บทที่ 120 มอบหัวใจผิดไป

บุหลันเคียงรัก

หมอกปีศาจสลายไปแล้ว พายุคลั่งก็สงบลงแล้ว ท้องฟ้าสีแดงฉานราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือด เทือกเขาถูกอาบย้อมด้วยแสงตะวันยามอัสดงเป็นชั้นบางเบา

 

 

เซ่าอี๋ยืนนิ่งกลางอากาศอยู่นาน ใบไม้ที่ยังคงสดอ่อนใบหนึ่งหมุนวนก่อนจะร่วงลงบนฝ่ามือเขา หงส์ฟ้าเก้าสวรรค์เป็นธาตุไม้และไฟ แม้แต่ใบไม้ของโลกมนุษย์นี้ก็ยังชอบกลิ่นอายจากร่างของเขา

 

 

เขาฉีกใบไม้นั่นเป็นสองท่อน แล้วจรดไว้ที่ริมฝีปากแล้วเป่า ท่วงทำนองดังออกมาติดๆ ขัดๆ ผ่านไปเนิ่นนานหลายปี เขาเองก็เกือบจะจำบทเพลงนี้ไม่ได้แล้ว

 

 

ไม่ควรปล่อยปลาดุกอุยน้อยไปเลย เวลาไม่มาก ทุกอย่างก็จัดการไปเกือบหมดแล้ว เขาต้องคอยตามคอยจับอยู่ตลอดถึงจะมั่นใจ แต่ว่าเขาก็ยังรออยู่ที่เดิมกระทั่งฝูชางมา ทั้งยังส่งนางให้ฝูชางอีก แววตาของนางยามมองมังกรสีทองตัวนั้นทำให้เขารู้สึกใจหายเหลือเกิน

 

 

แววตาเช่นนั้นไม่ได้หายาก แต่ที่หายากเพราะมันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง จนทำให้เขานึกถึงเรื่องบางอย่างที่เขาเกือบจะลืมไปหมดแล้วขึ้นมา เรื่องในอดีตที่ไม่ได้มีความสุขนัก และทำให้เขาเกิดความรู้สึกอดรนทนไม่ได้ขึ้นมาและอยากทำให้นางพอใจมีความสุข

 

 

เมื่อเป่าทำนองเพลงติดๆ ขัดๆ นั่นจบ เซ่าอี๋ก็ถือใบไม้ไว้ในมือ ทอดสายตามองไปยังทิวเขาและทุ่งกว้างรอบด้านอย่างไร้จุดหมาย ไอขุ่นมัวพัดไประหว่างใบไม้ เหล่าเผ่ามารซ่อนตัวอยู่หลังม่านพลังเงียบๆ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปมากมาย

 

 

เซ่าอี๋มองอย่างจดจ่ออยู่นาน ทันใดนั้นก็ปล่อยใบไม้ออก ปล่อยให้มันปลิวไปตามลม ก่อนจะหัวเราะแล้วเรียกเบาๆ “ศิษย์พี่หญิง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

 

 

จื่อซีที่ซ่อนตัวอยู่ในป่ามาตลอดตัวสั่นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ แล้วบินออกมาช้าๆ ด้วยสีหน้าขาวซีด

 

 

นางไม่อยากถูกเขาตำหนิว่า “ไปตามตื๊อเขา” อีกแล้ว ครั้งนี้นางไม่ได้ตามเขาจริงๆ ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ เมื่อเหล่าเทพได้รับคำสั่งลงมาฆ่าเผ่ามารแล้ว นางก็ถูกย้ายไปจากหน่วยอู้เฉิน มหาเทพไป๋เจ๋อเข้าใจนางดีมาก และเขาก็ไม่รู้สึกว่านางเหมาะกับการอยู่หน่วยอู้เฉิน นางจึงถูกย้ายกลับไปยังหน่วยที่คอยเก็บกวาดเผ่ามารกระจัดกระจายทั่วๆ ไป ทำภารกิจของตนด้วยความระมัดระวัง

 

 

วันนี้นางไล่ตามมารน้อยตนหนึ่งมา แล้วไปพบกับรัชทายาทอันดับสามของราชาซุ่ยหู่เข้า อันที่จริงระหว่างทางที่เขามาเป็นแขกที่วังราชาซางเหม่า เขาก็จับเทพธิดาไปถึงสี่องค์แล้ว เมื่อเห็นนางก็ไม่ปล่อยนางไป ทำให้นางหมดสติแล้วพาไปด้วย เมื่อนางได้สติกลับคืนมา หน่วยติงเหม่าก็จับเป็นรัชทายาทอันดับสามได้แล้ว เมื่อนางเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นเซ่าอี๋อุ้มเสวียนอี่อยู่และกำลังเผชิญหน้าอยู่กับฝูชาง

