วังเทพบูรพาในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมไปด้วยแสงสีทองอร่าม เนินสีเขียวขจีในฤดูร้อนเหล่านั้นล้วนแต่กลายเป็นทิวทัศน์สีสันสดใสละลานตาไปแล้ว
บนบันไดมีใบไม้ตกลงมามากมาย เพราะเขาไท่ซานมักจะมีฝนตกอยู่บ่อยครั้ง และอากาศชื้นมาก เมื่อรองเท้าหุ้มข้อเหยียบลงไปบนใบไม้จึงไม่ส่งเสียงดังกรอบแกรบ กลับกันมันยังอ่อนนุ่มราวกับกำลังเดินอยู่บนพรมปุยเมฆอย่างนั้น
ตลอดทางเดินไปจนถึงข้างสะพานหินสีขาว ต้นไผ่สีเขียวลำต้นหนาแน่นขนัดยังคงเขียวชอุ่มอยู่ น้ำที่เยือกเย็นหยดลงมาจนมีเสียงดังติ๋ง
ใบหน้าของเทพขุนนางที่เป็นผู้นำทางราวกับแฝงไปด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มประหลาดอยู่ตลอด เขาโค้งตัวแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงเสวียนอี่ ท่านเทพยังไม่ตื่น เกรงว่าจะต้อนรับท่านได้ไม่ดีนัก ขอองค์หญิงโปรดอย่าถือสา”
พูดไปแล้ว เทพขุนนางของตระกูลหวาซวีเองก็ใจกล้าไม่น้อย มหาเทพบูรพาไม่อยู่ที่วัง เทพฝูชางเองก็นอนหลับใหลอยู่ แต่พวกเขายังกล้าปล่อยให้นางเข้ามาอีก ไม่กลัวว่านางจะคิดไม่ดีบ้างหรืออย่างไร
คิดว่าเขาน่าจะมองอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยบนใบหน้าของเสวียนอี่ออก เทพขุนนางนำทางทำหน้าที่นี้มานานจึงเชี่ยวชาญการสังเกตอารมณ์และน้ำเสียงผู้คนมาก จึงยิ้มแล้วกล่าว “แน่นอนว่าองค์หญิงเสวียนอี่ไม่ใช่คนนอก เชิญเถอะ”
ทำไมนางถึงไม่ใช่คนนอกแล้วล่ะ ยากนักที่จะมีอะไรมาทำให้เสวียนอี่คิดไม่ตกได้ นางเข้าไปในเขตแดนเมฆา นี่คือครั้งที่สองแล้วที่นางเข้ามาในเรือนที่เป็นของฝูชาง
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ลมบริสุทธิ์สะอาด ระเบียงไม้คดยาว ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองไปตามกาลเวลา บนพื้นปูด้วยใบไม้ชั้นหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าฝูชางไม่ให้เหล่าเทพรับใช้เข้ามาในนี้ ใบไม้ที่ร่วงลงจึงไม่มีเหล่าเทพรับใช้มาเก็บกวาดให้สะอาด
เสวียนอี่พยายามเบาเสียงฝีเท้า รู้สึกแปลกๆ เหมือนกับครั้งแรกที่นางมา นางผลักประตูไม้บานที่สามแล้วยื่นหัวเข้าไปมองรอบๆ อย่างระวัง ที่นี่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก บนพื้นเต็มไปด้วยเบาะนั่ง มีเพียงชั้นหนังสือที่ใส่หนังสือจนเต็มเพิ่มเข้ามาไม่กี่อันเท่านั้น บนนั้นยังจงใจเว้นว่างไว้ชั้นหนึ่งเพื่อวางของเล่นชิ้นเล็กที่นางใช้หิมะปั้นให้เขาตอนอยู่โลกเบื้องล่างด้วย
คิดว่าพวกมันน่าจะถูกลูบคลำอยู่บ่อยครั้ง ฉุนจวินหิมะจึงดูทื่อไปบ้างแล้ว
