บทที่ 124 โทษของการหลงระเริงเสเพล (ตอนกลาง)

บุหลันเคียงรัก

ฟูหลัวกล่าวสะอื้นเสียงอ่อนว่า “เห็นแก่ที่พวกเรารู้จักกันมานานหลายปี น้องฝูชาง ข้ายังไม่เคยทำผิดอะไรกับเจ้ามาก่อน ทั้งยังทำดีกับเจ้าตั้งมากมาย แต่เจ้าไม่ยินดีรับไว้ ข้าเองก็ไม่ได้ไปตามตอแยเจ้าอีก ข้ารู้ว่าข้าทำไม่ดีกับกู่ถิง แต่ว่าข้าไม่ได้ทำไม่ดีอะไรกับพวกเจ้า ข้ากับเขาต่างยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย เจ้าจะปล่อยข้าไปสักครั้งได้ไหม”

 

 

พูดอย่างนี้…เสวียนอี่อดมองนางอีกครั้งไม่ได้ ที่แท้นางคิดจะล่อลวงฝูชางจริงๆ เสียด้วย นางพลันรู้สึกว่ากู่ถิงยิ่งน่าสงสารขึ้นมาอีกหลายพันเท่า

 

 

ฝูชางหันหลังให้ “โทษของการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและทำตามอำเภอใจคือการลงโทษด้วยประกายสุริยันฟาดกระหม่อม และโทษของการไปยุ่งเกี่ยวกับเผ่ามารก็คือการลงโทษด้วยแส้สามร้อยครั้ง”

 

 

ยามนี้ไม่ใช่เวลาปกติ แต่ก่อนการที่เหล่าเทพลงมาโลกเบื้องล่างเพื่อมาระเริงเล่นกันกับเผ่าปีศาจถือเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว การกระทำนี้ของฟูหลัวถือว่าใจกล้ามากทีเดียว บทลงโทษทั้งสองอย่างนี้ เกรงว่าอย่างน้อยคงต้องผ่านไปถึงพันปี นางถึงจะสามารถลงจากเตียงได้

 

 

ฟูหลัววิงวอนอยู่นานแต่เขากลับไม่ยอมอ่อนให้ นางจึงได้แต่ร้องไห้ราวกับอกจะแตกเสียให้ได้ สิ่งที่เสวียนอี่ทนไม่ได้ที่สุดก็คือการต้องฟังเสียงเทพธิดาสาวร่ำไห้ จึงดีดนิ้ว ดีดนางกลับเข้าไปในป่าใหม่อีกครั้ง เห็นน้ำตกดุจมังกรสีเงินบนหน้าผาตรงหน้า นางก็ปูผ้าเช็ดหน้าลงที่พื้นแล้วนั่งลงไปบนนั้นพร้อมกับชมทิวทัศน์รอบด้านไป

 

 

“นักรบหน่วยติงเหม่าจะมากันเมื่อไหร่” นางถามอย่างเบื่อหน่าย

 

 

ฝูชางย่อตัวลงข้างกายนาง คิดว่านางคงจะยังไม่ชินกับชุดนักรบที่สวมใส่อยู่นัก จึงผูกสายรัดเสื้อทั้งสองสายตรงคอเสื้อพลาดไป เขาจึงจัดการผูกให้นางเสียใหม่ พร้อมกล่าวว่า “ยังต้องอีกสักพัก”

 

 

เห็นนางใช้ดวงตากระจ่างนั่นมองมาที่ใบหน้าเขา ก็อดถามออกไปไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ”

 

 

เสวียนอี่คิด ‘ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวล่อลวงท่านอย่างไร’

 

 

ฝูชางขมวดคิ้ว “…อะไร”

 

 

“ไม่มีอะไร” เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อปิดปากแล้วกลั้นหาวพร้อมกล่าวว่า” ข้าหิวแล้ว”

 

 