 

 

เทพบุตรที่นางเคยหลงใหล และเทพที่นางกำลังคลั่งไคล้จนยากจะตัดใจได้ทุกวันนี้ต่างก็เลือกเสวียนอี่

 

 

ตอนนั้นนางเองก็เคยเสียใจไประยะหนึ่งเพราะฝูชางเลือกเสวียนอี่ แต่ว่านางก็ยังใจกว้างพอและเลือกที่จะตัดใจ กระทั่งไม่ให้ใครมาล่วงรู้ความลับนี้ของตนด้วย นางไม่อยากให้เสวียนอี่ต้องรู้สึกแย่ แต่ว่านางกลับทำให้ตนต้องรู้สึกแย่ครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

เป็นเสวียนอี่ตลอด ตอนฝูชางนางยอมหลีกให้แล้ว ตอนนี้เป็นเซ่าอี๋ นาง…ยังต้องหลีกให้อีกหรือ

 

 

จื่อซีรู้สึกอัปยศกับความริษยาและความไม่ยินยอมอย่างรุนแรงของตัวเองมาก นางเคยคิดว่าในชีวิตของนาง นางไม่มีทางที่จะมีอารมณ์น่าละอายต่ำช้าและความรู้สึกที่นางเคยดูถูกมากที่สุดเหล่านี้แน่

 

 

นางเองก็เข้าใจว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องที่นางจะหลีกทางหรือไม่อย่างสิ้นเชิง ฝูชางไม่เคยมีสัมพันธ์อะไรกับนางมาโดยตลอด เซ่าอี๋เองก็เพียงพูดจาเกี้ยวพากับนางไม่กี่ประโยคเท่านั้น ภายหลังเขายังปฏิเสธนางอย่างไม่อ้อมค้อมถึงสองครั้งอีก กระทั่งเทพที่เสเพลอย่างเขายังถูกเสวียนอี่ทำให้ต้องยอมศิโรราบอย่างนั้นหรือ นางยอมให้เขาเสเพลไปเรื่อยเปื่อยมากกว่าที่จะให้เขาเลือกใครสักคน บางทีเพราะอย่างนี้นางถึงได้รู้สึกวุ่นวายใจแบบนี้ก็เป็นได้

 

 

ความมั่นใจในตัวเองของนางหมดไปกับการแอบรักสองครั้งนี้ไม่น้อยแล้ว และคนที่นางแพ้ให้ยังเป็นเทพธิดาคนเดียวกันอีก นางมักจะมองว่าตนเองสูงส่งดีเลิศและบริสุทธิ์เสมอ และจินตนาการถึงความรักที่หวานชื่นบริสุทธิ์ นางเองก็รักใคร่เอ็นดูเสวียนอี่ มักจะคอยตามใจนาง แต่ว่านางกลับไม่เคยคิดว่าเสวียนอี่มีอะไรดีไปกว่านางเลยสักครั้ง

 

 

นางที่มักมองทุกอย่างอย่างยุติธรรมตรงไปตรงมาและเดินในทางที่ถูกต้องเสมอ ไม่ยอมให้ตนแสดงอารมณ์อย่างนี้ออกมา แต่ว่านางไม่สามารถที่จะปฏิบัติกับเสวียนอี่ด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแต่ก่อนได้อีกแล้ว ราวกับตัวนางเองกำลังเปลี่ยนไปเป็นประเภทเดียวกับเทพธิดาที่แต่ก่อนนางเคยไม่ชอบที่สุดไปแล้ว สถานการณ์เช่นนี้เลวร้ายเกินไป แต่ทว่าตัวนางกลับไม่มีแรงจะต้านทานมัน

 

 

จื่อซีขี่ลมแล้วบินขึ้นไป ค่อยๆ เข้าไปใกล้เซ่าอี๋ทีละน้อย ชุดนักรบสีดำบนร่างเขาเห็นรอยเลือดไม่ชัดนัก แต่ว่านางมองแค่ชั่วพริบตาเดียวก็มองเห็นแผลสาหัสที่ถูกแทงทะลุตรงอกขวาของเขาได้ ริมฝีปากเขาเองก็มีคราบเลือดเกรอะกรังติดอยู่หลายหยด

 

 

เป็นแผลที่ได้มาตอนชิงตัวเสวียนอี่กับฝูชางงั้นหรือ

 

