องค์หญิงมังกรรีบแปลงร่างเป็นขนมหนิวผีถังทันที “ท่านจะทำอะไร ข้าก็จะไปด้วย”
…ไฉนเขาถึงลืมไปได้ว่านางไม่เคยฟังคำเขามาก่อนเลย หากจะฝืนบังคับให้นางอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่านางอาจจะแอบตามเขาไปก็ได้ ถึงตอนนั้นกลับยิ่งแย่กว่า
ฝูชางได้แต่พยักหน้า “ในเมื่อจะไป ก็ต้องคอยฟังและทำตามที่ข้าสั่ง จะทำตัวบุ่มบ่ามไม่ได้”
เขาจูงมือเสวียนอี่พร้อมท่องคาถาสร้างม่านพลังขึ้น ถึงได้ลงจากเมฆไปช้าๆ ด้านล่างเป็นสีเขียวขจี ใกล้กันนั้นยังมีภูเขาและน้ำตกด้วย บนใบไม้สีเขียวมีสีม่วงอมดำปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง นั่นก็เพราะมันดูดซับหมอกปีศาจเข้าไปมากนั่นเอง เสียงพูดคุยขาดๆ หายๆ ดังมาจากใต้เงาไม้
“…ใจกล้าไม่เบาเลย หากให้บรรดาสหายเจ้ารู้เรื่องเข้า เกรงว่าการลงโทษของแดนเทพคงทำให้ร่างบอบบางอ่อนนุ่มของเจ้าแตกเป็นลายแน่”
เป็นเสียงของรัชทายาทอันดับสาม เสวียนอี่มองไปยังหมอกปีศาจที่ก่อตัวอยู่บนใบไม้ มันกำลังพันรัดและผสมกับไอบริสุทธิ์
เสียงหัวเราะแผ่วเบาที่นุ่มนวลหยาดเยิ้มของหญิงสาวที่ฟังแล้วคุ้นหูดังขึ้น “ใครจะลงโทษข้าลง มีแต่คนร้ายกาจอย่างเจ้านี่แหละที่ทำให้ข้าเป็นอย่างนี้ได้ ร่างข้าถูกเจ้ารัดแน่นเสียจนม่วงหมดแล้ว เจ้ามันใจร้ายเสียจริง”
เสวียนอี่เอียงคอครุ่นคิด ปรกติแล้วนางไม่ได้รู้จักเผ่าเทพมากนัก แต่เสียงที่ได้ยินกลับฟังดูคุ้นหูมาก นี่คือเสียงของ…ฟูหลัว นางเข้าใจขึ้นมาทันที ที่แท้สัตว์พาหนะนั่นก็คือของฟูหลัว ศิษย์พี่หญิงที่ใจกล้าคนนี้กลับกำลังติดพันอยู่กับรัชทายาทอันดับสาม นี่ถึงได้ทำให้กู่ถิงโมโห จนกระทั่งเกิดเรื่องอย่างการที่หน่วยติงเหม่ามาไล่ล่ารัชทายาทอันดับสามอย่างตอนนี้ขึ้น มิน่าพอฝูชางเห็นสัตว์พาหนะนั่นแล้วถึงได้จะลงมา
ใบไม้หนาทึบบดบังสายตาเอาไว้ นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กระจกน้ำแข็งวงกลมบานใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า แล้วสะท้อนภาพของใต้เงาไม้ไกลๆ นั่นบนกระจก ฝูชางรีบออกแรงบีบนางไปทีหนึ่งพร้อมใช้สายตากล่าวตักเตือนนาง
ไม่ใช่ว่าจะจับรัชทายาทอันดับสามหรอกหรือ เสวียนอี่ไม่สนใจเขา มองไปที่กระจกน้ำแข็ง แล้วนางจึงเห็นว่า ฟูหลัวเสื้อผ้าผมเผ้าไม่เรียบร้อยและกำลังขดตัวอยู่ในอกของรัชทายาทอันดับสาม ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันเสียงเบา
