ตอนที่ 209 โทรมาตอนนี้เลย

หยางโปขับรถแล่นมาถึงด้านข้างแม่น้ำฉางเจียง เขาโทรศัพท์หาลัวย่าวหัว

ไม่นานลัวย่าวหัวก็รีบมา ตอนที่เขามาถึงก็มองเห็นหยางโปนั่งอยู่บนก้อนหินชัน ทอดสายตาเหม่อไปไกลในแม่น้ำฉางเจียงอันเวิ้งว้าง

“เป็นอะไรไปล่ะ” ลัวย่าวหัวเดินเข้ามาแล้วก็นั่งตามลงไป

หยางโปส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”

ลัวย่าวหัวหัวเราะ “เรื่องเล็กน้อยของบ้านพวกนายนั่น ฉันก็รู้สึกหงุดหงิด นายไม่ต้องคิดมากนะ นายน่าจะมีความสุขมากสิเพราะว่านายหนีออกจากหลุมไฟนี้ไปแล้ว สำหรับนายก็เป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้วจริงๆ”

 

“ใช่หลุมไฟไหมไม่ต้องพูดถึง แต่ยังไงก็ใช้ชีวิตด้วยกันมายี่สิบปี” หยางโปถอนหายใจ

ถ้อยคำของน้าที่ได้ยินโดยบังเอิญจากในห้องพักผู้ป่วย เขาก็รู้สึกแปลกมาก “ลูกเลี้ยงก็ไม่มีประโยชน์ ในช่วงเวลาสำคัญลูกในอกก็ไม่กลับมา” ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนต่อหยางโปมาตลอด

ที่บอกว่าลูกเลี้ยงคือใคร? ที่บอกว่าลูกในอกล่ะคือคนไหน?​ ประโยคนี้ที่แท้แล้วคือการเปรียบเทียบอย่างหนึ่ง หรือว่าเป็นความจริง? หยางโปคิดไม่ตก เขาทำได้แค่โทรหาลัวย่าวหัว ขอให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ ช่วยตรวจสอบประวัติของตนกับหยางหลาง

“สถานการณ์โดยละเอียดมันเป็นยังไง?” หยางโปลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังเอ่ยถาม

“เวลานานเกินไป คนมากมายก็หาไม่เจอแล้ว แต่ฉันยังสืบมาได้ว่าในปีนั้น สามีภรรยาสกุลหยางรับอุปการะนาย!” ลัวย่าวหัวกล่าว

“มีข้อมูลความเป็นมาของฉันไหม?” หยางโปเอ่ยถามอีกครั้ง

 

“ตรวจสอบไม่เจอแล้ว รายละเอียดบอกว่าสามีภรรยาตระกูลหยางรับอุปการะนายได้ยังไง ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดเลย” ลัวย่าวหัวกล่าว

หยางโปพยักหน้าแล้วก็ไม่ได้ซักไซ้ พลันที่ได้ยินข้อมูลแบบนี้ทำให้เขาปวดใจเล็กน้อย ถึงแม้ก่อนหน้าเขาจะจินตนาการมาหลายครั้ง แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะมีอยู่จริงๆ

เงียบงันอยู่เนิ่นนาน ลัวย่าวหัวดึงแขนหยางโปข้างหนึ่ง “ไป พวกเราไปกินปลาแม่น้ำกัน!”

หยางโปหัวเราะ “นายเลี้ยงนะ!”

ลัวย่าวหัวเดินไปพลางเบ้ปาก “ขี้งกจริงๆ นายไม่เข้าใจตอนนี้เรื่องเกี่ยวกับเครื่องเคลือบลายคราม เกอเหยาของราชวงศ์ซ่งเหนือกระจายออกมาแล้ว ถ้าหากของชิ้นนั้นไม่ใช่นายเอามา ฉันก็ไม่เชื่อจริงๆ! ครั้งนี้ไปต่างประเทศก็ได้รับมามากขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าไม่ควรจะเลี้ยงฉลองสักหน่อย”

 

หยางโปยิ้มอย่างจนปัญญา เขาก็รู้เรื่องของเกอเหยาว่ามันปกปิดไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะรู้เรื่องเร็วขนาดนี้