ฝูชางไม่รู้ควรจะโกรธหรือหัวเราะดี เขาวางมือลงไปบนศีรษะนางแล้วจับโยกไปมาเบาๆ “ข้าจำไม่ได้ เพราะไม่เคยสนใจ”

 

 

เสวียนอี่ก้มหน้าลงไปเกี่ยวเอาไข่มุกบนฝักกระบี่ฉุนจวิน ลมค่อยๆ พัดแรงขึ้น ผมยาวของนางถูกลมพัดเสียจนปรกลงมาเต็มใบหน้า

 

 

วันนี้ชุดนักรบบนร่างของนางเป็นสีแดงร้อนแรงดุจเปลวไฟ น้อยนักที่จะได้เห็นนางสวมใส่เสื้อผ้าสีร้อนแรงเช่นนี้ เพราะว่าใบหน้านางขาวซีด เมื่อสวมชุดสีสดอย่างนี้กลับจะยิ่งทำให้ดูน่าหลงใหลกว่าปกติ อยู่เล็กน้อย ฝูชางอดไม่ไหวใช้ปลายนิ้วลูบไล้ข้างแก้มของนางแล้วจับปอยผมที่ติดหน้าอยู่ขึ้นมา

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ ระวังหน่อย โลกเบื้องล่างมีเผ่ามารอยู่มาก” เขากล่าวเสียงอ่อนโยน

 

 

เสวียนอี่ลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นบนร่าง นางรู้สึกว่าลมตรงหน้าผาแรงขึ้นเรื่อยๆ นางหรี่ตาลงมองขึ้นไปบนฟ้า ฟ้าสว่างปลอดโปร่ง ไม่มีหมอกปีศาจ นางหันกลับไปมองรัชทายาทอันดับสาม เขานอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกราวกับเนื้อตาย แต่ว่าในใจนางกลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีนักอยู่ตลอด

 

 

ฝูชางยิ่งมีท่าทีระแวดระวังยิ่งกว่านาง มังกรทองที่รัดร่างรัชทายาทอันดับสามเอาไว้พลันกลับไปขดตัวรอบกายปกป้องทั้งสองไว้ภายใน เขากางม่านพลังแล้วหรี่ตามองไปรอบด้าน ทันใดนั้นได้ยินเสียงคำรามดังมาสนั่นหวั่นไหว “เทพน้อยสองตน! หึ!”

 

 

ฝูชางคว้าเสวียนอี่ที่นิ่งอึ้งไปแล้วเอาไว้ แล้วขี่สายลมเหาะขึ้นไปทันทีท ทันใดนั้นเองหอกสีดำสนิทขนาดใหญ่มากมายก็ทำลายภูเขาจนแตกสลายไป เสวี่ยนอี่งอนิ้ว ฟูหลัวที่ถูกหิมะตระกูลจู๋อินแช่แข็งไว้กับรัชทายาทอันดับสามก็ลอยมาข้างกายทันที นางอ้าปากเป่าลมหายใจออกมา ฟ้าพลันมืดลงทันใด ลมพายุพัดโหมกระหน่ำ รัศมีในระยะหนึ่งร้อยลี้เต็มไปด้วยหิมะอย่างรวดเร็ว

 

 

เสียงนั้นเจือแววประหลาดใจอยู่บ้าง “มีตระกูลจู๋อินตัวน้อยอยู่!”

 

 

แทบจะในพริบตา เสียงนั้นกลับหลบออกไปนอกหิมะแล้วดังขึ้นมาอย่างเนิบนาบว่า “ข้าจะดูสิว่าหิมะนี้ของเจ้าจะอยู่ได้นานแค่ไหน!”

