บทที่ 260 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (6)
กลุ่มที่นำโดยชายสวมชุดสูทดำได้เดินเข้ามาในสำนักงาน
“สวัสดี”
ชายหนุ่มได้ยกมือขึ้นทักทายพร้อมคาบบุหรี่
“หน้านั่นมันอะไรกัน? เหมือนกับเห็นผีเลยนะ”
ชายหนุ่มได้ล้อเล่นออกมาเมื่อเห็นหญิงสาวตัวแข็งทื่อกับที่ โนอาร์ เฟรย่าได้พูดตะกุกตะกักออกมา
“นะ นาย…”
“ซันเหอ ฮ่าวอวิ่น”
คำตอบที่ชัดเจนนี้ได้ทำให้โนอาร์ เฟรย่าสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน
“…ไม่มีทาง คนคุ้มกัน…!”
“อ่อ เจ้าพวกนั้นน่ะหรอ?”
ฮ่าวอวิ่นได้ยิ้มออกมาพร้อมยกนิ้วขึ้นมาแคะหู
“พวกเขาไม่ใช่คนของซันเหอหรอก”
“?”
“ก็แค่พวกคนจรจัด”
“อะ อะไรนะ?”
“นี่แหละปัญหา คนอื่นๆเอาแต่คิดว่าคนที่ใส่ชุดสูทต่างก็เป็นคนจากซันเหอ”
ฮ่าวอวิ่นได้พูดแบบนี้ออกมาแม้ว่าเขาจะใส่ชุดสูทดำด้วยเช่นกันก็ตาม
“จะมีชาวโลกไร้สมองคนไหนใส่ชุดสูทสู้กันล่ะ? ลองใช้เหตุผลคิดดูหน่อยสิ”
โนอาร์ เฟรย่าได้สับสนจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
“หยางหยางนั่น… ฉันยกย่องที่พวกเธอเคลื่อนไหวกันหลังจากพวกคนจรจัดไปที่บาร์แล้วนะ แต่ว่า…”
มุมปากของฮ่าวอวิ่นได้ขยับยิ้มขึ้นมา
“แต่ว่าเธอคงไม่คิดหรอกนะว่าคนที่กำลังทะเลาะกันในบาร์เป็นคนจากซันเหอจริงๆน่ะ”
โนอาร์ เฟรย่าได้หลุดอุทานออกมาหลังจากขมวดคิ้ว ด้วยสติปัญญาของเธอ ทำให้เธอเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
“มันก็ค่อนข้างวุ่นวายล่ะนะ พวกเขาเรียกคนจรจัดมาตั้ง 200 กว่าคนเลย”
ใบหน้าของโนอาร์ เฟรย่าได้กลายเป็นบิดเบี้ยวไป พวกเขาไม่ได้หาคนจรจัดมาใช้งานแค่สามสี่คน แต่จริงๆแล้วเป็น 200 คนเลยงั้นหรอ? เป้าหมายของซันเหอมันชัดเจนมาก
“เป็นไม่ได้ได้”
“ไม่หรอก มันเป็นไปแล้ว”
ฮ่าวอวิ่นได้หัวเราะออกมา
ใบหน้าของโนอาร์ เฟรย่าได้สูญเสียสีสันไป
“เอาเถอะนะ นี่เรียกกันว่าแกล้งในแกล้งไงล่ะ”
ฮ่าวอวิ่นได้พูดพร้อมหยิบเอาบุหรี่ออกมาจากปาก
“ฉันก็อยากจะแกล้งเธออยู่อีกสักหน่อยนะ แต่ว่า…”
ควันสีขาวได้ถูกพ่นออกมาจากจมูกของเขา
“น่าเศร้าที่ฉันกำลังยุ่งอยู่ หลังจากนี้ฉันก็ต้องตรงไปที่บาร์แล้ว”
ฮ่าวอวิ่นได้หยักไหล่ และโยนบุหรี่ออกไป บุหรี่ที่ยังมีรอยไหม้ได้ลอยออกไป และทิ้งลอยไม้ไว้บนพื้น
จากนั้น
ปัง!
“อ๊ากกก!”
