ร่างบอบบางและอ่อนนุ่มในอกค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางขดตัวอยู่บนร่างเขาราวกับร่างไร้กระดูก
ฝูชางก้มหน้าลงจุมพิตที่หน้าผากนาง องค์หญิงมังกรเงยหน้าขึ้น แววตากระจ่างใสทว่ามุ่งมั่นจับจ้องมองเขา แววตาเช่นนี้ของนางมอบให้เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เขากลับเชื่อในปฏิภาณไหวพริบและความเจ้าเล่ห์ที่นางมักใช้เป็นปกติมากเกินไป จนคิดไปราวกับว่าในโลกนี้นอกจากเขาแล้วจะไม่มีใครสามารถทำร้ายนางได้
เขาปัดผมที่ปรกหน้านางออกด้วยความระมัดระวังราวกับสูญเสียนางไปและเพิ่งได้กลับคืนมาอย่างนั้น เขาพรมจูบไล้ลงไปจากข้างแก้ม ตรงนั้นก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยเลือด แต่ยังดีที่ไม่ใช่เลือดนาง เลือดนั้นแฝงไปด้วยไอเพลิงและไม้ เป็นเลือดของตระกูลชิงหยาง
ตอนนี้เขาไม่อยากจะไปคิดว่านางกับเซ่าอี๋มีเรื่องทะเลาะบาดหมางอะไรกัน ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะคลั่งจนเป็นบ้าเพราะความคิดจะฆ่าฟันจริงๆ แน่ นางอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว
ฝูชางพลันกอดนางไว้แน่น เขาประคองใบหน้านางเอาไว้ แล้วจุมพิตไล่จากใบหูจนไปถึงริมฝีปาก แม้ว่าเขาจะเรียกสายฝนมาชำระล้างหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่บนร่างนางก็ยังคงมีกลิ่นเลือดของตระกูลชิงหยางอยู่ดี กลิ่นอายของหงส์ฟ้าเก้าสวรรค์โดดเด่นมากเกินไป และกลิ่นอายนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเป็นปรปักษ์อย่างมาก จากนั้นหยุดนิ่งอยู่ที่สันกรามของนางจนทำให้นางต้องอ้าปากออก แล้วเขาก็ใช้กลิ่นอายของตนกลบทับลงไป
องค์หญิงมังกรของเขา เป็นของเขาผู้เดียวเท่านั้น
เสวียนอี่รู้สึกว่าตัวนางสั่นเทิ้มขึ้นมาอีกแล้ว นางเกือบจะถูกเขาบีบรัดจนแตกสลายอยู่ในผ้าห่มแล้ว ห่างกันมาสองหมื่นกว่าปี เทพบุตรที่เคยเย็นชาบริสุทธิ์ในวันวานมิได้หลบเลี่ยงและควบคุมอารมณ์ของตนดังเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว เขาบีบคั้นนางเข้ามาทีละก้าว การตามติดพันเขาของนางแต่ก่อนนั้นหากเป็นเสมือนเถาวัลย์ที่นุ่มนวลบอบบาง ตัวเขาก็คือพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงที่ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
นางอยากดิ้นรนขัดขืน แต่ทว่าขาของนางกลับเหมือนถูกดูดให้จมลงไปในหลุมลึก ไม่ว่าอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด ผ้าห่มบนร่างแทบจะถูกดึงทึ้งจนร่วงลงไปแล้ว แขนของเขาแทบจะรัดเอวนางจนหัก เขารีบร้อนปัดผมยาวของนางไปไว้ข้างหนึ่ง จากนั้นริมฝีปากที่ร้อนจัดก็เลื่อนไล้จากคอลงไปถึงส่วนเว้าตรงกระดูกไหปลาร้าแล้วถึงย้อนกลับขึ้นมา
