บทที่ 122 จุดอ่อนในใจ

บุหลันเคียงรัก

นักรบผู้เก่งกาจของหน่วยอี่อยากจะเปลี่ยนมาอยู่หน่วยเจี่ย แน่นอนว่ารัชทายาทฉางฉินรู้สึกยินดีมาก เขาจึงรีบอนุญาตพร้อมกับมอบกระโจมที่พักนักรบของหน่วยเจี่ยแก่ชิงเยี่ยนทันทีอย่างใจกว้าง

 

 

เสวียนอี่ยังคลุมชุดคลุมนอกตัวใหญ่ของฝูชางอยู่ การแต่งกายของนางไม่เรียบร้อยนัก แต่กลับนั่งลงกินขนมบนเตียงด้วยท่วงท่าและบุคลิกที่สง่างามยิ่ง

 

 

ตอนที่ชิงเยี่ยนกลับมาก็เอาชุดนักรบสองชุดให้นาง เขานั่งลงข้างเตียงและมองสีหน้านางอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร จิตใจที่วิตกกังวลของเขาจึงวางลงได้กว่าครึ่ง

 

 

“ทำไมถึงได้ไปเจอกับตระกูลชิงหยางนั่นได้” เขาถาม

 

 

เสวียนอี่กลืนขนมลงไปแล้วเอียงคอครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจว่าจะพูดเฉพาะเรื่องสำคัญเท่านั้นออกมา “เขาบอกว่าจะให้พวกเราทำเรื่องที่ยากมากเรื่องหนึ่ง ข้าเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับทะเลหลีเฮิ่น”

 

 

ทะเลหลีเฮิ่น? ชิงเยี่ยนขมวดคิ้ว เขาเดาแผนการของเซ่าอี๋ไม่ออก เดิมเขายังกังวลว่าเป็นเพราะความบาดหมางของทั้งสองตระกูล จึงอยากจะสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลจู๋อิน แต่ใครจะรู้ว่าผ่านไปนานขนาดนี้ จนตบะของแต่ละคนก้าวหน้าไปมาก เซ่าอี๋กลับยังไม่เคลื่อนไหวอะไร เรื่องนี้จึงยิ่งทำให้เขากังวลใจมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

“แต่ก่อนทั้งสองตระกูลมีเรื่องบาดหมางอะไรกันแน่” เสวียนอี่เป่าไอร้อนจากน้ำชา ตอนนั้นหลังจากมหาเทพทั้งสองสู้กันที่ทะเลหลีเฮิ่นจบ ต่างฝ่ายต่างก็ดับสูญอยู่ภายในนั้น ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุเกิดมาจากอะไร และทั้งสองตระกูลต่างบาดหมางกันนับแต่นั้น จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการไปมาหาสู่กัน

 

 

ชิงเยี่ยนส่ายหน้า เรื่องนี้กระทั่งมหาเทพไป๋เจ๋อที่มีอายุมากที่สุดยังไม่รู้ นับประสาอะไรกับพวกเขา เขาไม่อยากให้เสวียนอี่ต้องมายุ่งยากใจกับเรื่องเหล่านี้ จึงเปลี่ยนเรื่องทันที เขามองนางด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “แล้วเจ้าทำไมถึงได้ไปตามติดกับตระกูลหวาซวีอีกแล้ว”

 

 

เสวียนอี่ทำหน้าไร้เดียงสา “ใครไปตามติดพันกับเขากัน”

 

 

หากว่านางยอมรับกลับจะไม่ดี แต่เมื่อนางปฏิเสธออกมากลับยิ่งแสดงให้เห็นว่าในใจมีเรื่องอะไรที่ไม่อยากกล่าวออกมา ชิงเยี่ยนเข้าใจนิสัยของนางดี รอยยิ้มจึงยิ่งเด่นชัดขึ้น “แต่ก่อนไม่ใช่มองว่าเขาเป็นคู่ปรับหรือ”

 

 

“ตอนนี้ไม่ถูกใจแล้ว”

 

 

ชิงเยี่ยมจิ้มลงไปที่หัวนางทีหนึ่ง “นิสัยแย่อย่างนี้ ก็มีแต่ตระกูลหวาซวีนั่นล่ะที่กำราบเจ้าได้”

 

 

เขาอยู่พูดคุยไร้สาระเป็นเพื่อนนางอยู่อีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นฟ้าเริ่มมืดแล้ว ก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู “นอนเถอะ หน่วยของเจ้า ข้าว่าคงไม่ต้องกลับไปแล้ว เจ้าลงมาโลกเบื้องล่างครั้งนี้คือลงมาเที่ยวเล่น”

 

 