เสียงกรีดร้องที่คาดไม่ถึงได้ดังก้องไปทั้งล็อบบี้ โนอาร์ เฟรย่าได้หยุดกัดฟัน และหันไปมอง
ชายคนหนึ่งที่เตรียมพร้อมไว้อยู่ได้โซเซก่อนจะล้มลงไป มีลูกธนูดอกหนึ่งปักคาอยู่ที่คอของเขา โนอาร์ เฟรย่าได้มองตามขึ้นไปก่อนที่จะมีสีหน้าทำอะไรไม่ถูก
แม้ว่าเธอจะมองไม่ชัด แต่เธอก็เห็นแสงไฟจำนวนมากที่ส่องประกายอยู่ที่ชั้นบน
เป็นอย่างที่ฮ่าวอวิ่นบอกไว้ คนจรจัดได้แกล้งทำเป็นออกไป และซ่อนตัวอยู่ที่ชั้นบน
หรือก็คือทั่วทั้งเมืองอีวานี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฮ่าวอวิ่นหรือไม่ก็จิ้งจอก บางทีอาจจะทั้งคู่ก็ได้ แต่ว่าพวกเธอรู้ตัวช้าเกินไป
ฟื้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
เสียงกรีดผ่านสายลมได้ดังออกมาพร้อมๆกับเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดจากทั่วทุกทาง นักธนูที่ขึ้นไปชั้นบนเพื่อสำรวจได้ถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว และตอนนี้พวกเธอก็เหลือแค่นักรบเท่านั้น
มันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะไม่อาจทำอะไรกับศัตรูที่ยิงธนูมาจากชั้นสิบได้ อีกด้านหนึ่งนักธนูที่อยู่ชั้นบนก็สามารถจะยิงลูกธนูลงมาโดยไม่ต้องกังวลอะไรเลย
ยังไม่หมดเท่านั้น ตัวเลือกในการหลบหนีก็ถูกปิดไปเพราะคนที่ทางเข้าก็เริ่มยิงธนูมาด้วยเช่นกัน
แต่แม้กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้โนอาร์ เฟรย่าก็ยังรีบเคลื่อนไหว เธอได้หยิบเอาศพของพรรคพวกตัวเองมาเป็นโล่เพื่อค้นหาพื้นที่ให้ซ่อนตัว แต่น่าเสียดายที่ล็อบบี้มันเปิดโล่งมากจนไม่มีจุดบอดให้หลบเลย
ขณะที่ลูกธนูลอยลงมาอย่างต่อเนื่อง จำนานร่างไร้ชีวิตก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทำให้โนอาร์ เฟรย่ายิ่งกดดันมากขึ้นไปอีก มันเห็นได้ชัดว่าเป้ายิงได้กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อทุกๆคนล้มลงไปจนเกือบหมดแล้ว เธอก็จะต้องกลายเป็นเป้ายิงอย่างแน่นอน เมื่อไหร่ที่มันเกิดขึ้นการหลบหนีไปจากที่นี่ก็จะเป็นไปไม่ได้อีก เธอจะต้องหาทางออกให้ได้ก่อนที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
“!”
ขณะที่เธอกำลังจะเริ่มแผนหลบหนี จู่ๆเธอก็รีบสะบัดหน้าหลบ เลือดได้ไหลออกมาจากแก้มของเธอ หนึ่งในนักธนูคงจะต้องยิงเข้าใส่เธอเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวแน่ๆ เธอได้กัดฟันแน่นขึ้นมา
‘ให้ตายสิ…!’
ไม่มีเวลามาให้ลังเลอีกแล้ว
แม้กระทั่งในตอนนี้เธอก็กำลังเสียโล่มนุษย์ไปแล้ว เธอจะต้องลองเสี่ยงในระหว่างที่เป้าของศัตรูยังมีมากอยู่
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว โนอาร์ เฟรย่าก็ได้โยนศพออกไป จากนั้นเธอก็ยกโล่ป้องกันช่วงหัวเอาไว้ และมุ่งตรงไปที่ทางเข้า ไม่ว่าจะมีโอกาสสำเร็จน้อยแค่ไหน เธอก็ตัดสินใจที่จะฝ่าออกไป หากว่าแค่เธอเข้าไปใกล้ประตูได้สำเร็จ นักธนูที่ชั้นบนก็จะไม่กล้ายิงลงมาเว้นก็แต่จะมั่นใจในความสามารถมากๆ
โนอาร์ เฟรย่าได้จับดาบวิ่งออกไปเหมือนกระทิงคลั่ง
และเพราะงั้นเธอจึงไม่เห็นลูกธนูที่เพิ่งพุ่งผ่านเธอไปย้อนศรกลับมาพุ่งใส่เธอเหมือนมีชีวิต
ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ปักทะลุขาของเธออย่างแม่นยำ
ในตอนแรกมันเป็นความเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ไม่นานนักมันก็เหมือนกับเป็นเปลวไฟแผดเผาขาของเธอ
“อ๊าา…!”