 

ในใจของจื่อซีพลันมีโทสะจากความพ่ายแพ้ของนางขึ้นมา นางอยู่ตรงนี้! เขามองไม่เห็นหรือไร นางไม่มีทางโลเลไปมา นิสัยประหลาดอย่างเสวียนอี่แน่ ทั้งยังไม่ซุกซนเฉื่อยชาอย่างนางด้วย นางทำอะไรตรงไปตรงมาและยุติธรรม เข้ากับคนอื่นได้ดี และในใจของนางยังมีแต่เขาอีก แล้วทำไมถึงไม่มองนาง

 

 

ความคิดริษยาเหล่านี้กำลังทรมานนาง และสวนทางกันกับความคิดแน่วแน่เข้มงวดและตรงไปตรงมาของนาง จื่อซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพลันกล่าวว่า “…เจ้าบาดเจ็บแล้ว ทำไปเพื่ออะไรกัน”

 

 

เซ่าอี๋มองนางอย่างงุนงง “ศิษย์พี่หญิง ท่านพูดอะไร”

 

 

จื่อซีขมวดคิ้ว ใจก็เริ่มคิดจะสั่งสอนขึ้นมา “เจ้าฉลาดมาตลอด ทำไมถึงได้มองเรื่องของเสวียนอี่กับฝูชางไม่ออก ทำไมต้องเข้าไปแทรกตรงกลางด้วย เรื่องนี้ไม่ได้มีเกียรติเลย ทั้งทรมานตัวเอง และยังต้องบาดเจ็บอีก! เจ้า จริงๆ เลย…”

 

 

น้ำตาของนางไหลลงมาอย่างไม่ตั้งใจ นางรีบใช้มือปาดออกไป แล้วเบือนหน้าหนีไม่ให้เขามองเห็น

 

 

เซ่าอี๋ตั้งสติได้ก็อดที่จะหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ “ศิษย์พี่หญิงก็ยังเป็นห่วงข้าถึงเพียงนี้”

 

 

จื่อซีจ้องมองเมฆบนฟ้าที่ราวกับเปลวเพลิงแล้วนิ่งไปนาน สุดท้ายราวกับมีความกล้าขึ้นมาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “แน่นอนว่าข้าต้องเป็นห่วงเจ้าสิ เพราะว่าข้าชอบเจ้า ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่เทพเสเพลไร้น้ำใจ เจ้าสามารถเล่นกับข้าแล้วค่อยทิ้งไปก็ได้ แต่ว่าเจ้ากลับไม่ได้ทำอย่างนั้น เจ้ามีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ ทั้งยังกังวลกับเรื่องทะเลหลีเฮิ่นอีก ดังนั้นในใจข้า เจ้าไม่ใช่พวกคนเลวร้ายแน่ เจ้า เจ้ามีค่าพอที่จะมีเทพธิดาที่ดีกว่ามาเคียงคู่ ไม่ต้องไปแทรกกลางเรื่องของเสวียนอี่กับฝูชาง ดีไหม”

 

 

รอยยิ้มของเซ่าอี๋เด่นชัดขึ้น “ในใจของศิษย์พี่หญิงข้าดีขนาดนี้เชียว ขนาดข้าเองยังไม่รู้เลย”

 

 

ใบหน้าของจื่อซีแดงขึ้นมา อดที่จะกระทืบเท้าไม่ได้ “เจ้าหัวเราะอะไร! เจ้าบาดเจ็บหนักอย่างนี้ ตระกูลชิงหยางไม่ใช่ว่ามีพลังเทพคืนชีวิตหรือ ทำไมไม่รักษาให้หาย”

 

 

เซ่าอี๋ลูบอกขวาที่ถูกแทงทะลุ “ปล่อยไว้อย่างนี้ก่อนชั่วคราว ข้าจะให้นางต้องทรมานไปอีกสักระยะ”

 

 

นางทำให้เขาเจ็บ เขาก็จะทำให้นางต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าเขาไปตลอด

 

 

จื่อซีกัดริมฝีปาก “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้สึกกับเสวียนอี่มากถึงขั้นนี้แล้ว…บาดแผลเจ็บขนาดไหน คนที่ทรมานก็คือเจ้า ไม่ใช่นาง…”

 

 

เซ่าอี๋นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบประโยคนี้กลับไป “ศิษย์พี่หญิง รู้จักความรับผิดชอบและหน้าที่ที่ท่านว่า ข้าคิดว่าในฐานะเทพแล้ว นี่คือหน้าที่ที่ต้องทำ ความจริงแล้วไม่ได้ถือว่าโดดเด่นอะไร ส่วนที่ว่าทำไมข้าถึงไม่ยุ่งกับท่านนั้น…”

