครีม หนูตัวแรกยอมแพ้แล้วปล่อยตัวเองจมครีมตาย แต่หนูตัวที่สองพยายามปั่นครีมจนเป็นเนยแล้วรอดชีวิตออกมา”

นี่คือประโยคที่มีชื่อเสียงจากภาพยนต์เรื่องจับให้ได้ถ้านายแน่จริง

หนังเรื่องนี้แสดงโดยลีโอนาร์โด เย่เฉินเลยจำได้เป็นอย่างดี

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระเอกที่คอยต้มตุ๋นคนไปทั่ว

ปลอมตัวเป็นนักบินตบตาสายการบิน

ปลอมเป็นหมอหลอกแต่งงานกับทนาย

ทันใดนั้นเองเย่เฉินก็ได้ไอเดีย “ในเมื่อฉันเปิดบริษัท จ้างพนักงานไม่ได้ ไม่สามารถเริ่มได้ตั้งแต่พื้นฐาน แต่ฉันข้ามไปทำขั้นสุดท้ายได้เลยนี่นา ฉันแค่แสดงเหมือนกับว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จก็น่าจะได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ขอแค่ฉันหลอกลวงทุกคนได้ จนคนในแวดวงธุรกิจยอมรับฉัน คุณปู่เองก็น่าจะยอมรับฉัน! ฉันน่ะหลอกคุณปู่ด้วยยังได้!!”

สถานภาพเป็นเรื่องโกหก บริษัทเองก็เป็นเรื่องโกหก ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก

เขาแค่ต้องอย่าให้คนดูออก!