โนอาร์ เฟรย่าได้หยุดวิ่ง และล้มลงไปคุกเข่าโดยไม่รู้ตัว เธอได้พยายามกัดฟันพยุงตัวเองกลับขึ้นมา
“อ่า…”
จากนั้นเมื่อเธอมองขึ้นมา นักรบที่ไม่พลาดโอกาสก็ได้กำลังกระโจนเข้าใส่เธอ สีหน้าของโนอาร์ เฟรย่าได้กลายเป็นสิ้นหวังไปเมื่อเธอเห็นนักรบสาวผมปลิวไสวเหวี่ยงไม้กระบองเข้าใส่เธอ
“ลาก่อนนะ”
ตูมม! หัวของโนอาร์ เฟรย่าได้ระเบิดออกพร้อมๆกับเสียงลูกโป่งแตก เศษสมองของเธอได้กระจายออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนทั่ว และร่างกายของเธอก็ล้มลงไปกับพื้น
นักรบแรงค์เกอร์ระดับสูงได้ตายลงไปอย่างน่าอดสู
ไม่นานนักทั้งล็อบบี้ก็ได้ปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ
เหล่าคนที่ยืนเตรียมพร้อมพูดคุยเล่นกันเมื่อครู่ได้กลายเป็นเหมือนกับเม่นนอนอยู่ที่พื้น
“ฉันได้ยินมาว่าโนอาร์ เฟรย่ามีทักษะอยู่บ้างนะ”
ฮ่าวอวิ่นได้ปรบมือออกมาในระหว่างที่จองโชฮงกำลังสะบัดเลือดออกไปจากไม้กระบอง
“ดีจริงๆเลยที่มีแรงค์เกอร์ระดับสูงอยู่สองคน”
“ต่อให้เป็นหนึ่งต่อหนึ่งก็เป็นงานง่ายๆอยู่ดีนั่นแหละ”
“แน่นอน ยังไงก็ตามฉันคงจะต้องไปแล้วล่ะ”
“ไปเถอะ อีกเดี๋ยวฉันจะตามนายไป”
แม้ว่าโชฮงจะหัวเราะอย่างดูถูก แต่ว่านักธนูที่ชั้นบนได้สร้างโอกาสเหมาะให้กับเธอจริงๆ ถึงเธอจะบอกเห็นเขาได้ไม่ชัด แต่เธอก็ยกมือแสดงความขอบคุณออกมา
จากนั้น
“…ช่างเป็นอาวุธที่เรียบง่าย”
คาซุกิที่ชั้น 10 ได้ยกมือตอบรับ
***
โอมาร์ กราเซียกำลังมุ่งหน้าไปที่บาร์ อีกไม่นานก็จะถึงเวลานัดเจอที่พวกเขาตัดสินใจเอาไว้ก่อนแล้ว
‘ทำไมฉันถึงไม่ได้รับข้อความอะไรเลยล่ะ?’
มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่เขาไม่ได้รับการติดต่อกลับมาจากหยางหยาง เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้กังวลอะไรมาก
ยังไงแล้วการที่ต้องลบร่องรอยทั้งหมดในพื้นที่มันก็ไม่ใช่งานง่ายๆอยู่แล้ว ตอนนี้หยางหยางอาจจะกำลังสนุกกับราคะที่ห้ามไม่ไหวก็ได้
ไม่ว่าจะแบบไหนโอมาร์ กราเซียก็ไม่เคยคิดเลยว่าแผนจะล้มเหลว
“แกมันเป็นแค่ลูกหมาที่แพ้ซิซิเลีย แล้วถูกเตะออกมาเท่านั้นแหละ!”
“แกพูดว่าอะไรนะ?”
ข้อสันนิษฐานของโอมาร์ กราเซียยิ่งกลายเป็นมั่นใจมากขึ้นเมื่อเขาเห็นฉากตรงหน้า ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังล้อมบาร์จากด้านนอกราวกับว่าไม่มีอะไรตื่นเต้นไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ยิ่งเห็นฝูงชนรวมตัวกันเป็นจำนวนมากก็ยิ่งทำให้โอมาร์ กราเซียพึงพอใจ
‘มีพยานจำนวนมากที่นี่’
เขาได้หยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปีนหลังคาอาคารใกล้ๆเพื่อสังเกตสถานการณ์
ที่ตรงกลางฝูงชนมีเสียงสบถด่าทุกประเภทถูกพูดออกมา
มีกระทั่งบางคนที่ข้ามเส้นด้วยการกระทำ เช่นผลักอีกฝ่าย หรือขว้างปาของบนโต๊ะใส่กัน
บรรยากาศได้ร้อนระอุขึ้นมา ผู้ปลุกปั่นจากแต่ล่ะฝ่ายได้ทำหน้าที่สำเร็จเป็นอย่างดีเยี่ยมจนทำให้บรรยากาศรุนแรงมาก หากจะพูดว่าอีกไม่นานพวกเขาก็คงชักอาวุธเข้าใส่กันมันก็คงไม่ผิดนัก
“นี่ นี่ ทำไมเราทั้งสองฝ่ายไม่ใจเย็น แล้วปล่อยผ่านมันไปล่ะ? ใจเย็นกันหน่อยสิ”
เมื่อการโต้เถียงได้กลายเป็นความรุนแรงยิ่งขึ้น ชายในแว่นกันแดดได้พยายามคลี่คลายสถานการณ์ แต่ยังไงก็ตามเขาก็ถูกดูถูกเหยียดหยาม
“ปล่อยผ่านหลังจากพวกแกทำแบบนี้กันเนี้ยนะ!?”