เสวียนอี่พลันก้มหน้าลงไป หน้าผากของนางยันอยู่กับแผงอกของเขา หัวใจเขาเต้นรัวราวกับเสียงกลอง สะเทือนอยู่ในหูนาง นางรู้สึกราวกับตัวนางใกล้จะถูกสุราพิษชำแรกผ่านผิวกายเข้ามาแล้ว ทั้งๆ ที่ศีรษะนางยันเขาไว้และกำลังต่อต้านอยู่ แต่แขนทั้งสองข้างกลับยื่นออกไปเกี่ยวรอบคอเขาเอาไว้
ฝูชางจับแขนเรียวเนียนนุ่มของนางไว้มั่น แล้วก้มหน้าลงละเลียดขบเม้มบนนั้น นางจั๊กจี้จนหัวเราะออกมาพร้อมกับรีบหลบ ผ้าห่มบนร่างนางร่วงลงไปแล้ว ผิวขาวราวกับหิมะเนียนเรียบเกลี้ยงเกลาราวกับกระเบื้องเคลือบตกอยู่ในกำมือเขา
เสวียนอี่กอดเขาเอาไว้ พยายามเอาร่างของตนแนบชิดลงไปเพื่อหลบซ่อน “…ห้ามมอง”
ฝ่ามือของฝูชางกดลงไปบนแผ่นหลังเนียนละเอียดเปลือยเปล่าของนาง เขาจุมพิตลงไปที่กระหม่อมของนาง “มองเห็นหมดแล้ว”
“มารยาทของตระกูลหวาซวีท่านเล่า”
“ลืมแล้ว”
รู้สึกได้ว่ามือของเขาลูบไล้ไปตามซี่โครงกำลังจะไล่มาถึงด้านหน้า เสวียนอี่รู้สึกจั๊กจี้แทบแย่ทั้งยังต้องรีบร้อนหลบหลีกเขาอีก เห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนตื่นตระหนกของนาง เพลิงโทสะในก้นบึ้งหัวใจของฝูชางเหล่านั้นกลับลดลงไปมากอย่างไม่รู้ตัว กลับกัน เขารู้สึกอยากหัวเราะออกมา นางมักจะใจกล้าอวดดีในเวลาแปลกๆ อยู่เสมอ แต่เมื่อต้องเจอกับเรื่องเหล่านี้นางกลับไม่ต่างอะไรกับหนูเลยสักนิด
เขาปลดปกเสื้อออก แล้วถอดชุดตัวนอกคลุมลงไปบนร่างของนาง ทั้งยังช่วยรัดเข็มขัดให้นางอย่างตั้งใจ แล้วยังช่วยเอาผมยาวของนางออกมาจากในชุด สติสัมปชัญญะค่อยๆ กลับมา เขาไม่ควรปล่อยตัวในเวลานี้เลยจริงๆ นางเพิ่งจะได้สติ ส่วนตัวเขาเองก็มีคำถามมากมายนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ในอก
เกรงก็แต่ว่าองค์หญิงมังกรจะไม่ยอมพูด นางมักจะเก็บเรื่องราวทุกอย่างไว้เสมอ ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา จากนั้นนางก็เริ่มบ่นงึมงำเปลี่ยนหัวข้อเรื่องอยู่ข้างหูเขา “ปราณกระบี่จำแลงมังกรของท่านแปลงได้ใหญ่ขนาดนั้น น่าประทับใจจริงๆ รัชทายาทอันดับที่สามของราชาซุ่ยหู่คือคนที่ทำให้ศิษย์พี่กู่ถิงบาดเจ็บใช่หรือไม่ ข้าช่วยสร้างกำแพงน้ำแข็งให้ท่าน เขาก็หนีไม่รอดแล้ว”
กำแพงน้ำแข็ง นางสร้างขึ้นมาสองครั้ง ครั้งสุดท้ายเพื่อขวางไม่ให้เขาทำร้ายเซ่าอี๋
แววตาของฝูชางเข้มขึ้น นางถูกบังคับหรือ เลือดบนร่างของนางคือเลือดเซ่าอี๋ เขาเองก็สังเกตเห็นว่าหน้าอกข้างขวาของเซ่าอี๋ถูกแทงทะลุเป็นแผลฉกรรจ์ ตอนที่องค์หญิงมังกรหมดสติไป มือนางกุมอยู่ที่บริเวณเดียวกันนั้นตลอด
