ตอนที่ 223 พบเจอกับอุปสรรคก่อนที่จะเข้าเมืองหลวง

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 223 พบเจอกับอุปสรรคก่อนที่จะเข้าเมืองหลวง

ต้องการให้นางขอความช่วยเหลือจากเขางั้นเหรอ ไม่มีทางเสียหรอก!

ซูหวานหว่านหยุดการกระทำของตนเอง ปากแสยะยิ้มเอ่ยออกมาก่อนพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้ามีวิธีการที่ดี แต่เจ้าหาเรื่องผิดคนแล้ว!”

“ฮึ่ม! เจ้าดื้อด้านเกินไปแล้ว!” หูหลิวตะโกนขึ้นมา และขว้างหินใส่ซูหวานหว่านซึ่งบังเอิญตกลงตรงหน้าของนาง หญิงสาวกระโดดขึ้นไปยืนบนไม้ไผ่อันอื่นทันที หลังจากทรงตัวได้แล้ว ซูหวานหว่านก็เดินเข้าไปอยู่ตรงกลางของไม้ไผ่ ด้วยการทรงตัวอย่างมั่นคง

เมื่อหูหลิวเห็นผลลัพธ์กลายเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกสองสามก้อนแล้วปาใส่ซูหวานหว่านทั้งหมด ลูกเรือคนอื่น ๆ ต่างก็ขว้างหินใส่นางเช่นเดียวกัน ทว่าหญิงสาวกลับสามารถหลบหลีกก้อนที่ลอยใส่นางได้ทันท่วงที แต่เพราะนางคิดว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปมันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ จึงโยนไม้ไผ่ในมือของตัวเองทิ้งแล้วกระโดดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงก้อนหินสองสามก้อนอย่างชาญฉลาด และเหยียบลงบนเรือที่แล่นเข้ามาใกล้ ๆ แทน กลับกลายเป็นว่ามายืนอยู่บนคานของเรือหูหลิว และมองสบตากับเขาได้

ซูหวานหว่านอ้าปากเอ่ยคำพูดออกมา “ในเมื่อเจ้าต้องการให้ข้าขึ้นเรือ ข้าก็ได้ทำในสิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องทำในสิ่งที่ข้าต้องการด้วยใช่หรือไม่?”

ไม่รู้ว่าทำไม… แต่เมื่อมองสบตาของหญิงสาวที่มีอายุเพียงไม่กี่สิบปี เขากลับไม่พบร่องรอยของความกลัวปรากฏขึ้นภายในดวงคู่นั้นของนางเลยแม้แต่น้อย!

“นี่… นี่เจ้าต้องการจะทำอะไร!” หูหลิวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ข้าก็อยากจะทำในสิ่งที่เจ้าอยากจะทำเมื่อครู่ไงเล่า” หลังจากนั้นซูหวานหว่านก็ยกตัวเขาขึ้น และโยนลงไปในน้ำทันที!

ลูกเรือที่อยู่บนเรือก็ต่างพากันตกใจ เขาเป็นถึงรองหัวหน้าคณะของพวกเรานะ!

“รีบไปช่วยเขาเร็ว!”

“รีบไปช่วยเขาขึ้นมาจากน้ำเร็วเข้า”

“…”

เดิมทีนางสามารถฆ่าหูหลิวเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงนับได้ว่าซูหวานหว่านได้ปรานีเขาอย่างมากแล้ว

ตอนนี้ลูกเรือทุกคนกำลังชุลมุนอยู่กับการช่วยเหลือหูหลิวให้ขึ้นมาจากน้ำ หญิงสาวเดินเข้าไปและเริ่มเจาะเรือให้เป็นรูกว้าง จากนั้นก็โดดลงไปในน้ำอีกแล้วใช้ไม้ไผ่พายออกไปในทันที

หลังจากที่ขึ้นเรือมาได้ก็เห็นว่าซูหวานหว่านกำลังหนีไปอีกครั้ง เขาพลันรู้สึกโกรธและเกลียดชังนางเป็นอย่างมาก หากแต่ความโกรธของเขายิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อมีคนบอกว่า “รองหัวหน้า! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! เรือของพวกเรากำลังจะจม!”