 

 

เขายิ้มตาหยีแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้ากลัวความยุ่งยาก หากไปยุ่งกับเทพธิดาที่ลุ่มหลงในรักอย่างศิษย์พี่หญิงเข้าย่อมยุ่งยากไม่น้อย ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านต้องเสียใจ ไยศิษย์พี่หญิงถึงไม่เอาความรักของท่านไปให้กับผู้ที่อยู่ในทางเส้นเดียวกับท่านเล่า”

 

 

เขาบอกว่านางยุ่งยาก แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ท่าทีของเขาก็ยังคงนุ่มนวล จนทำให้นางอ่อนระทวยไปอย่างน่าตายนัก

 

 

จื่อซีเงยหน้ามองเขานิ่งๆ ทั้งน้ำตา “เจ้ากลัวว่าข้าจะตามติดเจ้า สร้างเรื่องยุ่งยากให้เจ้าหรือ ข้าไม่ทำเด็ดขาด”

 

 

ให้นางจมดิ่งลงไป แม้มีแต่จะให้นางต้องจมจ่อมอยู่ในความทุกข์ทรมาน เขาก็คือทะเลหลีเฮิ่นในใจส่วนลึกของนาง ทั้งดำมืดและลึกล้ำ ไม่ว่าพลังอะไรก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็เล่นกับนางหนักๆ แล้วทอดทิ้งนางอีกครั้ง ทำให้นางได้สติกลับมา นางถึงจะปล่อยวางลงได้

 

 

เซ่าอี๋เลิกคิ้ว “ข้าไม่ใช่เทพที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาในจินตนาการของท่านเช่นนั้นหรอก”

 

 

ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร น้ำมันที่ชั่วร้าย ความเย็นชาไร้น้ำใจ เอามาทำลายความไร้เดียงสาของนางให้แตกไปเสีย

 

 

เขามองนางเงียบๆ เป็นสายตาที่สว่างใสกระจ่างนั้นอีกแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้มันมอบให้เขา เขาอดที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ เสียใจ สงสาร จนใจ เขามีความรู้สึกต่อเหล่าผู้มีใจยึดมั่นในรักเหล่านี้หลากหลายอารมณ์

 

 

เซ่าอี๋ยื่นมือออกไปรั้งจื่อซีเข้ามากอดไว้แนบอก เขาจับไปท้ายทอยนางแล้วก้มหน้าลงประทับริมฝีปากจุมพิตลงไปเบาๆ

 

 

ไม่ได้เกี่ยวกระหวัดกันอย่างมัวเมาในราคะ ไม่ได้บดขยี้ไปมาหรือดูดดึงอย่างรุนแรง ริมฝีปากของเขาทั้งนุ่มนวลและร้อนจัด ทาบทับบนริมฝีปากของนางอยู่เนิ่นนานจึงค่อยเคลื่อนออกไปช้าๆ

 

 

จื่อซีมองเขาถอยห่างออกไปก้าวหนึ่งอย่างนิ่งงัน เขายกมือขึ้นแล้วช่วยปักปิ่นหยกที่ศีรษะของนางให้ใหม่ มองนางที่ยังตาค้างด้วยรอยยิ้มบางๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ศิษย์พี่หญิง ขอบคุณท่านมาก ลืมข้าเสียเถอะ”

 

 

เทพในชุดนักรบสีดำสนิทหมุนตัว แขนชุดคลุมยาวกระพือราวกับปีกนก พริบตาเดียวก็บินหายไปจากสายตาของนาง

 

 

ท้องฟ้าสีแดงเพลิงนั้นมืดลง จื่อซียืนนิ่งที่เดิมอยู่เนิ่นนาน ทะเลหลีเฮิ่นสีดำสนิทนั่นราวกับได้ดูดกลืนนางเข้าไปแล้ว นางกลิ้งไปมาอยู่ด้านในนั้นจนหน้ามืดตาลายและสับสนในใจ

 

 

เข่าทั้งสองข้างพลันอ่อนยวบ นางร่วงลงไปจากกลางอากาศตกลงบนพื้นดิน จากนั้นก็ลุกไม่ขึ้นอีกเลย นางรู้สึกว่าตัวนางไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว

 

 

 

 

