ตอนที่ 259

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 259 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (5)

ทั้งเมืองได้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมน หยางหยางที่ถูกล้อมด้วยแสงสลัวๆได้ค่อยๆมองสังเกตดูประตูหน้าของสำนักงานคาเพเดี่ยม

มีคนที่ดูเหมือนกับสมาชิกของซันเหอกำลังยืนเฝ้าระวังอยู่ที่หน้าประตู

‘สิบสองคนที่หน้าประตู แปดคนบนหลังคา…’

เมื่อนับจำนวนคนที่คอยคุ้มกันพื้นที่นี้แล้ว หยางหยางก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา

‘แค่นี้เองหรอ?’

เขาได้พาสมาชิกระดับสูงของทั้งสามองค์กรมาเพื่อให้มั่นใจ แต่ว่านี่มันเริ่มทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออก หยางหยางได้ถอนสายตากลับมา ข้างหลังเขามีคนนับสิบกำลังรอคำสั่งจากเขาอยู่

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่คนที่เขามาพาด้วย ยังมีคนที่หยางหยางได้สั่งให้ออกไปล้อมสำนักงานคาเพเดี่ยมจากทุกทางอีกด้วย

หยางหยางได้ถามขึ้นเบาๆ

“คุณโนอาร์ เฟรย่าอยู่ไหน?”

“กำลังเตรียมพร้อมครับท่าน”

“เรดฮวารูยังไม่มาอีกหรอ?”

“ใช่ครับ ดูเหมือนคนๆนั้นจะไม่เอาด้วย”

“ฮึ่ม”

หยางหยางเดาะลิ้นออกมา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

‘ก็ไม่ได้สำคัญหรอก ยังไงฉันก็คิดว่าฉันพาคนมามากไปอยู่ดี’

แก๊งโอชัวร์ได้กำลังดึงความสนใจอยู่ แต่ว่านั่นไม่ได้หมายความว่าหยางหยางจะไร้กังวลไปซะหมด เรดฮวารูที่เป็นกำลังสนับสนุนของปาร์คดงชุนใกล้เคียงกับองค์กรข่าวกรองมากกว่าองค์กรทางการทหาร ดังนั้นสำหรับการต่อสู้แล้วเขาคนนั้นก็ไม่ได้สำคัญมากนัก

หยางหยางได้รวบรวมความคิด และจากนั้นก็มองไปที่สำนักงานอีกครั้งหนึ่ง เขาได้ยินว่านักรบระดับ 5 ของคาเพเดี่ยม จองโชฮงถูกทิ้งเอาไว้ แต่ว่าพวกเขาก็มีโนอาร์ เฟรย่าอยู่ด้วย

ตราบใดที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน และซันเหอถอนกำลังออกไป หยางหยางก็มั่นใจในชัยชนะของเขา

‘ขอให้พวกเขานอนกันให้หมดแล้วกัน’

ขณะเฝ้ารออย่างตื่นเต้น ร่างกายของเขาก็ร้อนระอุขึ้นมา อีกไม่นานบุตรแห่งลูซูเรียก็จะมาอยู่ในกำมือเขาแล้ว เมื่อคิดว่าเขาจะได้แตะต้องตำนานอันยั่วยวนคนนั้นช่วงล่างของเขาก็ตั้งชันขึ้นมา

‘เร็วเข้า เร็วเข้า…’

ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ? ในที่สุดแล้วเวลาที่เขารอคอยก็ได้มาถึง…

ชายตรงหน้าประตูได้เริ่มพึมพำ ไม่นานนักประตูสำนักงานก็ถูกเปิดกว้าง และคนที่ดูเหมือนสมาชิกของซันเหอก็ได้รีบวิ่งออกไป

คนที่คอยเฝ้าระวังจากบนหลังคาก็ลงมาเชนกัน

‘อย่างที่คิดเลย! มากกว่านี้อีก’

แม้ว่าเขาจะได้รับคำอธิบายมาก่อนแล้ว เขาก็ยังมีเศษเสี้ยวความสงสัยอยู่ แต่ว่าเมื่อได้เห็นคนนับสิบวิ่งออกไป ความสงสัยก็ได้ค่อยๆหายไป

ไม่นานนักสมาชิกทุกๆคนของซันเหอก็ได้วิ่งไปที่บาร์

‘เยี่ยม’