“ช่างหัวมันเถอะน่า! จะไปหวังอะไรจากพวกขี้ขลาดที่วิ่งหนีจากฮารามาร์คกันล่ะ?”
ขณะที่พวกเขาส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย สีหน้าของชายในแว่นกันแดดก็มืดลง
“คุณคงจะเมาแล้วนะ การไม่หาเรื่องคนบ้าก็เพราะสงสาร มันไม่ใช่เพราะความกลัวหรอกนะ”
“คนบ้า? แกเรียกใครว่าคนบ้า? พวกแกได้ยินกันไหม?”
“แกอยากจะโดนเราซ้อมจนพูดไม่ได้งั้นหรอ?”
ชายในแว่นกันแดดได้เฝ้ามองดูเสียงตะโกนดังลั่นอยู่เงียบๆก่อนจะหันหน้าไป ไม่สิ เขากำลังจะหันหน้าไป
“เฮ้ แกจะไปแบบนี้ไม่ได้”
ชายคนหนึ่งได้ยื่นแขนออกมาคว้าไหล่ชายสวมแว่นกันแดดเอาไว้อย่างรุนแรง
“…เอามือของแกออกไปในตอนที่ฉันยังพูดดีด้วยซะ”
“ช่างแม่งสิ แกจะไปโดยที่ยังไม่แก้ไขสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้”
“แก้ไข? นี่มันก็แค่การทะเลาะกันระหว่างคนเมาเท่านั้นเอง”
“ใช่ ใช่ จะยังไงก็แล้วแต่แก แต่ถ้าแกอยากจะออกไปให้ได้ล่ะก็นะ…”
ชายที่อยู่ฝ่ายพันธมิตรอีวาได้กางขาออกมา
“คลานไปสิ”
“…อะไรนะ?”
“ถ้าแกคลานสี่ขาขอโทษ ฉันก็จะปล่อยแกไป”
ใบหน้าของชายสวมแว่นกันแดดได้เต็มไปด้วยความโกรธเล็กน้อย
“ถอยไปซะ”
“ทำไมฉันต้องถอยล่ะ?”
ชายจากฝ่ายพันธมิตรได้หัวเราะออกมา
“ทำไมต้องรู้สึกแย่ด้วยล่ะ? พวกแกแค่โดนเอาคืนที่ทำกับคนบนโลกไว้ไงล่ะ”
ชายสวมแว่นกันแดดได้หันกลับมามองอย่างดุดัน
“โอ้ มันจ้องฉันเขม็งเลยล่ะ?”
ชายจากฝ่ายพันธมิตรยิ้มออกมาก่อนที่จะเดินมาหยุดลงตรงหน้าของชายสวมแว่นกันแดด
“ตัดสินใจซะ คลานสี่ขาเหมือนหมาเพื่อขอโทษหรือจะวิ่งหนีไป”
ชายสวมแว่นกันแดดได้จ้องชายจากฝ่ายพันธมิตร ก่อนจะแค่นเสียงออกมา
“หนีงั้นหรอ?”
เขาได้พูดเสียงต่ำออกมา
“ไม่คิดเลยนะว่าจะมาได้ยินคำนี้จากปากของคนที่ตัวสั่นเพราะกลัวแค่ทีมๆหนึ่ง”
สีหน้าของฝ่ายพันธมิตรอีวาได้แข็งทื่อไป
“…ฮ่าห์!”
จากนั้นเขาก็หัวเราะแห้งๆออกมา ช่วงนี้เขารู้สึกไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้จริงๆ ชายสวมแว่นกันแดดได้จี้จุดเขาอย่างแรง
และราคาของการจี้จุดนี้ก็คือ- ผั๊วะ
“อึก!”
