ดวงตาของเสวียนอี่ยังคงเจ็บปวดเพราะปราณกระบี่เทพจำแลงอยู่ นางใช้แขนเสื้อปิดดวงตาเอาไว้แล้วรีบร้อนกระโดดผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ร่างปีศาจที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ใบหน้าของฝูชางเต็มไปด้วยเหงื่อ แสงสีทองเต็มฟ้ากลายเป็นฉุนจวินแล้วกลับเข้าไปในฝักกระบี่ เสวียนอี่ปล่อยแขนเสื้อลงแล้วคลึงนวดดวงตาอย่างแรง จากนั้นก็เห็นหมอกปีศาจสีม่วงอมดำกำลังปะทะกับแสงรัศมีเทพอย่างรุนแรง เสือสีดำสนิทขนาดมหึมาตัวหนึ่งกำลังสู้อยู่กับเหล่านักรบหน่วยติงเหม่าท่ามกลางพายุหิมะที่ตกอย่างหนัก ความเร็วของเขาช้าลงมาก แต่กลับยังไม่ได้ถูกแช่แข็ง เห็นได้ชัดว่าตบะของมันสูงส่งลึกล้ำกว่าชิงเยี่ยนมาก สมแล้วที่เป็นถึงหนึ่งในราชาของเผ่าปีศาจโบราณสิบแปดเผ่า
นางมองอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจพลางกล่าวอย่างผิดหวังว่า “อัปลักษณ์จริงๆ ”
ทำให้นางต้องผิดหวังแล้วต้องขอโทษจริงๆ ฝูชางอยากจะหัวเราะออกมา แต่ร่างกลับอ่อนยวบลงไป พลันมีมือสองข้างมาประคองเขาเอาไว้ ดวงตาใสกระจ่างขององค์หญิงมังกรปรากฏขึ้นเบื้องหน้าในสายตาเขาแล้วจ้องเขานิ่ง “…ท่านเป็นอะไร”
พลังเทพหมดเกลี้ยงแล้ว ฝูชางอยากจะกล่าวออกมา แต่กลับหน้ามืดแล้วหมดสติไป
เสวียนอี่ยกร่างเขาขึ้นแล้วตรวจสอบร่างเขาซ้ายขวาหน้าหลังอย่างละเอียด ที่หลังเขามีรอยแผลยาวหนึ่งสายไม่ได้ลึกมากนัก แต่ว่ากลับมีไอขุ่นมัวสีดำมากมายพุ่งออกมาไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่ามีครึ่งหนึ่งที่เขาหลบหอกไม่พ้น
ฟูหลัวที่ถูกแช่แข็งด้านหลังยังคงร้องไห้กระซิกๆ ออกมา ร้องเสียจนนางรำคาญจึงดีดนิ้วหนึ่งครั้ง มังกรน้ำแข็งขนาดใหญ่ตัวหนึ่งเข้าไปม้วนรอบตัวฟูหลัวเอาไว้ นางถูกแช่แข็งและหมดสติลงไปในทันที
ลมพัดกระหน่ำรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หมอกปีศาจที่มาใหม่มากมายมารวมกันที่ขอบฟ้า คิดว่าเหล่านักรบของราชาซุ่ยหู่น่าจะตามมากันแล้ว เสวียนอี่ปล่อยพลังมืดจู๋อินออกไป พายุหิมะมากมายก็ครอบคลุมเต็มพื้นที่ไปหมด เหล่านักรบเผ่ามารที่รีบร้อนตามมาไม่ทันได้ป้องกันจึงถูกแช่แข็งอยู่กับที่ทันที ดูแล้วช่างน่าขันนัก
ถ้าหากว่าทำให้ราชาซุ่ยหู่ถูกแช่แข็งไว้กับที่ได้ด้วยก็คงดี เสวียนอี่ยกฝูชางขึ้นแล้วถอนหายใจ
เพราะการต่อสู้กันกับราชา ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้บรรดาหน่วยของมหาเทพมากมายใกล้ๆ นี้ต่างรู้สึกตัว เห็นหน่วยติงเหม่ากำลังต่อสู้กับราชาซุ่ยหู่ที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันตนนั้น เหล่ามหาเทพก็รีบลงมือเข้าช่วยเหลือทันที
การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลายาวนานถึงสองเดือนตามเวลาของโลกเบื้องล่าง ผลสุดท้ายคือสามารถฆ่าราชาซุ่ยหู่และจับเป็นรัชทายาทอันดับสามได้ ตอนที่ชิงเยี่ยนพานักรบรีบร้อนตามมา เสวียนอี่ก็ไม่อยู่แล้ว เหลือไว้เพียงมังกรน้ำแข็งขนาดใหญ่ทิ้งไว้ที่เดิม รัชทายาทอันดับสามที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนานอนอยู่บนหลังของมันโดยหน้าคว่ำลงกับพื้น บนร่างยังมีกระดาษขาววางเอาไว้ด้วย
ชิงเยี่ยนหยิบกระดาษขึ้นมาดู บนนั้นเขียนไว้ด้วยอักษรหวัดๆ บรรทัดหนึ่งว่า ‘ข้าส่งฟูหลัวกลับไปดูกู่ถิงที่แดนเทพ อีกไม่นานจะกลับมา’
เขามึนงงไปทันที ฟูหลัวคือใคร แล้วกู่ถิงคือใคร
เหล่านักรบอีกด้าน ก็ลากรัชทายาทอันดับสามมาแล้วพลันร้องขึ้นอย่างตกใจ “ผมของรัชทายาทอันดับสามทำไมถึงได้กลายเป็นอย่างนี้!”
ชิงเยี่ยนก้มหน้าลงไปมองแล้วพลันหัวเราะออกมาเสียงดัง รัชทายาทอันดับที่สามที่น่าสงสาร ด้านหลังศีรษะถูกโกนเสียโล้น น้องหญิงตัวน้อยที่นิสัยแปลกประหลาดของเขา ฝูชางใช้พลังเทพไปจนหมด โทสะในใจนางไม่มีที่ระบาย เลยได้แต่มาลงกับผมของรัชทายาทอันดับสามอย่างนี้
การสังหารราชาซุ่ยหู่ที่เจ้าแผนการมากที่สุดได้ทำให้เหล่าเทพทั้งหลายตื่นเต้นกันไปหลายวัน เดิมในแผนการของมหาเทพไป๋เจ๋อนั้น ราชาคนนี้จะต้องเก็บไว้ฆ่าท้ายที่สุด คิดไม่ถึงว่าเพราะความหมกมุ่นในโลกีย์ของรัชทายาทอันดับสาม กลับทำให้เหล่าเทพได้โอกาสถอนเอาหนามอันใหญ่ที่แทงใจอยู่ออกมาได้
ส่วนที่เสวียนอี่ลงมือแช่แข็งเหล่านักรบของราชาซุ่ยหู่ได้ ก็ถือว่าเป็นคุณความดี เทพดาราไคหยางจึงยอมเอาความดีของนาง มาหักลบกับโทษที่นางออกไปจากหน่วยอี่อี่ไฮ่ ไม่ยกให้ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ประกายสุริยันฟาดกระหม่อมไม่ได้มีผลอะไรกับตระกูลจู๋อิน ไปล่วงเกินตระกูลจู๋อินคนหนึ่ง ยังสู้ปล่อยนางไปตามใจไม่ได้ อย่างน้อยนางก็มีประโยชน์มากกับการฆ่าเผ่ามารจริงๆ
ตอนที่กลับมายังตำหนักอวี้หวา โลกเบื้องล่างก็ผ่านไปแล้วหลายเดือน แต่ทว่าใบไม้สีเขียวสลับแดงของต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงบนแดนเทพกลับยังร่วงไม่หมด เสวียนอี่เดินตามต้นอู๋ถงไปทีละต้นๆ เพื่อไปยังเรือนหลัก ด้านหลังมีฟูหลัวที่ร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสารตามมา น่าตายนักที่ตอนนี้แดนเทพแทบจะออกไปฆ่าเผ่ามารทั้งหมด ในตำหนักอวี้หวาจึงแทบจะไม่มีใครอยู่เลย ไม่อย่างนั้นหากว่าให้เหล่านักรบเห็นตระกูลจู๋อินรังแกสหายร่วมสำนักอย่างนี้ น่าจะมีใครออกหน้ามาช่วยนางบ้าง