เสวียนอี่หยิบเอาของเล่นเล็กๆ เหล่านั้นขึ้นมาดูทีละอันจนครบ นางหันหัวกลับไปมองบนโต๊ะทางตะวันออก มีกระดาษวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเป็นกอง ทั้งยังใช้ที่ทับกระดาษโลหะวางทับไว้บนนั้นด้วย บนชั้นมีพู่กันมากมายหลายแบบแขวนเอาไว้ นางหยิบที่ทับกระดาษออก แล้วมองรอยหมึกบนกระดาษเหล่านั้นทีละแผ่น นางพลิกไปๆ บนกระดาษทุกแผ่นนั่นกลับเขียนอักษรไว้เพียงคำเดียว นั่นก็คือ “หลง (มังกร) ” นางจึงเหม่อมองอยู่นางอย่างอดไม่ได้
ลมที่แฝงไปด้วยไอบริสุทธิ์พัดถูกม่านนอกที่นอน เสวียนอี่เดินเข้าไปด้วยเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่สุด นางเปิดม่านออกแล้วชะโงกหน้าเข้าไปมองด้านใน กระบี่ฉุนจวินของฝูชางวางนอนอยู่ชั้นไม้ทางทิศใต้ เสาทั้งสี่มีม่านบางๆ คลุมเตียงไว้ ม่านนั้นไม่ได้ปิดสนิท ชุดคลุมสีดำทิ้งตัวลงมาด้านล่างเตียง ฝูชางนอนตะแคงอย่างสงบ ผมยาวสีดำสนิทของเขาแผ่ไปบนหมอน เขากำลังหลับ หลับอย่างสบาย
นางเอาเบาะนั่งบางๆ มานั่งลงข้างเตียง แล้วหมอบเกาะอยู่ด้านหน้าเขาพร้อมจ้องมองใบหน้าเขา เปลือกตาปิดสนิทไม่ขยับ ริมฝีปากไม่กระดุกกระดิก ไม่เหมือนกับจะละเมอเลย เขาไม่เหมือนกับองค์ชายมนุษย์ธรรมดาที่โลกเบื้องล่างคนนั้น
นางมาแล้ว ยังไม่ตื่นอีกหรือ
นางโบกมือไปมาเบื้องหน้าของฝูชาง เขากลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบรับ
เสวียนอี่ก้มหน้าลง แล้วเป่าลมหายใจใส่ใบหน้าของเขาเบาๆ แต่เขาก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นางคลานขึ้นไปบนเตียง โคลนที่ติดใต้รองเท้ากระจายไปบนผ้าห่มของเขา ชุดสีดำบนร่างของเขาขยับเหมือนจะตกลงมา เผยให้เห็นบาดแผลใหญ่ถึงครึ่งหลังของเขา นางฉีกเอาผ้าพันแผลนั่นออกด้วยท่าทีที่ไม่ได้นุ่มนวลนักแล้วตรวจสอบดูบาดแผลอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจแล้วว่าไอขุ่นมัวไม่นานก็คงขจัดออกไปได้หมด นางก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ยังนอนอีก เขายังนอนอยู่อีก ไม่ยอมขยับสักนิด ลมหายใจเขาทั้งลึกและยาว ช่างไม่ไว้หน้านางเลยจริงๆ
เสวียนอี่นอนลงข้างกายเขา นิ้วมือก็วาดไปตามแผ่นหลังที่แข็งแกร่งของเขาเบาๆ แล้วเรียกเขาเสียงเบา “ศิษย์พี่ฝูชาง”
ไร้เสียงตอบ
นางโมโหแล้วกระเถิบศีรษะเข้าไปใกล้อีก
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตก ภายในเรือนแห่งนี้กลับนิ่งจนได้ยินเพียงเสียงลมพัดเบาๆ ผ่านต้นไม้ด้านนอกเหล่านั้นเท่านั้น เหมือนว่าฝนจะตกปรอย เสวียนอี่ค่อยๆ หลับใหลไปท่ามกลางเสียงฝนอันแผ่วเบาสบายหูนี้
นางอยู่ในเรือนนี้ถึงสองวัน ระหว่างนี้ นอกจากที่ฝูชางเปลี่ยนท่านอนแล้ว ตั้งแต่แรกจนจบเขาก็ยังเอาแต่นอนหลับอย่างเดียว พลังเทพหมดต้องนอนนานขนาดนี้เลยหรือ