กำปั้น
หมัดได้กระแทกเข้าที่ใบหน้าอย่างรุนแรงจนทำให้ชายสวมแว่นกันแดดต้องโซเซถอยไปอยู่หลายก้าว เสียงโห่ร้องได้ดังออกมาจากฝูงชนที่เฝ้ามองอยู่ทันที
การโจมตีมันไม่ได้จบลงแค่หมัดเดียวเท่านั้น
ชายจากฝ่ายพันธมิตรอีวาได้ใช้ทั้งหมดและเท้าโจมตีเข้าใส่คนของซันเหออย่างโหดเหี้ยม
“ยะ หยุด…!”
ชายสวมแว่นกันแดดได้ล้มกระแทกพื้นด้วยท่าทีไม่น่ามองก่อนจะไอออกมา ดวงตาของเขากำลังร้องถึงความไม่ยุติธรรมราวกับจะบอกว่าการใช้หมัดมันมากเกินไปแล้ว
ยังไงก็ตามเศษแว่นกันแดดที่แตกอยู่กับพื้นได้สะท้อนให้เห็นภาพของชายที่ต่อยหน้าของเขา
ชายจากพันธมิตรอีวากำลังดูถูกซันเหออยู่จริงๆ หรือพูดไม่ถูกคือกำลังดูถูกคนที่แกล้งทำเป็นคนของซันเหอ
แต่แน่นอนว่าชายจากพันธมิตรอีวาได้ใช้วิธีรับมือฝ่ายตรงข้ามที่หยาบช้าไปหน่อย ในเมื่อเขาถึงขนาดใช้มานาในจังหวะที่รุนแรงทำให้พูดได้ว่านี่เป็นการเริ่มต้นการต่อสู้
แต่ว่านี่มันก็ไม่ได้สำคัญ ยังไงแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่ซันเหอจริงๆ แต่เป็นแค่คนจรจัดเท่านั้นเอง พวกเขาคงจะคิดว่าที่พวกเขาต้องทำมีแค่สู้แล้วก็จากไปเท่านั้น แต่จริงๆแล้วพวกเขาก็อาจตายที่นี่ได้เช่นกัน
พูดตรงๆการที่พันธมิตรอีวาจะฆ่าพวกเขาไปจริงๆมันก็ไม่ได้สำคัญเลยด้วย
เพื่อชักจูงสถานการณ์ให้รุนแรง เขากระทั่งได้รับสิทธิ์ให้ฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้คนสองคนอีกด้วย หากมันเกิดขึ้นเขาก็จะแค่ถูกจัดการซ้อมแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง
และหลังจากนั้นก่อนที่แต่ละกลุ่มจะพุ่งตรงเข้าไปฆ่ากัน หัวหน้าของแต่ละฝ่ายก็จะปรากฏตัวออกมา โอมาร์ กราเซียจะออกมาขอโทษก่อนอย่างจริงใจ และสัญญาว่าจะชดใช้ในเรื่องนี้อย่างเหมาะสม
การฆาตกรรมภายในเมืองเป็นคดีร้ายแรง แต่หากว่าทั้งสองฝ่ายยอมยุติเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทางราชวงศ์ก็จะไม่มีเหตุผลในการเข้าแทรกแซง มันไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่มีพลังในการเข้าแทรกแซงเท่านั้น แต่พวกเขายังเต็มใจไม่เข้ามาแทรกแซงอีกด้วย
“ลุกขึ้น นี่มันยังไม่จบ”
ด้วยการที่มีแผนสนับสนุนเอาไว้แล้ว ชายผู้ที่เป็นฝ่ายริเริ่มการต่อสู้จึงแสดงความผ่อนคลายต่อหน้าสมาชิกปลอมของซันเหอ
ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะฆ่าคนจรจัด ยังไงแล้วพวกเขาก็เป็นสหายน่าสงสารที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แต่ว่าเมื่อเขาถูกฝ่ายตรงข้ามจี้จุดจึงทำให้เขาเปลี่ยนใจไป
“นี่มันมากไปแล้วนะ?!”
ชายคนนั้นได้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา แต่ว่าสมาชิกพันธมิตรก็ไม่ได้สนใจ
“ลุกขึ้น ฉันจะซวยหากว่าปล่อยให้แกได้เดินกลับบ้าน ในเมื่อพวกแกมากวนตีนฉัน นี่มันก็เป็นโอกาสดีเลยที่จะฆ่าพวกแกทุกคน!”