“ไม่ต้องร้องแล้ว” เสวียนอี่ถอนหายใจแล้วหันกลับไปปรายตามองนาง “ไม่อย่างนั้นอีกสักครู่เมื่อเจอกับศิษย์พี่กู่ถิงเข้า ท่านจะไม่มีแรงร้องไห้เอานะ”
ใครจะรู้ว่านางได้ยินอย่างนี้เข้า กลับร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม
โทษที่ฟูหลัวแอบไปข้องเกี่ยวกับเผ่ามารและหนีไปจากหน่วยปิ่งอู่โดยพลการถูกตัดสินลงมาแล้ว เพราะเสวียนอี่ไม่ยอมคลายหิมะจู๋อินให้นาง และดึงดันจะลากนางไปดูกู่ถิงให้ได้ เทพของหน่วยอาญาจึงจนปัญญา และได้แต่ต้องยอมให้นางพาฟูหลัวมาที่เรือนหลักนี้
เสวียนอี่ขมวดคิ้วอย่างอดทนอดกลั้นแล้วลากเอาฟูหลัวเดินเข้าไปในเรือนหลัก เพิ่งจะผลักประตูเข้าไปเหยียนสยาที่อยู่ภายในก็ร้อง “อ๋า” ออกมาแล้วผุดลุกขึ้นยืน ทำให้เสวียนอี่ประหลาดใจมาก “ศิษย์พี่หญิงเหยียนสยาไม่ได้ลงไปโลกเบื้องล่างหรือ”
เหยียนสยาหน้าแดงแล้วก้มหน้าลงเล่นนิ้วมือตนเอง “ข้า ข้าลามา…ข้าอยากจะคอยอยู่ดูแลศิษย์พี่กู่ถิง”
ครั้นนางเห็นฟูหลัวที่อยู่หลังเสวียนอี่สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที และพบว่านางกลับถูกแช่แข็งเอาไว้อย่างแน่นหนาจึงชะงักไป “นี่คือ…”
เสวียนอี่งอนิ้วเข้ามา ฟูหลัวก็ลอยละล่องเข้ามา “ข้าพาศิษย์พี่หญิงฟูหลัวมาเยี่ยมศิษย์พี่กู่ถิง เขาได้สติแล้วหรือยัง”
เหยียนสยามีสีหน้าซับซ้อน “เมื่อวานนนี้ได้สติมาครั้งหนึ่งแล้วหลับไปอีก…ศิษย์น้องเล็ก เจ้าแน่ใจว่าศิษย์พี่กู่ถิงจะอยาก อยากเห็นนางหรือ…”
“คิดว่าน่าจะใช่”
เสวียนอี่เข้าไปมองดูรูที่หลังของกู่ถิงใกล้ๆ ไอขุ่นมัวน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้บ้างแล้ว สีหน้าก็ไม่ได้ย่ำแย่อย่างแต่ก่อนอีก แต่ว่าก็เพราะอย่างนี้ อาการเจ็บที่หลังจึงเริ่มทรมานเขา ต่อให้กำลังหลับใหลสีหน้าของกู่ถิงก็ยังคงแสดงความอดกลั้นต่อความเจ็บปวดอยู่และเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
ฟูหลัวเห็นเขาบาดเจ็บขนาดนี้กลับไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่นางกลับจับจ้องไปยังแผลที่หลังของเขาอย่างนิ่งงัน ข้างหมอนมีเศษผ้าคาดเอวลายดอกจวินอิ่งที่ถูกกำจนฉีกขาดวางไว้ เขาไม่ได้ถือมันไว้ในมืออีก
เหยียนสยาจ้องนางอยู่นานด้วยน้ำตานองหน้า เห็นนางไม่พูดอะไรสักคำก็กระทืบเท้าเร่าๆ อย่างอดไม่ได้ “เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ เจ้าทำร้ายศิษย์พี่กู่ถิงจนบาดเจ็บขนาดนี้!”