เสวียนอี่พิงหัวที่ข้างเตียงแล้วใช้หิมะค่อยๆ แต่งเติมของเล่นหิมะชิ้นเล็กในมือ หลายปีมานี้พวกมันจะต้องถูกลูบคลำทุกวันเป็นแน่ พวกมันต่างเกลี้ยงลื่นหมดแล้ว นางจัดการตกแต่งรูปร่างของมันให้ประณีตงดงามใหม่
ตอนที่นางกำลังปั้นลายกลีบดอกโบตั๋นเริงระบำใหม่ให้เรียบร้อยอยู่นั้น รอยประทับสีทองที่ข้อมือของนางก็พลันสั่นไหวไม่หยุด ชิงเยี่ยนกำลังเรียกนางอยู่ น้อยครั้งนักที่เขาจะใช้วิธีนี้มาเร่งนาง
เสวียนอี่แต่งเติมของเล่นหิมะเหล่านั้นอย่างระมัดระวังและวางกลับไปบนชั้นใหม่ นางหยิบเอากระดาษสีขาวออกมาพร้อมกับเขียนตัวอักษรที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาลงไปหนึ่งบรรทัด นางหันกลับไปมองทางห้องนอนอีกครั้งแล้วจึงจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
…
รีบร้อนกลับลงมายังกระโจมที่พักนักรบหน่วยติงเหม่าของโลกเบื้องล่าง เพิ่งจะเข้าไปในค่ายกลแสงขนาดใหญ่ ก็เห็นชิงเยี่ยนกำลังยืนกอดอกพิงกำแพงรอนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเห็นเสวียนอี่มาเขาพลันถอนหายใจออกมาทันที แล้วตรงเข้ามากอดนางเอาไว้อย่างที่น้อยครั้งนักที่เขาจะทำกับนางพร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “…ยังดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
เสวียนอี่มึนงงไป “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ชิงเยี่ยนขมวดคิ้วแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เมื่อคืน นักรบของหน่วยอี่ไฮ่มาหาข้า แล้วบอกว่าท่านพ่อหายตัวไปกะทันหัน ข้าจึงนึกถึงเจ้าขึ้นมาทันที…เจ้าเพิ่งกลับมาจากแดนเทพหรือ เขาอยู่ที่เขาจงซานไหม”
มหาเทพจงซานหายตัวไป? เสวียนอี่ส่ายหัว “เขาไม่ได้อยู่ที่เขาจงซาน ประตูสวรรค์ทิศใต้เองก็ไม่มีบันทึกว่าเขาผ่านไปมา”
ชิงเยี่ยนถอนหายใจแล้วกล่าว “เรื่องนี้อย่าให้ฉีหนานรู้เลย ไม่อย่างนั้นเขาคงคลั่งแน่ เกรงว่าเขาคงจะ…ช่างเถอะอย่าเพิ่งสนใจ รอดูไปก่อน”
จริงๆ แล้วนางเองก็รู้สึกว่ามหาเทพจงซานคงจะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก ไม่รู้ว่าคราวนี้เขาไปถูกใจเทพธิดารูปโฉมงดงามคนไหนอีก แล้วก็คงจะเริ่ม “มีความรักลึกซึ้ง แต่ต้องหักห้ามเพราะกฎพิธีการ” อีกแน่ ความเป็นไปได้นี้ดูจะมีมากกว่า เวลาของโลกเบื้องล่างผ่านไปเร็ว การที่เขาหายไปหนึ่งวันจริงๆ แล้วถือว่าปกติมาก