ชายสวมแว่นกันแดดได้คำรามออกมาอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นสมาชิกพันธมิตรอีวาแสดงท่าทีสูงส่ง และยิ่งใหญ่
“เชี้ย! พวกแกอยากจะทำแบบนี้จริงๆงั้นหรอ? ต้องการแบบนี้ใช่ไหม?”
“โอ้? ก็ใช่น่ะสิ ถ้าทำอะไรได้ก็เข้ามา”
ชายฝ่ายพันธมิตรอีวาไม่พลาดโอกาสที่จะเยาะเย้ยศัตรูอีกครั้ง เขาได้หันหลังกลับไปตะโกนออกมา
“พวกนายได้ยินที่หมอนี่พูดไหม!? คุณซันเหออยากจะมีเรื่องกับเราว่ะ!”
“โอ้ งั้นสินะ?”
“ถ้างั้นพวกเขาก็จะได้ตามต้องการเลยสิ!”
สมาชิกพันธมิตรอีวาได้ส่งเสียงโห่ร้องออกมาราวกับรอจังหวะนี้อยู่ บางคนกระทั่งชักอาวุธออกมาชี้หรือไม่ก็ง้างสายธนู
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าสถานการณ์ทั้งหมดถูกจัดฉากขึ้นมา แต่พวกเขาก็ถูกบรรยากาศที่พุ่งถึงขีดสุดนำพาไป
จากนั้นชายที่บาดเจ็บบนพื้นก็ยิ้มบางออกมา แม้ว่ามันจะแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นมา
“ฟังฉันนะทุกคน!”
ต่อจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนตะโกนออกมา
“ไม่ใช่แค่พันธมิตรอีวาจะยั่วยุซันเหอก่อน แต่ว่าพวกเขายังปฏิเสธสันติภาพที่เราสร้างขึ้นด้วยข้อเรียกร้องที่ยอมรับไม่ได้! นี่ยังไม่พอ พวกเขากระทั่งโจมตีเราก่อนอีกด้วย!”
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะต่างยั่วยุกัน แต่ส่วนที่เหลือที่ชายคนนี้พูดคือความจริง
ฝ่ายทีชักอาวุธขึ้นมาก่อนก็คือพันธมิตรอีวา และพวกเขาก็ยังเป็นฝ่ายที่เผยจิตสังหารออกมาใส่ฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย
ในเวลาเดียวกันโอมาร์ กราเซียที่คอยจังหวะเข้าไปแทรกก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นไปตามแผน แต่เขาก็รู้สึกแปลกๆ มันเหมือนกับว่าสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรจะถูกลากลงไปในนรกเพราะพวกเขาเล่นสวมบทบาทมากเกินไป
“ฮ่าห์”
สมาชิกกลุ่มพันธมิตรได้โยนมีดเล่นอยู่ซ้ำๆ
“พวกแกกำลังพูดบ้าอะไรกัน มันจะทำไมห๊ะ?”
ชายที่นอนอยู่บนพื้น หรือผู้บริหารของซันเหอ หมิงเจี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก กลับกันเขาได้ยกมือส่งสัญญาณออกมา
จากนั้นนักบวชที่ร่ายเวทย์อยู่เงียบๆก็ปล่อยพลังออกมาในคราวเดียว โล่ทึบแสงได้ปรากฏขึ้นครอบคลุมสมาชิกทุกๆคนของซันเหอเป็นชั้น และคนที่เหลือก็หยิบหน้าไม้ขึ้นมาในทันที
ในที่สุดแล้วสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ โอมาร์ กราเซียก็มองออกแล้วเช่นกัน
ความเป็นไปนี้ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่ตกลงกันไว้ ปัญหาคือเรื่องราวนี้ได้ถวีความรุนแรงขึ้นมาแล้ว
“ไม่ เดี๋ยวก่อน นี่พวกเขาโกรธจริงๆ…?”
ก่อนที่โอมาร์ กราเซียจะได้จัดการความคิดเสร็จ หมิงเจี่ยก็คำรามออกมาแล้ว
“กำจัด-“
นี่คือวินาทีที่พันธมิตรอีวาผู้ยิ่งใหญ่…
“ไอ้พวกชั่วนี่!”