เข้าไปนั่งในร้านอาหาร สั่งปลาแม่น้ำแล้ว หยางโปถึงค่อยคิดถึงเรื่องโรงประมูลขึ้นมาได้ “ใบอนุญาตของโรงประมูลจัดการเรียบร้อยหมดแล้วนะ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว!” ลัวย่าวหัวกล่าว “ใบอนุญาตจัดการอย่างดีที่สุด ช่วงนี้ฉันอยู่ที่ไซท์ตลอด ไซท์ต้องเหมาะสม นี่ส่งผลต่อธุรกิจมาก”

หยางโปมองไปอย่างประหลาดใจมาก “งั้นนายหาได้หรือยัง?”

“ย่านชานเมืองมีที่อยู่ไม่น้อย ฉันก็หามาหลายที่แล้ว สุดท้ายก็เลือกใกล้ๆ กับวัดฟูจื่อ เพราะว่าแถวนั้นมีตลาดของโบราณอยู่สองแห่ง” ลัวย่าวหัวกล่าว

 

หยางโปพยักหน้า “ที่นั่นไม่เลว ใกล้กับตลาดของโบราณ พูดให้ชัดก็คือมันใกล้กับพื้นที่รวมตัวกันของนักสะสม จัดตั้งโรงประมูลที่นั่น ทำให้เกิดการรวมตัวของของโบราณ ดีมากจริงๆ”

“ถ้ายังไงพวกเรามีเวลาก็ไปดูกันไหม?” ลัวย่าวหัวกล่าวเสนอ หลังจากที่ทั้งสองคนปรึกษากันแล้ว หยางโปก็ไม่เคยถามถึงอีกเลย

หยางโปพยักหน้า “ได้ งั้นพวกเรากินเสร็จแล้วก็ไปกันเลย”

ทั้งสองคนไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่นานก็กินข้าวแล้วต่างคนก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่ทางวัดฝูจื่อ

หยางโปมาถึงสถานที่ก็มองเห็นอาคารเล็กๆ สามชั้นหลังหนึ่ง เขาหันมองไปทางลัวย่าวหัว “ซื้อมาแล้วเหรอ?”

 

ลัวย่าวหัวส่ายหน้า “ถ้าหากนายควักอีกห้าสิบล้านออกมาได้ พวกเราก็จะซื้อมา”

“งั้นก็ช่างมันเถอะ!” หยางโปกล่าว เขาก็รู้สึกว่าช่องว่างของราคาสูงขึ้น แต่ว่าทุกคนก็คิดแบบนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ทำให้เกิดสถานการณ์อย่างเจ้าของรั้งไว้ไม่ยอมขาย หรือว่าโก่งราคา ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ยังไม่สู้เซ็นสัญญาระยะยาวไปเลยล่ะ

ภายในตึกมีการรีโนเวท หยางโปหันไปมองรอบหนึ่งแล้วก็เดินออกมา “ไม่เลวจริงๆ!”

 

ลัวย่าวหัวหัวเราะ “นายก็โอ้อวดอยู่ประโยคเดียว เหมือนตาลุงจริงๆ!”

หยางโปหัวเราะขึ้นมา “ถ้างั้นก็เพราะว่าเวลาที่ฉันยุ่งยังมาไม่ถึง!”

เมื่อเขากลับไปถึงพ่อหยางก็ยังไม่ฟื้นสติ แม่กับหยางหลางนั่งอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน มองเห็นหยางโปมาถึงแล้วทั้งสองคนก็หยุดลง

หยางโปก็ไม่ได้สนใจ ไม่พูดถึงเรื่องการตรวจสอบตั้งแต่แรก เขากล่าวกับแม่ว่า “แม่ แม่ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้รีบกลับไปพักผ่อนสักหน่อย ผมมาเปลี่ยนกะเย็น”

 

แม่หยางมองหยางโป สีหน้าเผยความเศร้า “แม่จะกลับไปพักที่ไหนได้?”