ถ้าแบบนี้หยางหยางก็แค่ต้องรออีกหน่อย ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้ข่าวว่าสมาชิกที่เพิ่งออกไปได้ไปถึงบาร์แล้ว

เพียงเท่านี้หยางหยางก็ได้ออกคำสั่งบุก

ซันเหอคงจะต้องรีบมากจนเปิดประตูทิ้งเอาไว้ แม้กระทั่งหน้าทางเข้าสำนักงานก็ยังถูกแง้มเอาไว้เล็กน้อย

หลังจากตรวจสอบว่าทุกๆคนได้มาถึงแล้ว หยางหยางก็เปิดประตูกว้างโดยไม่ลังเล

ข้างในมันมืดมาก แต่ว่าเขาก็เคยมีประสบการณ์กับอะไรแบบนี้มาแล้วหลายสิบครั้ง หยางหยางกับคนอื่นๆได้กระจายตัวเริ่มค้นหาอย่างรวดเร็ว

“ไม่มีคนอยู่ชั้นหนึ่ง”

นักธนูคนหนึ่งได้กลับมารายงาน ในขณะที่โนอาร์ เฟรย่าเม้มปากออกมา เธอดูจะไม่สบายใจกับสถานการณ์นี้

“เงียบเกินไป…”

ทั้งสำนักงานเงียบกริบอย่างที่เธอบอกจริงๆ พวกเขาถึงขนาดได้ยินแค่เสียงหายใจกับเสียงกลืนน้ำลายของพวกเดียวกันเองเท่านั้น

‘พวกซันเหอจากไปโดยไม่พูดอะไรเลยหรอ?’

ก็นะ ในเมื่อซันเหอได้ทรยศคาเพเดี่ยมมันก็ถูกแล้วล่ะ ขณะที่หยางหยางได้คิดว่ามันเป็นไปตามแผน เขาก็มองเห็นจุดที่มีแสงจางๆออกมา

มันมาจากชั้นที่หก

‘นั่นไง แต่สำนักงานมันจะใหญ่อะไรแบบนี้’

หยางหยางได้บ่นกับตัวเองก่อนจะออกคำสั่งออกมา กองกำลังผู้บุกรุกส่วนหนึ่งได้คอยคุ้มกันที่หน้าทางเข้า ในขณะที่ส่วนที่เหลือได้กระจายตัวไปค้นชั้นต่างๆ

“คนส่วนใหญ่ไม่ใช่สายต่อสู้หรือไม่ก็มีระดับต่ำ แต่ว่าระวังจองโชฮงให้ดี หากว่าเจอเธออย่าเข้าสู้ ให้ติดต่อขอความช่วยเหลือในทันที”

จากนั้นหยางหยางก็หันกลับหลัง

“สำหรับคุณโนอาร์ เฟรย่า…”

“ฉันรู้ นายอยากจะให้ฉันรออยู่ที่หน้าทางเข้า แล้วจัดการกับจองโชฮงใช่ไหม?”

“ครับ ขอบคุณมาก”

หยางหยางได้โค้งคำนับ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไป เขาได้ส่งสัญญาณมือออกมาให้คนของเขาลดเสียงเท้า และเดินขึ้นบันไดไป

ทีมของหยางได้รับผิดชอบจัดการชั้นที่หกที่ซึ่งเป็นที่มาของแสงสลัวๆที่ลอดมาจากประตู

‘นี่เป็นส่วนที่ตื่นเต้นที่สุดเสมอเลย’

ใครอยู่ข้างในกันนะ? พวกเขาจะทำสีหน้าแบบไหนกัน?

หยางหยางได้เอื้อมมือไปที่ลูกบิดประตูด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเด็กที่กำลังเปิดของขวัญวันเกิด

แกร๊ก- เสียงประตูเปิดได้ดังขึ้น และภาพภายในห้องก็เผยออกมา

หยางหยางได้หยุดชะงักไปในทันที ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่ว่ามีอยู่สี่คนนั่งรวมกันอยู่ในห้อง

‘พวกเขามีประชุมกันตอนดึกงั้นหรอ? ไม่ใช่ว่าซันเหอออกไปโดยไม่พูดอะไรกับเขาหรอ?”