…ติดกับดักของจิ้งจอก
ไม่นานนักทั้งพื้นที่ก็เต็มไปด้วยเสียงยิงธนู และเสียงกรีดร้องของสมาชิกพันธมิตรที่ถูกแทงด้วยลูกศรหน้าไม้อย่างกระทันหัน
***
ภารกิจคุ้มกันได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ระหว่างภารกิจซอลจีฮูได้พยายามที่จะคุยกับสมาชิกต่างเผ่าพันธุ์ให้มากที่สุแล้ว แต่ว่าเขาก็ได้รีบแต่การตอบกลับอันแสนเย็นชากลับมาเท่านั้น
ไม่ว่าเขาจะพยายามเข้าหาเท่าไหร่ พวกเขาก็มีแต่ตอบกลับสั้นๆ โดยเฉพาะมนุษย์สัตว์ที่เอาแต่ระวังตัว คำราม และชูหางกับหูใส่ในทันทีที่ซอลจีฮูเข้าไปใกล้สักนิด
นี่มันเป็นสัญญาณการระวังตัวเป็นอย่างมาก
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เมินเฉยหรือแสดงความเป็นศัตรูกับซอลจีฮู แต่มันก็ชัดเจนมากว่าพวกเขารู้สึกไม่สบายใจที่ซอลจีฮูเข้าไปใกล้
มีสิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตเห็นระหว่างภารกิจนี้ก็คือความเกลียดชังที่สมาชิกสหพันธรัฐมีต่อมนุษย์นั้นมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
สถานการร์มันไม่ควรจะเอามาเทียบกับในตอนที่เขาเจอแฟรี่ถ้ำยูเรล แต่ว่า… ซอลจีฮูก็รู้ตัวแล้วว่าความฝันที่อยากจะร่วมมือกับสมาชิกสหพันธรัฐมันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน
จนกระทั่วในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็มาถึงเขตพรมแดนโดยไร้ปัญหาใดๆ
มนุษย์สัตว์ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สำหรับคนอื่นๆแล้วตรงกันข้ามกับที่ซอลจีฮูคิดไว้ พวกเขาไม่ได้จากไปในทันที และรอซอลจีฮูอยู่
“เรามีบางอย่างอยากจะพูด”
หนึ่งในสมาชิกสหพันธรัฐได้เดินออกมาพูดกับเขา คนๆนั้นก็คือแฟรี่ท้องฟ้า
“ฉันจะขอพูดตรงๆ คุณคิดยังไงกับการย้ายมาที่สหพันธรัฐ?”
ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกกว้างกับคำพูดที่คิดไม่ถึงนี้ ยิ่งเขาคิดตาม คำแนะนำของพวกเขายิ่งน่าประหลาดใจ
“เราไม่ได้ขอให้คุณมาทันทีหรอกนะ”
แฟรี่ท้องฟ้าได้เสริมออกมา
“คุณไม่จำเป็นต้องมาคนเดียวก็ได้ คุณสามารถจะพาเพื่อนๆมาด้วยได้เหมือนกัน”
“พวกคุณนี่เอาจริงหรอ?”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาอย่างสงสัย
“ดอกไม้ไม่อาจจะบานได้ในถังขยะ”
แฟรี่ท้องฟ้าได้พูดต่อ
“แน่นอนว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน แต่ต่อให้ดอกไม้จะเบ่งบานขึ้นมาได้ มันก็จะเหี่ยวเฉาร่วงโรยลงไปอย่างรวดเร็ว นี่มันจะไม่น่าสงสารและโหดร้ายไปหน่อยหรอ?”
ซอลจีฮูเข้าใจว่าดอกไม้ที่แฟรี่ท้องฟ้าหมายถึงก็คือตัวเขาเอง
“แม้ว่าสหพันธรัฐจะประกอบไปด้วยหลายเผ่าพันธุ์ พวกกเขาต่างมีความขัดแย้งกันเอง แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เป็นการสู้กับปรสิต พวกเราก็จะร่วมมือกัน ทุกๆคนต่างก็มีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว”
นี่คือแดนสวรรค์ที่ซอลจีฮูใฝ่ฝัน เป็นสวรรค์แท้จริงที่อยู่ไม่ไกล
“คุณอาจจะยังไม่เคยได้ยินเรื่อนี้ แต่ว่าเรามีสภาพแวดล้อมให้การสนับสนุนกับฮีโร่ที่ฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์อย่างเต็มที่ มนุษย์สัตว์อาจจะไม่ยินดีนัก แต่ว่าการใช้เวลาก็สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้…”
‘งั้นพวกเขาก็รู้..’
ที่พวกเขาพูดก็ไม่ได้ผิด สหพันธรัฐมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับให้ซอลจีฮูได้พัฒนาตัวเองจริงๆ
นี่เป็นความรู้สึกที่ต่างไปจากในตอนที่ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ยื่นข้อเสนอให้เขาอย่างสิ้นเชิง
หากว่าเขรับข้อเสนอของแฟรี่ท้องฟ้า และย้ายไปอยู่ที่สหพันธรัฐ เขาจะพัฒนาได้มากขนาดไหนกันนะ? ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหพันธรัฐ ในอนาคตเขาจะประสบความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อขนาดไหนกัน?