เพราะน้องหญิงตัวน้อยไม่เป็นอะไร ชิงเยี่ยนจึงไม่กังวลใจอีก ตัวเขารู้สึกท้อแท้ใจผิดหวังกับมหาเทพจงซานมานานมากแล้ว และอีกอย่างในแผ่นดินนี้ ผู้ที่จะสามารถทำร้ายตระกูลจู๋อินได้จริงๆ แล้วมีไม่มากนัก และตัวเขายังเป็นถึงมหาเทพ หากว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ จะต้องถึงขนาดแผ่นดินถล่มภูเขาทลายแน่ แต่ในเมื่อทุกอย่างยังคงสงบอยู่ แปดเก้าในสิบส่วนคิดว่าอาการเดิมเขาน่าจะกำเริบเสียมากกว่า
ชิงเยี่ยนเห็นเสวียนอี่ขมวดคิ้วจนเป็นปม ก็ยิ้มแล้วคลึงคิ้วคลายให้นาง “ทำไมต้องไปกังวลกับเขา ไปเถอะ กลับห้องกัน เจ้าอยู่แดนเทพหลายวัน ฝูชางยังไม่ตื่นหรือ”
ส่งฟูหลัวกลับไปดูกู่ถิงอะไรกัน เขายังรู้ไม่ทันนางอีกหรือ หาข้ออ้างมากองพะเนิน จริงๆ แล้วก็แค่อยากจะกลับไปดูฝูชางเท่านั้นเอง
เสวียนอี่จงใจทำสีหน้าเรียบเฉยแล้วหันหน้าหลบไป “นอนหลับปุ๋ยอย่างกับสุกร”
ชิงเยี่ยนคิด “ปราณกระบี่เทพจำแลง กระบวนท่าสุดท้ายนั่นของเขา หากนับจากตบะและอายุของเขาแล้ว วิถีกระบี่ของตระกูลหวาซวีอย่างแปลงปราณกระบี่เป็นมังกร และแปลงปราณกระบี่เป็นกระแสคลื่นจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ว่าปราณกระบี่เทพจำแลงนั่นเสียพลังมากเกินไปหน่อย ยังดีว่าครั้งนี้เขานอนหลับไปยังเป็นการเลื่อนขั้นวิถีกระบี่ด้วย การที่เขานอนหลับนานหน่อยก็ยังถือว่าปกติ”
เสวียนอี่ยิ้มแล้วไปข่วนหน้าเขา “ทำตัวเป็นคนแก่เชียว เขาอายุมากกว่าพี่นะ”
ชิงเยี่ยนเย้าแหย่นาง “ต่อให้อายุมากกว่าข้า แต่อนาคตก็ยังเป็นน้องเขยข้าอยู่ดี และเขาก็ต้องเรียกข้าเป็นพี่ชายเขา”
น้องเขยหรือ ท่านพี่คิดมากไปแล้วจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย คิดว่ามหาเทพบูรพาน่าจะเป็นคนแรกที่ไม่ยินยอมแน่
เสวียนอี่ไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้กับเขา จึงยกเอาเรื่องของกู่ถิงและฟูหลัวออกมาแทน พูดไปได้ครึ่งหนึ่งกลับได้ยินเสียง” ตูม” ดังสนั่นมาจากด้านนอก แผ่นดินทั้งสะเทือนไปหมด เหล่านักรบในกระโจมที่พักกลับราวกับคุ้นชินกับสถานการณ์อย่างนี้กันแล้ว ทุกคนต่างพากันทอยออกมาจากในที่พักอย่างเป็นระเบียบ
แต่ว่าบนค่ายกลแสงกลับมียันต์สีแดงโลหิตอันหนึ่งลอยอยู่ มันคือสัญลักษณ์คำสั่งเรียกรวมพลที่หน่วยอี่กุ่ยเว่ย หน่วยทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างไปสามหมื่นลี้ส่งมา คิดว่ารัชทายาทฉางฉินน่าจะกำลังนอนหลับอยู่ เขาเดินอย่างรวดเร็วไปหยิบเอายันต์คำสั่งมาโดยที่เสื้อผ้ายังไม่เรียบร้อยนัก เมื่อมือสัมผัสถูกมันเข้ามันก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาย่ำแย่มากจนถึงขีดสุด “หน่วยอี่กุ่ยเว่ยไปเจอกับราชาหูเซินและราชาซางเหม่าสองตนเข้า ยันต์คำสั่งถูกส่งไปหาทุกหน่วยแล้ว”
ราชาสองตน! เผ่ามารพวกนี้คิดจะพลิกฟ้าหรืออย่างไร?!