ไม่รอให้ฟูหลัวเอ่ยปาก กู่ถิงที่นอนอยู่บนที่นอนพลันครางฮือออกมาแล้วค่อยๆ เปิดตาช้าๆ สายตาเขามองไปที่เหยียนสยาที่อยู่ข้างกายก่อน ไม่นานก็มองไปยังฟูหลัวที่อยู่ตรงหน้า เขาจ้องนางอยู่นาน แต่กลับไม่ได้กล่าวอะไร แต่เพียงคลำข้างหมอนอย่างยากลำบากแล้วกุมเศษผ้าคาดเอวดอกจวินอิ่งนั่นไว้พร้อมกับโยนไปที่เท้านางเบาๆ
“เจ้าไปเถอะ” เสียงของเขาแหบแห้ง
ฟูหลัวน้ำตาไหลพราก กัดริมฝีปากแน่น แต่ก็ยังไม่กล่าวอะไรออกมา กระทั่งเทพของหน่วยอาญาเข้ามาเสวียนอี่จึงยอมคลายหิมะจู๋อินให้ นางหยิบเอาเศษผ้าคาดเอวนั่นขึ้นมาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “กู่ถิง ขอโทษด้วย”
ไม่มีคำตอบรับอะไรทั้งนั้น เหล่าเทพคุมตัวนางออกไปจากเรือนหลัก กู่ถิงหอบหายใจแรงอยู่บนเตียงอยู่นาน แล้วแววตาก็จ้องไปที่เสวียนอี่ ไม่รู้เขาโมโหหรือหน่ายใจ “…เจ้ามารตัวน้อยนี่…เป็นเจ้าใช่ไหมที่พานางมา”
เสวียนอี่พยักหน้า
กู่ถิงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ามีนิสัยอย่างไรกันแน่…ทำไมเจ้าถึงอยู่แดนเทพได้ ไม่ใช่ว่าถูกสั่งให้ลงไปฆ่าเผ่ามารหรือ”
เสวียนอี่กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้ามาดูท่าน”
กู่ถิงหลับตาลง “เจ้านี่นะ…ช่างน่าตกใจเสียจริง…ฝูชางล่ะ”
เสวียนอี่กำลังจะกล่าวออกมา กู่ถิงพลันไอออกมา ใบหน้ามีเหงื่อผุดพราย เหยียนสยาเอาผ้าเช็ดหน้าของนางออกมาเช็ดให้เขา ในแววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นนุ่มนวลและรักใคร่
เสวียนอี่จึงลุกขึ้นยืน “ข้าไปแล้ว ไว้มีเวลาจะมาหาท่านใหม่”
ใครจะรู้ว่ากู่ถิงพลันตื่นเต้นขึ้นมา “ฝูชางเป็นอะไร”
เหยียนสยารีบร้อนอธิบายทันที “ศิษย์น้องฝูชางใช้พลังเทพจนหมด ยังคงนอนหลับอยู่ที่วังเทพบูรพา เกรงว่าช่วงนี้คงยังไม่ตื่นขึ้นมา”
กู่ถิงถอนหายใจ เจ้ามารตัวน้อย พูดก็ไม่ยอมพูดให้จบ ทำเขาตกใจจนเกือบหมดสติไปอีกครั้ง เขากำลังคิดจะรวบรวมกำลังเตรียมจะแสดงอารมณ์ไม่พอใจตลอดสองหมื่นกว่าปีนี้ออกมาและตำหนินางให้หนักเสียหน่อย เสวียนอี่กลับเผ่นหนีออกไปนานแล้ว