 

 

เร็วขนาดนี้เลย! สีหน้าเสวียนอี่เปลี่ยนไปทันที

 

 

มังกรทองยิ่งเร็วกว่า พริบตาเดียวก็บุกมาถึงต้นเสียง จากนั้นเกิดเสียง “ตูม” ป่าแถบนั้นกลายเป็นฝุ่นผงไปในพริบตา เงาร่างหนึ่งหลบพ้นการไล่โจมตีของมังกรทองไปได้อย่างคล่องแคล่วบนท้องฟ้า แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “วิถีกระบี่ตระกูลหวาซวี! ดูอายุพวกเจ้ายังไม่มากนัก ยังไม่ถึงช่วงเวลาหลับใหลหมื่นปี ไม่สามารถใช้ปราณกระบี่จำแลงฟ้าดินได้ เจ้าทำร้ายข้าไม่ได้หรอก! อย่าคิดว่าข้าจะเป็นเหมือนฟู่เฉวี่ยนเจ้าไร้ประโยชน์นั่น!”

 

 

แล้วก็เห็นลมที่คมกริบสายหนึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีใส่ ฝูชางเอี้ยวตัวฝืนหลบไปได้ เมื่อครู่นี้เขามองเห็นชัดว่าเขาถูกหอกสีดำขนาดใหญ่พุ่งฝ่าพายุหิมะผ่านรัศมีร้อยลี้เข้ามา แต่มันกลับยังมีอานุภาพมหาศาลเท่าเดิม

 

 

ร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้ เกรงว่าคงจะเจอกับราชาซุ่ยหู่เข้าเสียแล้ว ฝูชางจับเสวียนอี่ไว้แน่น “อย่าใช้พลังเทพฟุ่มเฟือย”

 

 

ราชาซุ่ยหู่ขึ้นชื่อในเรื่องความเจ้าเล่ห์เพทุบาย มักชอบใช้วิธีการลอบโจมตี เขาจะต้องมั่นใจเสียก่อนว่าได้เปรียบแน่นอนถึงจะยอมโจมตีซึ่งหน้า ตอนนั้นที่พวกเขาประชุมกันที่แดนเทพเรื่องการฆ่าเขาทุกคนต่างก็เค้นสมองคิดวิธีกันจนปวดหัว ครั้งนี้เขาจับรัชทายาทอันดับสามได้โดยลำพังก็เป็นไปได้แล้วก็ต้องเตรียมตัวแล้วว่าอาจจะต้องปะทะกับราชาซุ่ยหู่ รัชทายาทอันดับสามผู้นี้คือผู้ที่ราชาซุ่ยหู่รักและเอ็นดู คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอเข้าจริงๆ

 

 

หากว่าเขามาเพียงลำพังก็ยังพอจะลองสู้ดูสักครั้งได้ แต่ว่าเมื่อองค์หญิงมังกรอยู่ด้วย เขาไม่มีทางยอมให้นางต้องตกอยู่ในอันตรายแน่

 

 

เสียงลมคมกริบพัดมาจากด้านหลัง ฝูชางพลิกตัวหลบการโจมตีจากหอกสีดำสนิทไป ทันใดนั้นรอบกายพลันมืดลงหลายเท่า แสงเทียนจุดหนึ่งก่อตัวบนฝ่ามือของเสวียนอี่ แสงเทียนนี้แม้จะเล็กจ้อยรำไรยิ่ง แต่ว่ามันกลับเสมือนเปลวเพลิงลุกโชนอยู่บนท้องฟ้า ท้องฟ้าที่มืดมิดมีเพียงแสงสว่างสลัวรางจากแสงเทียนเท่านั้นที่นำความสว่างมาให้

 

 

หอกยาวมากมายที่ไล่ตามโจมตีอยู่ต่างตกลงไปบนพื้น ราชาซุ่ยหู่มองไปยังความมืดสนิทนั่นและซัดหอกยาวมากมายออกไปอีกครั้งแต่ก็ไร้ผล คิดไม่ถึงว่าตระกูลจู๋อินตัวน้อยนี้กลับมีพลังมืดจู๋อินมากถึงขนาดนี้ เขาแค่นเสียงเย็น และรีบหลบพลังมืดจู๋อินที่รุนแรงนั่นไป

 

 

พลันได้ยินเสียงของรัชทายาทอันดับสามดังมาจากความมืดว่า “ท่านพ่อ! อย่าฆ่าตระกูลจู๋อินคนนี้! ข้าอยากจะเล่นนางให้พังเสียก่อนแล้วค่อยมาฉีกนางทีละชิ้นๆ !”