หน้าอกด้านขวาราวกับกำลังปริออก หนำซ้ำยังเจ็บขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าไอขุ่นมัวของโลกเบื้องล่างนี้น่าจะเข้มข้นเกินไป เซ่าอี๋ก็ยังไม่ยอมรักษาบาดแผลอีก เมื่อเลือดเผ่าเทพสัมผัสกับไอขุ่นมัวเข้า จะก่อเกิดความทุกข์ทรมานแสนสาหัส

 

 

เสวียนอี่เจ็บเสียจนเบื้องหน้านางราวกับมีดวงดาวสีทองลอยออกมาหลายต่อหลายครั้ง นี่ต่างหากที่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวเอง คนที่ถูกแทงยังมีท่าทีสบายๆ แต่นางที่เป็นคนลงมือกลับเจ็บจนอยากจะร้องไห้ตะโกนโวยวายออกมา แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้อีก ความทรมานนี้มันช่างเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว

 

 

มือคู่หนึ่งโอบกอดนางเอาไว้แน่น นางได้ยินเสียงของฝูชางเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ นางจนปัญญาจะฟังเสียงเขาชัดๆ ว่าเขาพูดอะไรอย่างแท้จริง จึงทำได้เพียงซุกหน้าอยู่ในอ้อมอกเขา

 

 

สตินางเลอะเลือน ไม่รู้ว่านางยังมีสติอยู่หรือหลับไปแล้ว ไม่รู้ด้วยว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ความเจ็บที่หน้าอกข้างขวาค่อยๆ ลดลงไป เสวียนอี่หรี่ตาแล้วลืมตาขึ้น นางนอนอยู่บนเตียงแคบและแข็ง นอนได้ไม่สบายเลยจริงๆ ครั้นพอพลิกตัวก็สบเข้ากับดวงตาดำสนิทลึกล้ำของฝูชางเข้าทันที

 

 

เขานั่งอยู่ริมเตียงแล้วมองนางเงียบๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้านอนหลับไปหนึ่งวันแล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังรู้สึกไม่ดีตรงไหนอีกไหม”

 

 

นางลูบหน้าอกขวา ปรากฏว่าบริเวณที่นางลูบกลับไม่ได้สวมเสื้อผ้าอยู่ นางตกใจเสียจนผมบนศีรษะแทบจะชี้ชันขึ้นมา

 

 

“…ข้าไม่เป็นไร” นางมุดตัวลงแล้วขดตัวในผ้าห่ม” “ชุดของข้า…”

 

 

“ถอดแล้ว” ฝูชางยังคงมีท่าทีเรียบเฉย “เข็มขัดขาดหมดแล้ว”

 

 

ต่อให้เข็มขัดขาดไปแล้ว แต่เย็บเสียหน่อยก็สามารถต่อกลับไปได้แล้ว ทำไมต้องถอดด้วย เสวียนอี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ที่นี่คือที่ไหน”

 

 

“ฐานนักรบหน่วยติงเหม่าหน่วยเจี่ย”

 

 

หน่วยติงเหม่า! ดวงตาเสวียนอี่ทอประกายทันที “ถ้าอย่างนั้นชิงเยี่ยนเองก็อยู่ที่นี่?”

 

 

“องค์ชายน้อยอยู่ที่หน่วยอี่ ตอนที่ไปฆ่าจางลู่ไปเจอกับนักรบอันดับหนึ่งของราชาซางเหม่าอย่างฉินอูเข้าพอดี ตอนนี้หน่วยเจี่ยและหน่วยอี่ทั้งสองหน่วยล้วนแต่กำลังไปฆ่าเผ่ามารอยู่ ยังไม่กลับมา”

 

 

น้ำเสียงที่ราบเรียบเกินธรรมดาและแววตาลึกล้ำของเขาทำให้เสวียนอี่รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา นางค่อยๆ ใช้ผ้าห่มห่อร่างของตนไว้ ทันใดนั้นเขาพลันยื่นมือออกมากอดทั้งนางและผ้าห่มไว้ในอ้อมอกแน่น จนนางรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา

 

 

“…ขอโทษด้วย” เขาเอาใบหน้าฝังลงไปในกลุ่มผมของนาง “ขอโทษด้วย”

 

 

องค์หญิงมังกรของเขา กระทั่งกระบี่ไม้ยังจับไม่ค่อยมั่นเลย แต่ว่าเขากลับให้นางลงมาที่โลกเบื้องล่างนี้เพียงลำพัง ให้นางต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ ฉุนจวินที่เอวราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกชั่วร้ายและความคิดฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่งในหัวใจส่วนลึกของเขาได้ จึงส่งเสียงออกมาแล้วสั่นไหวน้อยๆ