นักรบหน่วยติงเหม่ารีบหยิบกระบี่คู่กายอย่างรวดเร็ว เดิมชิงเยี่ยนคิดจะให้เสวียนอี่อยู่ที่นี่ แต่คิดดูแล้ว ประโยคนี้สำหรับนางน่าจะไร้ความหมาย เขาจึงกล่าวว่า “ตามไปด้วยกันเถอะ ราชาทั้งสองไม่ธรรมดา ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”
ซางเหม่าเชี่ยวชาญสายฟ้าปีศาจเป็นที่สุด ส่วนหูเซินก็เชี่ยวชาญในด้านการเรียกลมเรียกฝนที่สุด นี่จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากมากแน่นอน หากว่ามีราชาตนอื่นคิดอยากจะเคลื่อนไหวอะไรด้วย ยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่เลย มหาเทพจงซานก็ดันไม่รู้หายไปไหนในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้อีก สถานการณ์กดดันเคร่งเครียดมาก
เหล่านักรบทั้งหลายต่างกายเป็นพายุมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างออกไปสามหมื่นลี้อย่างรวดเร็ว บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล มีแสงรัศมีเทพมากมายเป็นประกายไปทั่วทุกหนแห่ง แต่ละหน่วยต่างก็เริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว
กระทั่งฟ้าสาง เสวียนอี่พลันรู้สึกว่าที่ไกลๆ มีเมฆปีศาจหนาแน่นขึ้น เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นบาดหูฟาดลงมาหลายครั้งจนทำให้นางอกสั่นสะเทือน ทั่วทั้งผืนฟ้าและแผ่นดินเต็มไปด้วยคลื่นสีดำ น้ำสูงถึงสิบล้านจั้งแล้ว เหล่านักรบที่มาถึงก่อนต่างก็กำลังสู้พัวพันอยู่กับราชาซางเหม่า ราชาคนนี้มีรูปร่างคล้ายกระต่ายประหลาด ร่างของมันคล้ายกับพยัคฆ์ อัปลักษณ์มากเสียจนเสวียนอี่ทนดูไม่ไหว ปรายตามองไปไกลๆ ก็เห็นนักรบคนอื่นๆ ที่กำลังสู้ติดพันอยู่กับเหล่านักรบเผ่ามารวุ่นวายไปหมด นางพ่นลมหายใจออกไป ทันใดนั้นแผ่นดินก็ถูกน้ำแข็งปกคลุม มังกรน้ำแข็งตัวใหญ่ม้วนเอานักรบเผ่ามารนับร้อยๆ คนขึ้นไปและรัดเสียจนแตกกระจายกลายเป็นผง
ราชาหูเซินที่มีร่างขาวราวกับหิมะยืนอยู่บนยอดน้ำปีศาจ คลื่นน้ำสีดำสนิทซ้อนทับกันขึ้นไป มันถูกเขาใช้มือคว้ามันมาเป็นกลุ่มก้อนราวกับกำลังคว้าปุยนุ่น และฟาดลงไปยังเหล่าเทพอย่างแรง น้ำปีศาจกระทบพื้นดินก็กลายเป็นอ่างน้ำประหลาดที่มีกลิ่นเหม็นมาก หากไม่ระวังไปสัมผัสถูกมันเข้า เนื้อก็จะถูกกัดจนเปื่อยและเจ็บปวดมาก
รัชทายาทฉางฉินดีดพิณห้าสิบสาย และยังสั่งการลงไปอย่างมีระบบว่า “หน่วยเจี่ยไปรับมือกับเหล่านักรบของหูเซิน! หน่วยอี่ไปช่วยเหลือมหาเทพโกวเฉินรับมือกับราชาซางเหม่า!”