อย่างไรเสียวิชาทั้งหลายก็ไร้ผลกับตระกูลจู๋อิน การลงโทษจากประกายสุริยันฟาดกระหม่อมแน่นอนว่าก็ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อเสวียนอี่ชอบฝูชาง เขาก็ต้องให้นางได้อย่างที่ต้องการ ตระกูลจู๋อินต้องสนใจกฎข้อบังคับเหล่านี้ด้วยหรือ ให้นางมีความสุขก็พอ

 

 

ชิงเยี่ยนก้าวออกไปจากกระโจมที่พักภายใต้แสงจันทร์สลัวของโลกมนุษย์ เขาเดินไปตามระเบียงคดระยะหนึ่ง ปรากฏว่ามีเทพบุตรชุดขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงราวระเบียง พอเห็นเขามา ฝูชางก็หันกลับมาแล้วพยักหน้าน้อยๆ ชิงเยี่ยนลงมือเร็วราวกับสายฟ้า รุดหน้าเข้าไปแย่งเอาฉุนจวินที่เอวเขาทันที

 

 

ราวกับคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะลงมือ ฝูชางเบี่ยงตัวหลบ ฉุนจวินก็แปลงเป็นมังกรทองตัวเล็กตัวหนึ่งบินไปมาอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี มันเร็วราวกับฟ้าแลบ และสกัดแสงหิมะของชิงเยี่ยนทุกสายเอาไว้อย่างง่ายดาย

 

 

ตระกูลหวาซวีที่วิถีกระบี่ตื่นขึ้นแล้วนั้นทั้งคล่องแคล่วว่องไว รู้หนักรู้เบา แม่นยำเฉียบคม และรุนแรงมีพลัง ชิงเยี่ยนวนเวียนไปมากับมังกรสีทองตัวเล็กนั้นหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังเข้าใกล้ฝูชางไม่ได้เสียที เขาจึงอดคิดไปถึงคำพูดแต่ก่อนที่เขาเคยกล่าวว่าจะช่วยเสวียนอี่อัดฝูชางสักครั้งขึ้นมาไม่ได้ บอกตามตรง เกรงว่าคงจะยากแล้ว

 

 

เขาค่อยๆ เก็บพลังบนร่างเข้าไป ร่อนลงบนราวระเบียงอย่างแผ่วเบา มังกรสีทองตัวเล็กนั่นเองก็แปลงกลับไปเป็นฉุนจวินแล้วกลับเข้าไปในฝักกระบี่ เทพบุตรชุดขาวที่มักจะให้ความสำคัญกับพิธีการมารยาทก็พยักหน้าเป็นเชิงทำความเคารพอีกครั้ง

 

 

ชิงเยี่ยนอดยิ้มออกมาไม่ได้

 

 

 

 

เตียงนอนของกระโจมที่พักนักรบไม่สบายเลยจริงๆ ทั้งคับแคบและแข็งกระด้าง คืนนี้เสวียนอี่ที่เคยชินกับชีวิตหรูหราสุขสบายนอนได้อย่างไม่สบายตัวนัก นางนอนขี้เกียจบนเตียงกว่าครึ่งวันยังไม่เห็นชิงเยี่ยนมา จึงได้แต่ต้องเปิดประตูออกไปเอง

 

 

พ้นจากประตูไปไม่ทันไรก็รู้สึกว่าแสงอาทิตย์บาดตานัก แต่ที่บาดตากว่านั้นคือร่างในชุดขาวที่ยืนพิงกำแพงอยู่ผู้นั้น เสวียนอี่รีบก้มหน้าลงแล้วขยี้ตาทันที รู้ว่าตานางรับแสงสว่างมากไม่ได้ก็ยังจะเอาแต่ใส่ชุดสีขาวตลอด

 

 

ทันใดนั้นนางพลันถูกลากเข้าไปและถูกอุ้มขึ้นทันที นางยื่นแขนไปคล้องคอฝูชางตามสัญชาตญาณ แล้วก้มหน้าลงเบิกตากลมโตมองเขา

 

 

ฝูชางเงยหน้าขึ้นจับจ้องมองนาง นางมักจะไม่พูดอะไรเสมอ ชอบเขานางก็ไม่พูด กระทั่งเกือบจะดับสูญไปเพราะแผลที่หัวใจกำเริบขึ้นมาเพราะเขานางก็ยังไม่ยอมพูด

 

 

แต่ว่า หากคำเหล่านี้ออกมาจากปากนาง บางทีนางก็อาจจะไม่ใช่นางแล้ว

 

 

เมื่อคืนองค์ชายน้อยบอกเขาแล้ว เขาก็ยืนอย่างโง่งมอยู่ที่ระเบียบคดเงียบๆ นอนไม่หลับไปทั้งคืน