เขาตรวจสอบนางอย่างละเอียดอยู่หลายครั้งจนแน่ใจแล้วว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน พูดตามตรง อยากจะให้ตระกูลจู๋อินบาดเจ็บเกรงว่าคงจะยากมาก แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกัน ตระกูลจู๋อินกับตระกูลชิงหยางบาดหมางกันเรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันดี นี่คือวิธีที่ตระกูลชิงหยางใช้จัดการกับตระกูลจู๋อินอย่างนั้นหรือ
เรื่องมาถึงตอนนี้ เขาหาใช่เทพที่ยังไม่โตอย่างแต่ก่อน ที่เมื่อได้เห็นองค์หญิงมังกรหยอกล้อกับเซ่าอี๋อย่างสนิทสนมแล้วจะโมโหแบบนั้นอีกแล้ว ที่เซ่าอี๋พูดถึงเรื่องอาการเจ็บที่หัวใจกำเริบทำให้เขาสนใจมาก ในใจก็เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ตอนนั้นเขากลับมาที่แดนเทพแล้วก็รีบร้อนไปที่เขาจงซาน ท่าทีเป็นทุกข์ระคนเสียดายของฉีหนานนั้น ยามนี้พอมาคิดดูแล้วก็ดูจะเศร้าหมองเกินไปหน่อย ส่วนม่านพลังของเขาจงซานที่ถูกสร้างขึ้นมากลับคงอยู่ยาวนานถึงสองหมื่นกว่าปี นี่ก็รู้สึกเกินไปหน่อยเหมือนกัน
องค์หญิงมังกรของเขา ต้องทรมานเพราะเขามาตลอดสองหมื่นกว่าปีนี้อย่างไรบ้าง
แววตาใสกระจ่างของเขามองไปที่ใบหน้าของนาง ฝูชางก้มหน้าลงแล้วจ้องมองเสวียนอี่ เขายิ้มน้อยๆ นางอยู่ตรงนี้ก็ดี คำถามที่วนเวียนอยู่ในอกของเขาไว้ครั้งหน้าค่อยถามนางแล้วกัน น้ำเสียงของเขานุ่มนวลลง “หิวหรือยัง”
เขาถามออกมา เสวียนอี่ก็รู้สึกว่าเขาเห็นนางเป็นราชสีห์โง่งมตัวนั้นที่บ้านเขา จึงส่ายหน้าทันที แล้วเอาใบหน้าซุกกับแผงอกเขา ยากนักที่นางจะไม่อยากกินอะไร นางแค่อยากให้เขาอยู่ข้างกายนางก็เท่านั้นเอง
เขาวางมือลงบนศีรษะนาง ลูบหัวนางราวกับกำลังลูบแมวลายตัวอ้วนที่โลกเบื้องล่างนั่น เขาดึงเอาวงแหวนทองที่ไหลลงมาที่บ่าออก แล้วใส่ไปในแขนเสื้อ
เจ้าหัวขโมย ขโมยวงแหวนของนางอีกแล้ว เขาติดนิสัยลักขโมยแล้วหรือ ครั้งที่แล้วยังขโมยเอาต่างหูมุกของนางไปด้วย
เสวียนอี่จับแขนเสื้อเขา กำลังจะแอบมองเข้าไปด้านใน หัวของนางพลันกระแทกกับของแข็งๆ อะไรบางอย่างที่หน้าอกเขา นางหันไปมอง ที่คอขาวเนียนของเขาห้อยสร้อยเส้นหนึ่งอยู่ และสิ่งที่เขาห้อยเอาไว้ก็คือต่างหูมุกข้างนั้นของนาง
นางใจสั่นน้อยๆ อดใจไม่ไหวเข้าไปจุมพิตลงบนต่างหูข้างนั้นเบาๆ ฝูชางกอดนางไว้แน่น เขารักการที่นางเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาเช่นนี้เป็นที่สุด เขาไม่มีทางปล่อยนางไปอีกแล้ว เขาจะประคองนางไว้ คุ้มครองนาง และซ่อนนางเอาไว้ที่หน่วยติงเหม่าอย่างนี้แหละ
ประตูห้องพลันถูกกระแทกเปิดอย่างแรง เงาร่างสีเขียวอ่อนตรงมาหน้าเตียงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า มือที่กุมกระบี่ฉุนจวินของฝูชางก็คลายออกช้าๆ