เมื่อกล่าวจบ พื้นดินพลันยกตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่องเหวลึกมากมายหลายสายรับเอาน้ำสีดำลงไปในนั้นทำให้ไม่สามารถโหมซัดกระหน่ำได้ มหาเทพไป๋เจ๋อกล่าวเสียงดังสนั่นด้วยน้ำเสียงมั่นคงและอ่อนเยาว์ “เปิ่นจั้วใช้ซีหลั่ง[1]แล้ว ทุกท่านไม่ต้องกังวล”
มหาเทพไป๋เจ๋อมาถึงแล้ว! เทททุกคนต่างก็กำลังเปี่ยมล้นขึ้นมาทันที มหาเทพไป๋เจ๋อเอาที่ทับกระดาษแก้วอันหนึ่งออกมาจากในอก แล้วโยนออกไปเบาๆ มันไปปรากฏเบื้องหน้าของหูเซิน เขายื่นมือออกมาจะคว้าเอาไว้ แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อกำแล้วมันกลับกลายเป็นฝุ่นผงเข้าไปในตาเขาทันที เขาเจ็บเสียจนร้องโหยหวนออกมา พร้อมดิ้นรนไปมาอยู่ในน้ำปีศาจ เหล่านักรบเข้ามาพร้อมกันอย่างอยากจะจัดการเขาเสียให้กลายเป็นชิ้นๆ
คลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าที่ทำให้พวกเขาปวดหัวกันก่อนหน้านี้นั้นถูกซีหลั่งขวางกั้นเอาไว้ได้แล้ว น้ำสูงขึ้นหนึ่งจั้ง ซีหลั่งเองก็สูงขึ้นหนึ่งจั้ง เมื่อไม่มีน้ำมาบั่นทอน สายฟ้าปีศาจของราชาซางเหม่าก็มีอานุภาพลดน้อยลงไปมาก รัชทายาทฉางฉินใช้พลังเทพออกมา พิณพลังปล่อยพลังออกไปอย่างรวดเร็วหลายสายไปรัดคอของซางเหม่าเอาไว้ พร้อมออกแรงรัดจนแน่น ทำให้ราชาตนนี้ล้มลงไปที่พื้นอย่างแรง
การต่อสู้ที่น่าตื่นตะลึงนี้ ไม่รู้ว่าทำให้มนุษย์ของโลกเบื้องล่างเหล่านี้ต้องตกใจกันขนาดไหน
เสวียนอี่พ่นหิมะไปแช่แข็งเหล่านักรบไป ก็มองรอบๆ ไปด้วยเพื่อหาร่องรอยของชิงเยี่ยน ทำไมนางถึงไม่เห็นเขาใช้พลังหิมะออกมาเลยล่ะ
เพลิงสีน้ำเงินสายหนึ่งพลันพุ่งผ่านไหล่ของนางไปราวกับดาวตก มันแทรกเข้าไปกลางหน้าผากของนักรบเผ่ามารแต่ละตน เผ่ามารที่น่าสงสารเหล่านี้ต่างก็ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมานราวกับอกจะแตกออกมา เสวียนอี่รีบใช้มืออุดหูไว้ทันที
มือหนึ่งตบลงไปที่บ่าของนางอย่างเป็นมิตร เสียงของเซ่าอี๋ดังขึ้นอย่างชัดเจนท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมทั้งหลายนี้อย่างน่าประหลาด “ปลาดุกอุยน้อย ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
—
[1]ซีหลั่ง : ดินวิเศษล้ำค่าโบราณในตำนานจีน ว่ากันว่าสามารถเติบโตได้เอง