สายตาหยางหยางได้มองสำรวจไปทั่วห้องจนเกิดความสงสัยเข้ามาในหัว

ชายแก่กับเด็กหนุ่มกำลังมองมาที่เขาอย่างสงบ หญิงสาววัยรุ่นอีกคนก็มองเขาไม่ละสายตา แล้วก็…

‘โอ้?’

เมื่อหยางหยางบอกเห็นหญิงสาวที่ลุกขึ้นนั่งจากบนเตียง เขาก็อ้าปากค้างออกมา

‘น่าเหลือเชื่อ’

เส้นผมดำยาว และม่านตาที่สงบนิ่งเหมือนทะเลสาบ แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินข่าวลือมาแล้ว แต่ว่าหน้าตาของซอยูฮุยก็ยังเกินกว่าจินตนาการของเขาไปมาก

“คุณเป็นใคร?”

เธอได้ถามออกมาเบาๆด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า หยางหยางที่แทบจะรักษาท่าทีไม่ได้ได้ฝืนยิ้มออกมา

เทพธิดาแห่งโชคคงจะเข้าข้างเขาเพราะจองโชฮงไม่ได้อยู่ในห้องนี้

“ฉันมาเด็ดดอกไม้ไงล่ะ”

หยางหยางได้แนะนำตัวอย่าง ‘สุภาพบุรุษ’ จนทำให้หญิงสาววัยรุ่งที่พิงกำแพงอยู่หัวเราะออกมา เธอก้มหัวลงและตังวั่ย แม้ว่าหยางหยางจะไม่เคยเห็นหน้าของเธอมาก่อน แต่เขาก็เดาว่าเธอคงจะเป็นจิ้งจอกสาว

หยางหยางได้หันสายตากลับไปมองที่หญิงสาวบนเตียง

‘งั้นยัยนี่คงเป็นบุตรแห่งลูซูเรีย’

แม้ว่าเธอจะอยู่ในชุดนอนหลวมๆ แต่หน้าอกอันยั่วยวนของเธอก็อวบอิ่มยั่วยวนเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นแบบนี้แล้วหยางหยางก็ฝืนกลืนน้ำลายลงไป แต่แล้วเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาขยะแขยงของเขา สีหน้าซอยูฮุยก็กระด้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

หยางหยางได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอันหยาบช้า เขาไม่ได้สนเรื่องการเปลี่ยนสีหน้าของซอยูฮุยเลย ในใจของเขาสีหน้าของเธอจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่แล้ว…

‘เดี๋ยวก่อนนะ’

จากนั้นจู่ๆเขาก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมา แม้ว่าซอยูฮุยจะถามว่าเขาเป็นใคร แต่เธอก็ใจเย็นกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก

นอกเหนือจากหญิงสาววัยรุ่นที่มองเขาด้วยความกังวลแล้ว สมาชิกที่เหลือของคาเพเดี่ยมต่างก็จ้องมองเขานิ่งๆ พอมาคิดดูแล้วแม้กระทั่งซอยูฮุยก็ดูจะยิ้มแปลกๆ

มันไม่ได้ดูจะอบอุ่นอีกแล้ว แต่มันเย็นชามาก มันแทบจะเหมือนกับว่าเธอกำลังเยาะเย้ยเขาอย่างเย็นชา

จากนั้นเธอก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอกพร้อมจ้องหยางหยางอย่างสมเพช

“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ดูแล้วนะ”

เสียงหัวเราะได้ทำลายความเงียบออกมา คิมฮันนาห์ได้เงยหน้าขึ้นทั้งๆที่มือกำลังปิดปากอยู่ และสายตาของเธอก็มองไปที่จุดๆหนึ่ง

“จัดการเลยโฟลน”

หยางหยางได้รีบมองตามขึ้นไปทันที

“!”

จากนั้นเองลมหายใจของเขาก็ชะงักไปโดยไม่รู้ตัว ควันสีดำได้ล้อมรอบตัวเขาก็ที่จะเปลี่ยนเป็นรูปร่างมนุษย์

[ไอ้ชั่ว]

ร่างนั้นได้กอดอกมองลงมาที่เขาด้วยดวงตาที่มีสีขาวล้วน

หยางหยางรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมาเมื่อได้เห็นภาพอันแปลกประหลาดนี้ ขณะที่้เขากำลังยืนอยู่อย่างสับสน จู่ๆเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นอีก