 

 

เขานึกถึงความทรงจำที่โลกเบื้องล่างเหล่านั้น หิมะที่มักจะปูลาดเต็มลานเรือนพวกนั้น จุมพิตนั้นของเขาเป็นต้นเหตุของแผลที่หัวใจ ที่แท้นั่นไม่ใช่เพราะนางไม่รู้จักเก็บพลังเทพ แต่ว่าเพราะนางมีแผลที่หัวใจทำให้ไม่สามารถสะกดพลังไม่ให้ออกมาภายนอกได้ การเร่งเร้าบังคับของเขาและอารมณ์ความคิดที่ยังไม่โตพอทำให้เกิดเรื่องทุกอย่างขึ้น

 

 

องค์หญิงมังกรของเขากลัวความเหงา และชอบมีนิสัยประหลาดๆ ที่น่ารัก ในหัวเต็มไปด้วยแผนการต่างๆ มากมาย เขามักจะคิดในใจเสมอว่าความรักของตนมีมากกว่านางมาก เขาตามใจนางแต่ก็รู้สึกแค้นนางอยู่บ้าง ดังนั้นหลายต่อหลายครั้งเขาถึงได้บีบเค้นเร่งเร้านาง เขารู้ความชอบที่นางมีให้เขา แต่เขาไม่รู้ว่ามันมีมากเท่าไหร่กันแน่ เทพฝูชางที่เฉลียวฉลาดเสมอมาอย่างเขา เมื่อมาอยู่ต่อหน้านางกลับกลายเป็นเพียงคนป่าเถื่อนไร้สมองคนหนึ่งเท่านั้น

 

 

ฝูชางถอนหายใจเบาๆ แนบใบหน้าลงไปที่บริเวณหัวใจนาง เสียงหัวใจเต้นดังอย่างชัดเจน เขาหลับตาแน่น จินตนาการไม่ออกเลยว่าตอนที่นางใจสลายนั้นมันมีเสียงเช่นไร นึกไม่ถึงว่าเขาคือจุดอ่อนในใจของนาง

 

 

จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว

 

 

ฝูชางตบศีรษะของนางเบาๆ เด็กโง่

 

 

เสวียนอี่จ้องไปที่ไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ประดับอยู่บนรัดเกล้าหยกบนศีรษะเขาแล้วออกแรงแงะ พลางถามด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “ชิงเยี่ยนเล่า”

 

 

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงดึงสติกลับมาที่ปัจจุบันได้ “ระหว่างทางจับรัชทายาทอันดับสามไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ บังเอิญพบกับนักรบของราชาซุ่ยหู่ที่เข้ามาช่วยเหลือทำให้เขาหนีไปได้ เมื่อครู่นี้หน่วยติงเหม่าทั้งหมดต่างก็เคลื่อนไหว องค์ชายน้อยเองก็ไปแล้ว”

 

 

หนีไปแล้ว! เสวียนอี่กล่าวอย่างแปลกใจ “แล้วท่านไม่ไปหรือ”

 

 

นักรบเผ่ามารของโลกเบื้องล่างมีมากมายราวกับดวงดาวบนฟ้า เดิมหน่วยติงเหม่าไม่ต้องคอยจับตาดูรัชทายาทอันดับสามอย่างนี้ แต่ว่ารัชทายาทฉางฉินมีสัมพันธ์อันดีกับราชาบุปผา จนทุกวันนี้กู่ถิงที่บาดเจ็บหนักก็ยังไม่ได้สติ ใครก็ไม่รู้ว่าเขาจะดับสูญเมื่อไหร่ ครั้งนี้ที่บุกจับรัชทายาทอันดับสามเหมือนการแก้แค้นเสียมากกว่า กู่ถิงเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับฝูชาง วันนั้นมังกรสีทองตัวนั้นเองก็ดุดันมาก จัดการไล่ต้อนเสียรัชทายาทอันดับสามจนไม่ต่างจากสุนัขจนตรอก แล้วทำไมวันนี้เขาถึงได้อู้งานเสียเล่า

 

 

ฝูชางวางนางลง แล้วหยิบวงแหวนทองออกมาจากแขนเสื้อมาเสียบให้นาง จากนั้นถึงได้จูงมือนางออกไปด้านนอก “ข้าจะพาเจ้าไปด้วย”

 

 

เสวียนอี่ภูมิใจขึ้นมา “อยากอาศัยกำแพงน้ำแข็งข้าหรือ”

 

 

เขาหลุดยิ้ม “ใช่แล้ว ต้องให้เจ้าช่วยด้วย”

 

 