เป็นองค์ชายน้อย
เสวียนอี่เบิกตากว้าง ดวงตานางเป็นประกาย “ชิงเยี่ยน! ฆ่าเผ่ามารเสร็จแล้วหรือ”
ใบหน้าของชิงเยี่ยนเคร่งขรึมมาก เดิมเขาก็เป็นคนเย็นชามากอยู่แล้ว แต่มาวันนี้ดูแล้วกลับยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก ระหว่างที่เขาล้อมฆ่าฉินอูอยู่บังเอิญไปเจอกับรัชทายาทฉางฉินเข้า รัชทายาทจึงบอกเรื่องที่ฝูชางเผชิญหน้ากับเซ่าอี๋ให้เขาฟัง เขาแทบจะคลั่งไปแล้ว รีบพุ่งตรงกลับมาที่ฐานนักรบหน่วยเจี่ยอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะเข้าประตูมาก็เห็นน้องสาวตัวน้อยสวมชุดคลุมตัวนอกของฝูชางอยู่ เสื้อผ้าบนร่างไม่เรียบร้อยและนั่งอยู่ในอ้อมอกของฝูชาง
เขาขมวดคิ้วมุ่น ปรายตามองไปที่ฝูชาง จากนั้นจึงมองไปยังเสวียนอี่ที่ไม่มีท่าทีระวังตัวอะไรเลย คิ้วเขาจึงคลายออกช้าๆ เขามองพิจารณานางอย่างละเอียดอยู่นาน เห็นสีหน้านางยังปกติดีจึงเอ่ยออกไปว่า “…ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เสวียนอี่ยิ้ม “ไม่เป็นไรอยู่แล้ว”
ชิงเยี่ยนลอบถอนหายใจ เขาหมุนตัวหันไปประสานมือคารวะให้ฝูชาง “ขอบคุณเทพฝูชางมากที่ช่วยน้องหญิง”
ฝูชางวางเสวียนอี่ลงบนเตียงแล้วลุกขึ้นคารวะกลับด้วยท่าทีสง่างาม “องค์ชายน้อยเกรงใจไปแล้ว เป็นเรื่องที่ข้าพึงกระทำอยู่แล้ว”
…เป็นเรื่องที่ข้าพึงกระทำอยู่แล้ว
ชิงเยี่ยมมองเขาปราดหนึ่งคล้ายกำลังครุ่นคิด ตอนฝูชางลงมาตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างแดนเทพก็มีข่าวลืออยู่ แต่ทุกคนต่างพูดว่าเป็นข่าวลือ ทว่าเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ แม้ว่าฉีหนานจะไม่ยอมบอกอะไรเขาเลย แต่เขาก็พอเดาเรื่องราวคร่าวๆ ได้ ที่แผลหัวใจของน้องหญิงเขากำเริบแปดเก้าในสิบส่วนต้องเป็นเพราะเทพตระกูลหวาซวีผู้นี้แน่
หลายปีมานี้ เขามักจะรู้สึกเสียใจอยู่บ่อยครั้งว่าไม่ควรจะยุยงส่งเสริมให้เสวียนอี่ไปตามเกาะติดฝูชางอย่างนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าฝูชางจะทำให้น้องหญิงที่นิสัยประหลาดพิสดารของเขาต้องทุกข์ทรมานจนถึงขั้นนี้ แต่ว่าเขากลับยิ่งคาดไม่ถึงกว่าว่า พวกเขาทั้งสองกลับยังคงเกี่ยวข้องกันอีก ตอนนี้ดูแล้วยังดีกว่าเมื่อก่อนอีกเป็นพันเป็นหมื่นเท่า
ชิงเยี่ยนยื่นมือไปหาเสวียนอี่ “ในเมื่อตื่นแล้วก็ไปเถอะ ให้เจ้าคลำทางมาถึงที่นี่จนได้ ลงมาฆ่าเผ่ามารที่โลกเบื้องล่างยังถูกเจ้าตามมาเกาะติดแจอีก”
เสวียนอี่หัวเราะแล้วโถมร่างเข้าไปในอ้อมแขนเขา “พี่พักอยู่ที่นี่หรือ”
ชิงเยี่ยนพยักหน้าให้ฝูชางเป็นเชิงบอกลา กล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่อยู่ก็ต้องอยู่แล้ว”