เขาไม่ได้เข้ามาในห้องนี้เพียงลำพัง มันน่าจะมีพรรคพวกของเขาอยู่ข้างหลังอีกนับสิบคน หากว่าพวกเขาได้เห็นแบบเดียวกัน พวกเขาก็น่าจะพูดอะไรออกมาบ้างสิ แต่ว่านี่มันเงียบเกินไป

“…”

ทันใดนั้นบรรยากาศก็กลายเป็นเย็นชา

เขาอยากที่จะหันกลับไปมอง แต่ว่าสมองของเขากำลังส่งสัญญาณเตือนทุกประเภทออกมา ความรู้สึกอันตรายค่อยๆคืบคลานเข้ามาในตัวของเขาจนทำให้เขาสับสนเล็กน้อย

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าไม่ควร แต่หยางหยางก็ค่อยๆหันกลับไปมอง

จากนั้นเขาก็ได้เห็นภาพอันแปลกประหลาด หัวของพวกเขาก้มลง และแขนขาบิดงอ

เมื่อมองดูให้ดีแล้วขาของพวกเขาก็ยังลอยเหนือพื้นอยู่เล็กน้อย มันเหมือนกับว่าเขากำลังมองดูหุ่นเชิดอยู่

“อะไรกัน…”

หยางหยางได้พึมพำออกมาอย่างสับสน

“อะ อะไรกัน… ทำไมทุกๆคน…”

เขาได้พูดตะกุกตะกักออกมา

[พวกแกจะสิงร่างเจ้าพวกนี้ไปอีกนานแค่ไหน?]

หยางหยางได้ผงะไปก่อนที่จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนก

[ฉันไม่สนหรอกนะว่าจะฆ่าด้วยวิธีไหน แต่รีบออกมาได้แล้ว]

น้ำเสียงเย็นชาได้ดังขึ้นในหัวของเขา

[จากนั้นสำหรับพวกคนที่อยู่ระหว่างชั้นสองกับชั้นแปด…]

[ฉันจะให้เวลาพวกแกฆ่าพวกมันให้หมด ไปซะ!]

และด้วยแบบนี้หัวที่ก้มอยู่ของพรรคพวกของหยางหยางก็หักลง ในทันทีที่มันเกิดขึ้นหยางหยางก็ได้หันกลับมามองด้านหน้า ดวงตาของพรรคพวกของเขาได้เปล่งประกายด้วยแสงสีน้ำเงินน่าขนลุก

***

ในอีกด้านหนึ่ง…

“อ๊าาากกก…!”

หนึ่งในสมาชิกทีมที่กำลังค้นชั้นที่ห้าอยู่ได้ชะงักไป

“…เสียงร้อง?”

แม้ว่าเสียงจะหายไปกลางคัน แต่ว่าเขาก็ได้ยินไม่ผิดแน่ มันเป็นเสียงร้องอย่างชัดเจน สมาชิกทีมได้มองขึ้นไปบนเพดานก่อนจะหยุดการค้นหา และรีบออกจากห้องห

พวกเขาได้วิ่งผ่านความมืดภายในโถงทางเดิน หากว่าพวกเขาไม่ได้ฟังผิดไป มันก็ควรจะมีพรรคพวกของเขาสักคนหรือสองคนวิ่งอยู่ที่โถงทางเดินไม่ใช่หรอกหรอ?

“นี่ฉันได้ยินผิดไปงั้นหรอ?”

เขาได้มองไปรอบๆเพื่อหาคนให้ถาม จากนั้นเองเขาก็เพิ่งเห็นประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ และเดินเข้าไป

เมื่อเขาเข้าไปข้างใน เขาก็เห็นพรรคพวกของเขาตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ

“นายก็ได้ยินใช่ไหม?”

หัวของพรรคพวกเขาได้บิดออกมาด้านข้างเล็กน้อย

“เสียงร้องนั่นน่ะ ไม่ใช่ว่าเราควรไปชั้นบนกันหรอ?”

ในตอนนี้เองมันก็ได้บิดไปอีกฝั่งหนึ่ง

“เฮ้? ทำไมนายไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ?”