ผ่านไปสองหมื่นกว่าปีแล้ว องค์หญิงแห่งเขาถูเซียงผู้นี้กลับมีรูปโฉมงามหยาดเยิ้มบาดตาเสียยิ่งกว่าตอนที่อยู่ตำหนักหมิงซิ่งอีก ชุดนักรบสีดำบนร่างของเทพธิดาองค์อื่นต่างดูธรรมดาทั่วไป แต่เมื่ออยู่บนร่างของนางแล้วกลับยิ่งขับเน้นผิวขาวราวกับหิมะของนาง งดงามยากจะหาใครเทียบได้ อืม ท่าทางอย่างนี้ของนางยังงดงามยิ่งกว่าเหยียนสยามาก มิน่ากู่ถิงถึงได้ลืมนางไม่ได้
แขนซ้ายของรัชทายาทอันดับสามว่างเปล่า เขาใช้เพียงแขนขวาโอบนางเอาไว้ ร่างกายเขาสูงใหญ่ ร่างสูงเพรียวของฟูหลัวเมื่ออยู่ในอ้อมอกเขาแล้วกลับไม่ต่างอะไรกับลูกแมวตัวน้อยเลย เขาถามว่า “ครั้งที่แล้วเทพตัวน้อยที่มาท้าทายข้าคนนั้นคือใคร เจ้าคงไม่ได้มีอะไรกับเขาหรอกนะ”
ฟูหลัวคลี่ยิ้มงาม “ตัวเจ้าเองก็ไม่ใช่เอาแต่คอยตามเทพธิดาสาวหรือ วางใจเถอะ ในใจข้าไม่มีใครเทียบเจ้าได้”
รัชทายาทอันดับสามกล่าวเสียงเย็น “ของที่ข้าอยากได้ ก็ต้องเป็นของข้าตลอดไป หากเป็นของที่ข้าไม่ต้องการแล้ว แม้ทำลายจนเสียหายไปแล้ว ก็ยังไม่ให้คนอื่นได้แตะต้อง”
ฟูหลัวกล่าวเสียงเบา “เจ้าดุอย่างนี้ ทำข้าตกใจหมดแล้ว”
รัชทายาทอันดับสามลูบศีรษะนาง น้ำเสียงนุ่มนวลลง “เบื้องบนเบื้องล่างทั้งเทพธิดาและปีศาจสาวของทั้งสองโลก ดูแล้วผู้ที่จะมีรูปโฉมงดงามและรู้จักรักรู้จักทำตัวน่าค้นหาอย่างเจ้ามีไม่มากเลยจริงๆ วางใจเถอะ ข้าทำใจฆ่าเจ้าไม่ลงหรอก”
ฟูหลัวยิ้มแล้วลุกขึ้นจากอกเขาพร้อมกับจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “ข้าควรกลับไปแล้ว เจ้าเองก็รีบไปเถอะ ทุกวันนี้หน่วยติงเหม่าทั้งหมดต่างก็เคลื่อนไหวแล้ว พวกเขาจะต้องพยายามจับเจ้าอย่างเต็มกำลังแน่ ระวังตัวอย่าให้ถูกจับได้เสียล่ะ”
ไม่ดีแล้ว รัชทายาทอันกับสามกำลังจะไปแล้ว หากเขาใช้หมอกปีศาจขึ้นมา ก็จะรู้ทันทีว่าพวกเขาหลบอยู่ไม่ไกล ฝูชางขมวดคิ้วแล้วกดเสวียนอี่ลงกับพื้น “รออยู่ที่นี่ อย่าขยับ”
ฝูชางชักฉุนจวินออกจากฝัก มังกรสีทองตัวน้อยพุ่งออกมาเร็วปานฟ้าแลบแล้วกลายเป็นมังกรสีทองขนาดใหญ่ รัชทายาทอันดับสามไม่ทันได้หลบ ก็ถูกมันกัดเข้าให้หนึ่งที ซ้ำยังถูกลากไปตามพื้นไปไกลถึงหลายสิบจั้งอีก เขาร้องโหยหวนออกมา พลังรักษาบาดแผลราวกับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่อเผชิญกับมังกรทองตรงหน้านี้ ส่วนที่ถูกกัดเจ็บมากยิ่งกว่าเลือดไหลออกมาจากหัวใจเสียอีก มังกรสีทองตัวนี้ถึงจะใหญ่มาก แต่กลับรวดเร็วอย่างน่าประหลาด จะหลบมันให้พ้นยังกินแรงมากทีเดียว
รัชทายาทอันดับสามคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว หมอกปีศาจพวยพุ่งออกมาทันใด หอกยาวสีดำขนาดใหญ่มากมายตกลงมาราวกับห่าฝน เขาจับหอกเล่มหนึ่งไว้มั่นแล้วสู้ติดพันอยู่กับมังกรสีทองฉวัดเฉวียนไปมาจนยากจะแยกจากกันได้ ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นนักรบในชุดขาวที่ยืนอยู่ไกลๆ เขากัดฟันแน่นจนแทบแตกด้วยความแค้น แขนซ้ายของเขาก็ถูกเทพนักรบผู้นี้ตัดขาดไปพอดี
เขาซัดหอกในมือไปหาฝูชางสุดแรง ฝูชางกลับไม่ได้หลบ และปล่อยให้หอกนั้นปะทะเข้ากับม่านพลังจนแตกกระจาย เขาท่องคาถา มังกรสีทองขนาดใหญ่พลันกลายเป็นแสงสีทองกว่าหมื่นสายแล้วพุ่งเข้าหารัชทายาทอันดับสามจากทั่วทุกสารทิศ
เสวียนอี่มองดูอย่างได้อรรถรส ทันใดนั้นฟูหลัวก็แอบลอบเข้ามาในร่มไม้ เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดจะหลบหนีไป
จริงๆ แล้วนางก็ไม่ได้เกลียดอะไรศิษย์พี่หญิงคนนี้นักหรอก ยังออกจะนับถือนางเสียด้วยซ้ำ แต่ว่านางชอบกู่ถิงมากกว่า เขาบาดเจ็บหนักเป็นอันตรายถึงชีวิตมาถึงตอนนี้ ฟูหลัวกลับไม่เคยไปดูเขาเลยสักครั้ง ดูแล้วไม่ค่อยดีนัก
เกล็ดหิมะเบาบางร่วงลงมา ฟูหลัวยังไม่ทันจะขี่ลมบินขึ้นไปก็ถูกแช่แข็งไว้กับที่เสียแล้ว
เสวียนอี่หัวเราะคิกแล้วลอยเข้าไปพร้อมกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “ศิษย์พี่หญิง ท่านรอครู่หนึ่งก่อน พอจับรัชทายาทอันดับสามแล้ว ข้าจะพาท่านกลับไปดูศิษย์พี่กู่ถิง”
สีหน้าของฟูหลัวเขียวคล้ำขึ้นมา นางจ้องหน้าเสวียนอี่อยู่นานถึงได้นึกออกว่านางคือองค์หญิงตระกูลจู๋อิน อดกล่าวเสียงเข้มออกมาไม่ได้ “เจ้าที่ถนัดกับการลงมือกับสหายร่วมสำนักเช่นนี้ ไม่กลัวถูกลงโทษบ้างหรือไร?!”
เสวียนอี่ส่ายหัว “ไม่กลัว”
ฟูหลัวนึกขึ้นได้ว่าตระกูลจู๋อินนั้นไม่กลัววิชาใดๆ การลงโทษของแดนเทพไม่เคยทำอะไรพวกเขาได้มาก่อน ก็พลันหมดอารมณ์ทันที
รัชทายาทอันดับสามตรงข้ามสู้อยู่กับปราณกระบี่แปลงอยู่นาน ร่างเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด เขามีใจคิดอยากจะเข้าไปใกล้ฝูชาง แต่ว่าปราณกระบี่ของตระกูลหวาซวีรวดเร็วมาก จนทำให้เขาไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย เขาคิดในใจอยู่ว่าจะใช้หอกยาวแทงทะลุเขาเสีย แต่ทว่าม่านพลังของตระกูลหวาซวีก็แน่นหนามาก ตัวเขาไม่อยากเผยร่างปีศาจออกมานัก ร่างปีศาจใหญ่โตเกินไป จะต้องดึงดูดนักรบที่ร้ายกาจเข้ามาแน่
รัชทายาทอันดับสามโมโหมาก จู่ๆ ก็ก้าวถอยไปด้านหลัง หมอกปีศาจปกคลุมรอบกายเขาก่อนที่เขาจะแปลงกายเป็นลมเย็นตั้งท่าจะหนีไป