 

 

ราชาซุ่ยหู่โมโหขึ้นมาทันที “เจ้ามันหาเรื่องเองทั้งนั้น! ยังเอาแต่คิดเรื่องหมกมุ่นอีก! คิดว่ารับมือกับตระกูลจู๋อินกันได้ง่ายๆ หรือ! หุบปาก!”

 

 

ท่ามกลางความมืดมิดขนาดยื่นนิ้วทั้งห้าออกไปยังมองไม่เห็นนั้น ฝูชางคว้ารัชทายาทอันดับสามเข้ามา คาถาสีแดงชาดที่ปากเขาถูกกัดจนสลายไปแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เขากล่าววาจาโสมมอะไรออกมาอีก เขาจึงร่ายคาถาห้ามพูดออกไปจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ มังกรสีทองตัวน้อยเป็นประกายทองอร่ามก็ลอบมุดออกไปนอกความมืดจู๋อิน

 

 

เสวียนอี่ประคองเปลวเทียนเอาไว้แล้วย่อตัวนั่งลง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “หากว่าเปลวเพลิงดับลง ก็หมายถึงพลังเทพของข้าหมดเกลี้ยงแล้ว”

 

 

ปลดปล่อยพลังความมืดจู๋อินอย่างเต็มกำลังสิ้นเปลืองพลังเทพที่สุด แต่ก็เป็นวิธีการบำเพ็ญตบะที่เห็นได้บ่อยที่สุดของตระกูลจู๋อิน ตอนแรกเริ่มพลังความมืดจู๋อินของนางคงอยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ตอนนี้กลับสามารถคงอยู่ได้นานถึงประมาณหนึ่งวัน แต่ว่าโลกเบื้องล่างไอขุ่นมัวหนาแน่น ไม่ทันจะใช้เวลาเท่าไหร่นางก็รู้สึกล้ามากแล้ว

 

 

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง มังกรทองก็ค่อยๆ มุดผ่านความมืดจู๋อินเข้ามาช้าๆ ฝูชางเข้ามากางแขนกอดนางเอาไว้แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “สลายพลังมืดจู๋อินไปเสีย”

 

 

ความมืดสนิทลดหายไปจนหมดราวกับคลื่นน้ำ เสวียนอี่รู้สึกว่าเบื้องหน้าเต็มไปด้วยสีทองสว่าง ดวงตาของนางเกือบจะบอดแล้ว จึงรีบปิดหน้าไว้ทันที นางคิดว่านางควรจะต้องเอาอย่างเทพีวั่งซูที่หาอะไรมาปิดตาไว้บ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นดวงตาที่น่าสงสารของนางคู่นี้ไม่ช้าก็เร็วคงได้บอดสนิทแน่

 

 

ข้างหูมีเสียงสายลมหวีดแหลมจากหอกยาวที่ซัดมาดังขึ้นอีกครั้ง ฝูชางกลับไม่หลบอีกแล้ว เสวียนอี่จึงคว้าแขนเขาแน่นอย่างอดไม่ได้ “ถ้าไม่หลบจะตายนะ”

 

 