ไม่มีปัญหา นางโยนพฤติกรรมชั่วร้ายของตนอย่างการหนีทัพก่อนหน้านี้ไปจากสมองหมดแล้ว ดูสิว่านางจะจัดการแช่แข็งรัชทายาทอันดับสามให้เป็นรูปปั้นอย่างไร นางจะต้องแก้แค้นให้กู่ถิง

 

 

ออกจากกระโจมที่พักนักรบแล้ว ฝูชางก็ผิวปาก ราชสีห์เก้าเศียรรีบถลาลงมาอย่างยินดี เมื่อเห็นเสวียนอี่ ดวงตาทั้งสิบแปดของมันก็เบิกกว้าง น้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาทันที ไม่รู้เพราะดีใจหรือตกใจกันแน่ ที่คอของมันมีด้ายสีแดงแขวนราชสีห์เก้าเศียรปั้นจากหิมะตัวเล็กที่งดงามประณีตเอาไว้ เสวียนอี่เข้าไปใกล้แล้วใช้มือช้อนขึ้นมา ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ท่านยังเก็บไว้อีก”

 

 

เขาจะเก็บไว้ตลอดไป

 

 

ฝูชางอุ้มนางขึ้นไปบนหลังของราชสีห์ ราชสีห์เก้าเศียรก็รีบพุ่งเข้าไปในทะเลเมฆทันที ไล่ตามไอบริสุทธิ์ที่เหล่านักรบทิ้งเอาไว้อย่างเร่งรีบ

 

 

เสวียนอี่ปั้นหัวเสือหัวหนึ่งบนมือ นางอิงแอบซบอกเขาแล้วถามว่า “ราชาซุ่ยหูหน้าตาเป็นเช่นนี้หรือไม่”

 

 

ฝูชางยิ้มน้อยๆ ฉับพลันใบหน้าฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมาพลางส่ายหน้า “ไม่มีเผ่าเทพคนเคยเห็นร่างปีศาจของราชาซุ่ยหูมาก่อน เขาลึกลับมาก หวังว่าการไปล้อมจับรัชทายาทอันดับสามในครั้งนี้จะไม่ต้องไปปะทะกับเขาเข้า”

 

 

ราชาคนนี้ไม่เพียงจะร้ายกาจมากเท่านั้น ยังเจ้าเล่ห์มากอีกด้วย หากเขารู้ว่ามีนักรบที่เก่งกาจมาเขาก็จะไม่ยอมปรากฏตัว มหาเทพจงซานเคยเสียเวลาไปกับเขาที่โลกเบื้องล่างนี้นานถึงสามพันปี คนหนึ่งไล่คนหนึ่งหลบ สุดท้ายก็เป็นมหาเทพจงซานที่รู้สึกว่าตัวเองเสียเวลานานเกินไปจึงไม่สนใจเขาอีก แล้วไปไล่ตามฆ่าราชาคนอื่นแทน และเพราะอย่างนี้ รัชทายาทอันดับสามจึงได้ทำตัวตามใจไม่สนอะไรในช่วงหลายปีนี้

 

 

ท่ามกลางทะเลเมฆมียอดเขาสูงเด่นออกมา ราชสีห์เก้าเศียรอ้อมยอดเขาหินนั้นไป ทันใดนั้นก็ส่งเสียงร้องคำรามเบาๆ ออกมา ฝูชางหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าท่ามกลางทะเลเมฆที่อยู่ไม่ไกลนั้นมีอาชาสวรรค์สีแดงสดตัวหนึ่งหยุดอยู่ กีบเท้าทั้งสี่ของมันขาวราวหิมะ ที่หน้าผากเองก็เป็นสีขาวทั้งแถบ เขาจึงอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

 

 

เขารู้จักสัตว์พาหนะตัวนี้ นี่คือสัตว์พาหนะของฟูหลัว

 

 

ยามนี้หน่วยปิ่งอู่ควรจะอยู่ห่างออกไปหมื่นลี้ แล้วนางมาทำอะไรที่นี่กัน

 

 

ฝูชางช้อนเอาสายลมหอบหนึ่งขึ้นมาจ่อตรงจมูกพร้อมสูดดมดู เป็นกลิ่นของไอบริสุทธิ์และไอขุ่นมัวผสมปนเปกัน ก็เข้าใจทันที จึงรีบขี่ราชสีห์เก้าเศียรบินเข้าไป พร้อมกับล้วงป้ายคำสั่งออกมาจากในแขนเสื้อ เขาโยนใบ “ติงเหม่า” ที่ถูกจุดไฟเผาขึ้นไปบนฟ้า แล้วลูบศีรษะเสวียนอี่

 

 

“รอข้าอยู่ที่นี่”