 

หยางโปชะงัก ในใจพลันเจ็บปวด ห้องถูกขายไปแล้วอีกเดี๋ยวก็ไม่ใช่บ้านแล้ว แม่ก็ไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ ในใจของเขาอ่อนยวบ แล้วก็คิดจะให้แม่ไปพักที่บ้านของตัวเอง เพียงแต่ตอนที่เขากำลังจะเสนอขึ้นมาก็ถูกเขาตีตกไป

หยางโปตระหนักได้อย่างชัดเจน ก่อนหน้าที่เขาจะมา แม่กับหยางหล่างคุยกันอย่างชิดเชื้อมาก บ้านก็เป็นเขาที่ซื้อมา แต่กลับเป็นหยางหลางขายออกไป ตอนนี้แม่เอ่ยปากกับเขาเรื่องบ้าน เหตุผลนี้คืออะไร? ตอนแรกเขาก็จ่ายค่ารักษาพยาบาลของพ่ออย่างยากลำบาก แล้วพวกเขาล่ะทำอะไร?

 

หยางโปมองหาที่นั่งลงไป แล้วก็ไม่ได้ตอบแม่ไป

ผ่านไปชั่วครู่แม่หยางก็ถอนหายใจเบา กล่าวกับหยางโปว่า “เสี่ยวโป ลูกคือเสาหลักของบ้านเรา เรื่องในบ้านนี้ลูกก็รู้ ร่างกายของพ่อลูกไม่ดีมาตลอด ป่วยนิดป่วยหน่อยไม่หยุด เงินก็จ่ายให้เข้าโรงพยาบาลไปมากมาย”

“เสี่ยวหลางก็เป็นแบบนี้ ทำให้หาเงินได้ก็ไม่มีหวังแล้ว ครอบครัวของพวกเราล้วนต้องพึ่งพาลูกแล้ว ต่อไปลูกต้องแบกรับภาระสักหน่อย ตอนนี้เรื่องของเสี่ยวหลางสำคัญที่สุด เขากำลังจะแต่งงานแล้ว เขาโตมาขนาดนี้แล้ว แต่งสะใภ้แล้วก็ให้แม่กับพ่อของลูกอุ้มหลานเร็วสักหน่อย!”

หยางโปขมวดคิ้วแน่น เขามองแม่ “แม่ ความหมายของแม่คือ?”

 

“เสี่ยวโป ลูกดูพี่ชายลูกตอนนี้บ้านก็ไม่มี รถก็ไม่มี เขาก็ไม่ได้มีปริญญาอะไร พวกเราก็ไม่หวังให้เขามีอนาคตสดใสอะไร แม่ว่าแบบนี้ดีไหม ลูกก็ช่วยเขาซื้อห้องในชานเมืองสักชุดเถอะ!” แม่หยางกล่าว

ในใจหยางโปโกรธจนไฟสุม “แม่ก็รู้ว่าซื้อมาอีกห้องหนึ่ง แล้วห้องก่อนนี้ไปไหนล่ะ? ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของแม่ หรือว่าลูกชายของผม ทำไมเขาจะแต่งงานขอเมียยังต้องให้ผมมาดูแล ต้องให้ผมซื้อรถซื้อบ้านให้เขาละ?”

 

กล่าวจบ หยางโปก็มองหยางหลาง “ไม่มีปริญญาอะไร แต่อย่างน้อยก็ต้องทำงานดีๆ! เอาแต่เตร็ดเตร่ในทางเลวมาตลอด ถึงแม้จะหาแฟนมาได้แล้วจะรับประกันในคุณธรรมจรรยาของอีกเขาได้ยังไง?”

หยางหล่างอดกลั้นมาตลอด เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ทนไม่ไหว “แกนับเป็นตัวอะไร? ให้แกออกเงินก็นับว่าไว้หน้าแกแล้ว แกคิดว่าตัวเองมีเงินเหม็นๆ สักหน่อยก็อวดดีขึ้นมาแล้วเหรอ? แกระคายตาฉันมานานแล้ว ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ห้ามฉันเอาไว้ เชื่อไหมว่าตอนนี้ฉันโทรเรียกคนมาจัดการแกก็ยังได้!”

หยางโปจ้องมองหยางหล่าง “งั้นก็เชิญนายโทรมาตอนนี้เลย!”

ทั้งสองคนมีสีหน้าเย็นชา จดจ้องกันและกัน ไม่มีใครยอมถอย!