จากนั้นเองมันก็เริ่มบิดไปมาซ้ำๆเหมือนลูกตุ้ม สมาชิกทีมคนนี้ได้ขมวดคิ้วขึ้น

“นี่นายเป็นบ้าอะไรเนี้ย? นี่มันไม่ใช่เวลามาเล่นนะ…”

เสียงของเขาได้สะดุดไป เขาไม่ได้รู้ตัวมาจนถึงตอนนี้ก็เพราะความมืด แต่ว่าในตอนนี้เขาได้เห็นใบหน้า และแผ่นหลังของพรรคพวกเขากำลังหันไปในทางเดียวกันอยู่

มันไม่ควรจะเป็นไปได้เลยเว้นแต่ว่าคอของเขาจะบิดกลับหลังมา

แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือใบหน้าของเขาหันไปมาแม้ว่าคอจะสั่นอย่างรุนแรง และปากของเขาก็ได้ค่อยๆเปิดกว้างจนกระที่งฉีกไปถึงหูจนเกิดเป็นรอยยิ้มน่าขนลุก

คิคิคิค!

เสียงหัวเราะอันน่าขยะแขยงได้ดังออกมาก่อนที่จู่ๆเขาจะชักกระตุกไปเหมือนถูกไฟดูด จากนั้น…

โพล๊ะ! จู่ๆตัวเขาก็ระเบิดจนเลือดเนื้อกระจายไปทั่ว รวมถึงติดอยู่บนใบหน้าของสมาชิกทีมอีกคนด้วย

เมื่อเห็นภาพน่าขนลุกเช่นนี้ สมาชิกทีมก็ไม่อาจจะควบคุมสติได้อีกต่อไป

“เฮือก-“

แต่เพราะความตกใจ ทำให้แม้กระทั่งแค่ร้องออกมาเขายังทำไม่ได้ เสียงของเขาได้ติดอยู่ที่ลำคอ จากนั้นเขาก็ได้หันกลับวิ่งหนีไปตามสัญชาตญาณ

เขาได้วิ่งผ่านโถงทางเดินโดยไม่มีความคิดในหัวเลยแม้แต่นิด เขาได้ถูกสัญชาตญาณควบคุมให้หนีไปจากสถานที่อันน่ากลัวนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เขาได้รีบวิ่งลงบันไดเพื่อไปรวมตัวกับคนที่เหลือบนชั้นหนึ่ง แต่ว่าเขาก็ต้องหยุดไปเพราะมีร่างมืดๆขวางบันไดเอาไว้อยู่

จากสภาพตื่นตระหนกของเขาทำให้เขามองไม่ชัด แต่ว่าเขาก็บอกได้ว่าร่างๆนี้สูงมากพอจะแตะเพดานได้เลย นอกไปจากนี้ยังมีกลิ่นอายความชั่วร้ายเล็ดรอดออกมาจากร่างนี้จนทำให้เขาคิดว่ามันไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ

“แก… แกเป็นตัวอะไร….”

เขาได้ถูกขวางทั้งสองทาง ไม่อาจจะไปต่อหรือถอยได้ สมาชิกทีมคนนี้ได้เดินโซเซถอยไปก่อนที่จะสะดุดล้มลง

ซ่าาห์ ร่างมืดได้เข้ามาใกล้เขาในทันที และกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา ร่างกายเขาได้ค่อยๆถูกยกลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ

กร๊อบ! ตัวเขาได้รอยขึ้นพร้อมกับเสียงแตกดังลั่น เท่านั้นเองร่างกายของเขาก็อ่อนลงเหมือนกับผ้าเปียก

“ดูเหมือนชั้นห้าจะไม่เหลือแล้ว…”

ในตอนนั้นเองหญิงสาวก็ได้เดินออกมาจากประตูที่อยู่สุดโถงทางเดิน เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงสายตาแอบมอง เธอก็หยุดชะงักลงไป

ความกังวลใจบางอย่างได้พวยพุ่งขึ้นมา สัญชาตญาณของมนุษย์นั้นดีกว่าที่คนเราคิดไว้ เธอได้รีบมองสำรวจรอบตามแทบจะทันที

และเมื่อเธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองเพดาน…

“อ่า?”

ร่างหนึ่งได้อ้าปากทิ้งตัวลงมาเหมือนกับเป็นจระเข้

หญิงสาวได้ถูกกลืนลงไปทั้งตัวก่อนที่จะมองเห็นได้ชัดซะอีก

กรี๊ดดดดดดดดด!