หากจะบอกว่าเขาไม่สนใจเลยก็คงเป็นการโกหก
แต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้เขายังไม่มีความคิดที่จะยอมรับข้อเสนอ
“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะครับ แต่ว่า…”
“นี่คาดไม่ถึงเลย คุณคงจะมีประสบการณ์กับมันมาแล้ว”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆเมื่อแฟรี่ท้องฟ้าพูดเหมือนกับเธอรู้ทุกอย่าง
“หากว่าพรรคพวกผม และผมสามารถจะเอาชนะปรสิตได้ด้วยการย้ายไปสหพันธรัฐ พวกเราก็จะไม่ไปทันทีโดยไม่คิดอะไรเลย แต่ว่าด้วยแค่พลังของสหพันธรัฐ”
ซอลจีฮูได้เว้นช่วงเอาไว้ เขากำลังแนะนำให้สหพันธรัฐและมนุษยชาติร่วมมือกัน
ปฏิกิริยาของแฟรี่ท้องฟ้านั้นยากที่จะเข้าใจ
“ฉันเข้าใจนะว่าคุณกำลังพยายามจะพูดอะไร แต่นั่นมันก็แค่เรื่องเพ้อฝัน แม้ว่าจำนวนของทหารอาจจะสำคัญในเวลาสงคราม แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือความสามัคคีกัน มันไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่าผู้นำหรือพันธมิตรที่ไร้ความสามารถอีกแล้ว”
เธอพูดเหมือนกับเธอแทบจะยอมแพ้ลงไปแล้ว
“ฉันเข้าใจดีในเมื่อคุณยังเข้ามาในพาราไดซ์ได้ไม่นาน แต่ว่าความเป็นจริงกับความฝันมันต่างกันมาก”
“…”
“ฉันเข้าใจถึงความตั้งใจของคุณ แต่ไม่ว่ายังไงเราก็คิดไว้ว่าจะรายงานทุกๆอย่างกับเบื้องบน แน่นอนว่ารวมถึงทุกๆอย่างที่คุณทำให้เราด้วยเช่นกัน”
ซอลจีฮูอยากจะบอกเธอว่าไม่ต้องทำแบบนั้น อยากให้เธอให้อภัยมนุษย์สักครั้ง แต่ไม่นานนักเขาก็รู้ตัวว่าความคิดของเขามันเห็นแก่ตัวแค่ไหน และเลือกที่จะเงียบแทน
“…เอาล่ะ ถ้างั้นก็”
แฟรี่ท้องฟ้าได้พยักหน้า และหันหน้าไป
สมาชิกส่วนที่เหลือของพวกเธอก็เริ่มจากไปกันทีละคน ขณะที่เขากำลังมองพวกเธอจากไป หญิงสาวคนหนึ่งก็หันกลับมา
ลาเซียงั้นหรอ? เธอเป็นหญิงสาวที่ขอให้เขาช่วยหาลูกชายของเธอ
เธอได้มองมาที่ซอลจีฮูด้วยสายตาเป็นกังวลเล็กน้อยก่อนจะโค้งคำนับ เด็กในอ้อมแขนของเธอก็ทำเช่นเดียวกัน
ซอลจีฮูได้ยิ้มและโบกมือให้พวกเธอ
จากนั้นเมื่อพวกเธอจากไป เขาก็ได้ถอนหายใจยาวออกมา ภารกิจของเขายังอีกยาวไกล
‘ถังขยะสินะ’
เป็นคำที่เจ็บแสบ แต่ว่ามันก็อธิบายได้ตรงจริงๆ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะหมดทางแก้ไข แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็สามารถจะทำความสะอาด และใส่ดินเข้าไปในที่ว่างได้
‘ทุกๆอย่างคงจะปกติดีใช่ไหม?’
ซอลจีฮูได้หมุนคริสตัลสื่อสารเล่นก่อนจะหันหน้าไป
เขาจะต้องพาเพื่อนร่วมทีมเดินทางกลับ แต่ว่ามีบางสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเกิดขึ้น ไม่สิ ไม่ใช่แค่ ‘บางสิ่ง’ แต่เป็นทั่วทั้งเมืองโกลาหล
ในตอนที่ซอลจีฮูกลับมาหลังจากทำภารกิจสำเร็จ ถังขยะที่เต็มไปด้วยขยะในชื่อของอีวาได้ถูกเก็บกวาดจนเกือบโล่ง
ทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นในเวลาแค่ไม่กี่วัน