คนธรรมดาเท่านั้นที่จะเรียกว่าตาย เผ่าเทพมีแต่ดับสูญ ฝูชางไม่มีแรงจะไปเตือนนางเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานที่เขาเตือนนางไปนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เมื่อสองหมื่นสามพันปีก่อนอีกแล้ว หอกยาวมากมายปะทะเข้ากับแสงสีทองและถูกดีดกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว อาศัยช่วงเวลาที่ราชาซุ่ยหู่รีบร้อนเข้ามาหลังจากพลังมืดจู๋อินถอยออกไปและต้องมาเจอเข้ากับแสงสว่างสีทองเต็มท้องฟ้าอย่างนี้ เขาได้แต่ต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

 

นี่คือปราญกระบี่เทพจำแลงของตระกูลหวาซวี ตอนนั้นราชาก้งกงนั่นสามารถชนให้เสาสวรรค์แตกสลายไปได้ กระนั้นกลับยังไม่สามารถทำให้ปราณกระบี่เทพจำแลงของมหาเทพบูรพารุ่นก่อนสลายได้ เพราะอย่างนี้จึงถูกมหาเทพหลายคนเจาะกะโหลกจนทะลุและกระดูกแตกจนต้องตายอย่างนั้น

 

 

เดิมเขาคิดจะว่าจัดการเทพตัวน้อยทั้งสองนี้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วเอาตัวรัชทายาทอันดับสามไป แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าคนหนึ่งคือตระกูลจู๋อินอีกคนกลับเป็นตระกูลหวาซวี พวกเขาทั้งสองถ่วงเวลาอย่างนี้ จะต้องกำลังรอกองหนุนแน่ เกรงว่าเขาคงจะเสียเวลาอย่างนี้อีกไม่ได้ เขาจึงรีบตะโดนเสียงดังว่า “อู๋เอ๋อร์ทนไว้ก่อน! ไว้บิดาจะมาช่วยเจ้าใหม่วันหลัง!”

 

 

ราชาซุ่ยหู่หมุนตัวอยากจะกลายเป็นลมเยือกเย็นหนีไป แต่ว่าทันใดนั้นพลันมีเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าถล่มดังขึ้นหลายครั้งจากที่ไกลๆ ไอบริสุทธิ์ครอบคลุมลงมาจากเหนือศีรษะเขาราวกับตาข่าย ราชาซุ่ยหู่ลอบคิดในใจว่าไม่ได้การแล้ว รัชทายาทฉางฉินมาแล้ว! เขารีบหนีไปอีกทางหนึ่งทันที แต่ใครจะรู้ว่านักรบของหน่วยติงเหม่ากลับถาโถมมาจากทั่วทุกสารทิศ พายุหิมะรุนแรงโหมกระหน่ำลงมา กลับยังมีตระกูลจู๋อินอีกหนึ่ง!

 

 

ไม่ว่าจะซ้ายขวาหน้าหลังก็หนีไปไหนไม่พ้น ราชาซุ่ยหู่จึงได้แต่ต้องหนีลงไปใต้ดิน รัชทายาทฉางฉินจะยอมให้เขาหนีเสียที่ไหน เสียงกู่ฉิน[1]ดังขึ้น พื้นดินที่ทลายลงมากลายเป็นทะเลเพลิงทันที ราชาซุ่ยหู่โมโหมากและม้วนกลิ้งไปที่พื้น เขาปรากฏร่างปีศาจที่แท้จริงของตนออกมาแล้วคำรามเสียงดังสนั่น คิดว่าน่าจะกำลังเรียกเหล่านักรบของตนเอง

 

 

 

 

 

 

[1]กู่ฉิน : พิณโบราณ เครื่องดนตรีจีนโบราณประเภทเครื่องสายของจีน โดยมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4000 ปีแล้ว เสียงของมันจะอ่อนหวานและทุ่มต่ำ ถูกยกเป็นเครื่องดนตรีของชนชั้นสูงหรือนักปราชญ์เท่านั้น และในสังคมโบราณ ถือว่าเป็น 1 ใน 4 ศิลปะขั้นสูงของจีน ซึ่งก็คือ พิณ หมาก อักษร และภาพ ด้วย