***

มาถึงตอนนี้โนอาร์ เฟรย่าก็รู้ตัวแล้ว ยิ่งรวมเข้ากับเสียงร้องก่อนหน้านี้ เธอก็ยิ่งมั่นใจ

มีอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น

‘เป็นจองโชฮงงั้นหรอ?’

นี่เป็นทฤษฎีที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เธอคิดขึ้นได้

“ให้ตายสิ ฉันไม่รู้หรอกนะว่ายัยนั่นเป็นใคร แต่เธอก็ร้องได้แน่นอน”

“เจ้าพวกนั้นมันรู้ตัวงั้นหรอ?”

โนอาร์ เฟรย่าได้มองดูพรรคพวกหัวราะกับตัวเองด้วยความสมเพช ก่อนที่จะจับดาบเดินไปข้างหน้า ไม่นานนักเธอก็รู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องขึ้นบันไดไปเลย

แผละ! มีคนตกลงมาจากบันไดชั้นหนึ่งพร้อมคราบโคลน อวัยวะภายในได้ไหลออกมาจากศพ คอได้ถูกตัดไปครึ่งหนึ่ง

ต่อมาศพที่ไม่มีส่วนบนก็ได้กลิ้งตามลงมา มันได้กลิ้งลงมาเรื่อยๆจนเลือดเปรอะเปื้อนไปหมด ก่อนที่จะหยุดลง

กลิ่นเหม็นเลือดได้โชยเข้ามาในจมูกของโนอาร์ เฟรย่า เสียงขำขันได้หยุดลงไปทันที และเปลี่ยนไปเป็นความเงียบ

แต่ว่าสองศพแรกก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ก่อนที่จะมีใครได้มีอะไรอีก ศพจำนวนมากก็ได้เริ่มตกลงมาจากชั้นบน

ซากศพได้กองทับถมกันเรื่อยๆจนกระทั่งสมาชิกทั้งหมดที่ขึ้นไปได้ถูกส่งกลับมา

ในเวลาแค่ไม่ถึงสิบนาทีศพนับสิบก็ได้สร้างแอ่งเลือดขึ้นทั่วทั้งล็อบบี้

ตึก ศพสุดท้ายได้กลิ้งตกลงมาจากกองภูเขาซากศพ และกระแทกเท้าของโนอาร์ เฟรย่า

“…หยางหยาง?”

แม้ว่าตาของศพจะถูกคลัก และแขนขาถูกกระชากไป แต่นี่เป็นหยางหยางอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“ฮึก… ฮึก…”

เสียงหายใจแหบแห้งได้ดังออกมาก่อนจะหยุดลงไป

เมื่อเห็นสภาพการตายอันน่าอดสู ใบหน้าของโนอาร์ เฟรย่าก็นิ่งงันไป เธอไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ชั้นบน แต่ความกลัวได้ฉายชัดจากบนใบหน้าไร้ชีวิตของหยางหยาง

‘ไม่ใช่จองโชฮง’

โนอาร์ เฟรย่าไม่ได้ยินเสียงใครสู้กันเลย ไม่สิ เธอไม่ได้ยินอะไรเลยนอกไปจากเสียงกรีดร้อง

“…”

มีบางอย่างแปลกๆ มันแปลกมาก

ขณะที่ทุกๆคนยืนพูดไม่ออก โนอาร์ เฟรย่าที่อยู่ระดับ 5 ก็ได้รีบเคลื่อนไหว เธอได้ชักดาบยาว ถือโล่ และคอยๆเดินถอยกลับไป

แม้ว่าเธอจะมีทางเลือกให้นำสมาชิกที่เหลือบุกเข้าไปต่อ แต่สิ่งที่เดียวที่เข้ามาในัวของเธอคือออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

หลังจากนั้นแล้วเธอถึงจะได้รู้สึกว่าเธอรอด

ขณะที่เธอกำลังจะใช้พรรคพวกเป็นโล่มนุษย์เพื่อหนีเอาตัวรอด…

“อ่า”

โนอาร์ เฟรย่าก็ไม่อาจจะทำตามเป้าหมายได้สำเร็จอีกต่อไป

นั่นเพราะประตูทางเข้าถูกเปิดเอง

กลุ่มคมที่ยืนอยู่อีกฝั่งได้ค่อยๆเปิดประตูขึ้น

ปากของโนอาร์ เฟรย่าได้อ้าค้างทันที