“อะไรนะ?” หูหลิวตกใจรีบวิ่งเข้าไปดูด้วยร่างกายอันเปียกปอน และก็พบว่ามีรูขนาดใหญ่บนเรือของเขา แต่ว่ารูใหญ่ห่างจากแม่น้ำหนึ่งคืบ น้ำเลยยังไม่สามารถที่จะทำให้เรือของเขาจมได้ทันที นั่นทำให้เขาคิดว่าซูหวานหว่านเพียงแค่ส่งสัญญาณเตือนตนเองเท่านั้น

…..ว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับความตาย และซูหวานหว่านเป็นคนที่เยือกเย็นกล้าคิดกล้าทำขนาดไหน! ทว่าสิ่งนี้เอง ทำให้เขาคิดว่านางนับได้ว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีเหมาะแก่การนำมาบ่มเพาะ ดังนั้นเขาจะต้องนำตัวของนางมาให้ได้ หูหลิวกัดฟันกรอดแล้วสั่งลูกน้องของตัวเองว่า “ไปวาดรูปผู้หญิงคนนั้นมา และเมื่อพวกเรานั้นไปถึงเมืองหลวง พวกเจ้าทุกคนจะต้องออกตามจับตัวนางมาให้ข้า หากเราจับตัวนางมาได้ จะถือว่าเราตกอยู่ในกองเงินกองทองเลยก็ว่าได้!”

ในขณะนี้ ซูหวานหว่านได้เดินทางออกไปไกลแล้ว นางเลยไม่รู้ว่าตัวเองว่ากำลังตกเป็นเป้าหมายของหูหลิวอีกครั้ง

ซูหวานหว่านพายไม้ไผ่ทั้งวันทั้งคืนแบบไม่มีหยุดพัก นางใช้พลังวิเศษสอบถามจากปลาในน้ำเกี่ยวกับการเดินทางที่สามารถไปถึงเมืองหลวงให้เร็วที่สุด ก่อนในที่สุดนางจะใช้เวลาไม่ถึงสามวันเดินทางมาถึงท่าเรือให้เมืองหลวง และเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนสงสัยในการเดินทางของนาง ซูหวานหว่านจึงแอบขึ้นไปนั่งบนเรือที่กำลังจะจอดเทียบ เมื่อนางได้เดินลงเรือมาแล้วก็ต้องเดินทางต่อโดยทางบกเพื่อเข้าไปในตัวเมืองหลวง ซูหวานหว่านจัดการซื้อม้าหนึ่งตัวหนึ่งและควบขี่ม้าเข้าไปในเมืองต่อทั้งวันทั้งคืน สุดท้ายนางก็เข้าเมืองหลวงมาได้ก่อนที่ประตูเมืองจะปิดลง

เมื่อเข้ามาในเมืองหลวงก็พบว่าถนนหนทางที่นี้เจริญกว่าในหมู่บ้านชนบทของนางมาก ๆ บ้านเรือน ร้านค้าทุกหลังมีโคมแดงติดเอาไว้ราวกับมีเทศกาลรื่นเริง แม้แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ล้วนแต่เป็นผ้าไหมคุณภาพดี บริเวณเอวมีหยกห้อยเอาไว้ บนศีรษะประดับไปด้วยปิ่นปักผมและกวาน ทั้งสองมือประคองโส่วหลู*[1]ที่ถูกปุด้วยผ้าฝ้ายชั้นดี

ซูหวานหว่านรู้สึกว่าตนเป็นเหมือนหญิงชนบทเข้ามาในเมืองหลวง อีกทั้งนางก็สวมเสื้อผ้าที่ธรรมดาเท่านั้น

ตอนอยู่เมืองโจวนางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อมาถึงที่นี่นางกลับรู้สึกว่าตนเองจนมาก

ซูหวานหว่านเดินไปบนถนนอย่างไร้จุดหมายปลายทาง ทันใดนั้นท้องของนางก็เริ่มส่งเสียงร้องลั่น ตลอดระยะเวลาการเดินทางสามวันที่ผ่านมาไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องของนางเลย ซูหวานหว่านยังไม่อยากที่จะทำอาหารกินเอง ในตอนนั้นเองนางก็เหลือบเห็นร้านอาหารร้านหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล นางจึงเดินเข้าไปในร้านนั้นแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าในร้านอาหารของพวกเจ้ามีอาหารใดที่น่าสนใจบ้าง ช่วยแนะนำข้าหน่อยสิ”

ทันทีที่นางพูดจบ เด็กภายในร้านก็ใช้สายตามองสำรวจร่างกายของซูหวานหว่าน และคิดว่าซู หวานหว่านน่าจะเป็นคนรับใช้ของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เพราะว่าเสื้อผ้าที่นางสวมใส่เลอะเทอะและสกปรกมาก มีเหงื่อผุดซึมเล็กน้อยที่บริเวณหน้าผากของนาง เด็กภายในร้านคนนั้นพูดออกมาด้วยท่าทางรังเกียจ “แม่นาง อาหารขึ้นชื่อของร้านเรามีราคาถึงสิบตำลึง ถ้าเจ้าต้องกินอาหารหนึ่งชุด แน่นอนว่ามันมีราคาสูงถึงหนึ่งร้อยตำลึงเลยทีเดียว! แต่หลังจากที่มองสภาพของเจ้าแล้ว ข้าแนะนำให้เจ้าออกจากร้านไปดีกว่า”

คิดว่านางจนอย่างงั้นเหรอ นางเพียงต้องการกินอาหารชุดหนึ่งมันยากเย็นถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ซูหวานหว่านขมวดคิ้วแน่น หยิบเงินออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าเห็นนี้หรือไม่ มันคือเงิน ดังนั้นเจ้าควรจะพูดจาให้เกียรติข้าบ้างนะ!”