ทันใดนั้นเมื่อเขาหันกลับไปพลันปะทะเข้ากับกำแพงน้ำแข็งที่มองไม่เห็นเข้า ท้องฟ้ามืดลงกะทันหัน เกล็ดหิมะตกลงมาอย่างหนัก รัชทายาทอันดับสามกลิ้งไปมาบนพื้นอยู่หลายตลบ และถูกแช่แข็งเอาไว้อย่างแน่นหนา เหลือเพียงดวงตาที่ยังกะพริบตาปริบๆ ได้เท่านั้น ไม่นานก็เห็นเทพธิดาในชุดนักรบสีแดงสดองค์หนึ่งเดินออกมาจากเงาไม้ นางมีรูปร่างบอบบางอรชร วงแหวนสีทองแวววาวเป็นประกายอยู่บนเรือนผมของนาง นางก็คือเทพธิดาน้อยที่คราวก่อนทำร้ายเขาจนต้องตัดแขนซ้ายหนีไปผู้นั้น
เขาเบิกตากว้างขึ้นมา ที่แท้ก็ตระกูลจู๋อิน มิน่า
“ก็ต้องพึ่งข้าอยู่ดีสินะ” เสวียนอี่มีท่าทีภูมิใจ
ฝูชางปรายตามองนาง ดูแล้วคงจะหวังให้นางยอมฟังแล้วเป็นเด็กดีรออยู่ที่ใดที่หนึ่งไม่ได้ เขาเชื่อนางเกินไปจริงๆ
เขาโยนโซ่คล้องปีศาจและคาถาชาดสีแดงไปมัดรัชทายาทอันดับที่สามไว้ แล้วจึงดึงเขาขึ้นมาจากพื้น แต่กลับได้ยินเขาเอ่ยปากกล่าวว่า “องค์หญิงตระกูลจู๋อินทางนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่ได้เป็นคนมาสู้กับข้า”
เสวียนอี่มองเขาแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าหน้าตาขี้เหร่ ข้าไม่อยากทุบเจ้า”
รัชทายาทอันดับสามโมโหจนตัวสั่น “ไม่ช้าก็เร็ว สักวันข้าจะต้องจับเจ้าเปลื้องผ้าแล้วกดลงพื้น…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ ปากก็ถูกคาถาชาดสีแดงรัดไว้แน่น มังกรสีทองม้วนตัวรัดร่างเขาไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ฝูชางมองไปรอบๆ แล้วสายตาก็มองไปที่ร่างของเสวียนอี่ “เจ้าจับฟูหลัวไปไว้ที่ไหนแล้ว”
ก่อนหน้านี้นางลอบแช่แข็งฟูหลัวไว้นั้น เขาเห็นชัดเจนเลย
“ข้าพานางกลับไปดูศิษย์พี่กู่ถิง” เสวียนอี่กระดิกนิ้ว ฟูหลัวที่ถูกแช่แข็งไว้ก็ลอยออกมาจากป่า
ฝูชางทั้งรู้สึกขันทั้งรู้สึกแย่ เขาถอนหายใจแล้วเดินเข้าไป “เจ้าแน่ใจว่ากู่ถิงอยากจะเจอนาง”
“ไม่แน่ว่าหากได้เจอนาง เขาอาจจะฟื้นขึ้นมาก็ได้” เสวียนอี่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปได้
ได้สติขึ้นมาแล้วคิดว่าคงโมโหเสียจนดับสูญไปเลยแน่ ฝูชางมองไปที่ฟูหลัว ใบหน้านางเต็มไปด้วยน้ำตา นางมองมาที่เขาด้วยสายตาวิงวอนขอร้อง แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “น้องฝูชาง…ปล่อยข้าไปเถอะ…ขอร้องเจ้าแล้ว”
น้องฝูชาง? เสวียนอี่ ได้ยินคำเรียกนี้เข้าก็พลันรู้สึกขันขึ้นมา นางกำลังจะหัวเราะออกมากลับถูกเขาใช้ปลายนิ้วเคาะเข้าที่หัว สายตาเขาเบนไปจากฟูหลัวแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “รอให้หน่วยติงเหม่ามาก่อน หากท่านมีอะไรจะพูดก็กลับไปพูดกับฝ่ายอาญาของประตูสวรรค์ทิศใต้เถอะ”