“นี่…”

เด็กภายในร้านหรี่ตา หยิบเงินขึ้นกัด และร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมาอย่างเจ็บปวด “นี่มันเงินปลอม เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเอาเงินปลอมออกมาใช้ ข้าไม่ขายอาหารให้เจ้าหรอกรีบไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ มิฉะนั้น… ข้าจะแจ้งทางการให้มาจับเจ้า!”

“…”

เงินของนางเป็นเงินปลอมงั้นเหรอ เหลวไหล! เงินของนางถูกนำออกมาจากร้านแลกเงิน! จะเป็นเงินปลอมได้อย่างไรกัน ซูหวานหว่านเหล่ตามองที่ข้อมือของคนใช้คนนั้นแล้วพูดจาเยาะเย้ยออกมาว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่เห็นหรือว่าเจ้าเอาเงินปลอมของตัวเองที่พันเอาไว้ที่ข้อมือของตัวเองมาสับเปลี่ยนกับเงินของข้า?”

“เจ้า!” ดวงตาของเขาเบิกกว้างจ้องมองซูหวานหว่าน คิดไม่ถึงเลยว่าซูหวานหว่านจะมองออก!

แต่ว่าเขาพยายามไม่ตื่นตระหนก! เด็กภายในร้านกลอกตาและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่นาง ข้าคิดว่าสกุลของเจ้าจะต้องเป็นคนจน และก็ยังไม่ทราบที่มาที่ไปของเงินนี่ ข้าก็แค่อยากจะเก็บมันเอาไว้ให้เจ้า เจ้าควรไสหัวออกไปจากที่นี่! หากเจ้ายังจะมาสร้างปัญหาที่นี่อยู่อีกอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”

“โอ้?” ซูหวานหว่านเหลือบมองไปที่ชายคนนั้นอย่างเย็นชาและเอ่ยเยาะเย้ยออกมาว่า “เจ้ามีความสามารถทำแบบนั้นรึ?”

“เหตุใดข้าจะไม่มี” เด็กภายในร้ายเงยหน้าขึ้นมามองสบตาหญิงสาว และตะโกนออกมาเสียงดัง “ใครก็ได้มานี่หน่อย มีใครบางคนกำลังจะมาก่อกวนสร้างปัญหาที่ร้าน! จับนางโยนออกไปนอกร้านที!”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ชายฉกรรจ์นับสิบเข้าก็เดินเข้ามาล้อมตัวซูหว่านหว่านเอาไว้ทันที เด็กรับใช้คนนั้นชี้ไปหญิงสาวและเอ่ยว่า “เป็นนาง!”

“เฮอะ!” ซูหวานหว่านหัวเราะเยาะ เมื่อนึกไปถึงป๋ายเหล่าที่ได้ให้ตราไม้ที่สามารถใช้ได้ทั่วทุกที่ไว้ให้ นางเลยหยิบมันออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าเงินที่ข้าให้เป็นเงินปลอม แล้วเหตุใดข้าถึงมีสิ่งนี้?”

“เอ่อ…” เมื่อเห็นตราไม้ในบนมือของซูหวานหว่าน อีกทั้งมันยังส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ออกมามันคือ… ไม้จันทน์!

ทุกคนที่จะมีตราไม้นี้ได้จะต้องมีเงินฝากถึงหนึ่งหมื่นตำลึง!

เขาเกิดอาการตกตะลึงและรีบตบปากของตัวเองในทันที

คุณชายและคุณหนูแห่งตระกูลใหญ่ที่นี่มีรายรับต่อเดือนเพียงแค่ยี่สิบถึงสามสิบตำลึงต่อเดือนเท่านั้น แต่แม่นางคนนี้ช่างแตกต่าง นางมีเงินถึงหนึ่งหมื่นตำลึง!

“แม่นาง… ข้าเข้าใจผิด ข้าเข้าใจผิดไปเอง!” ใบหน้าของเขาพลันซีดเผือด และพูดออกมาอย่างร้อนรนว่า “เชิญคุณหนูทางนี้!”

“อืม” ซูหวานหว่านก็พยักหน้า ชายฉกรรจ์ที่รุมล้อมนางเอาไว้แยกย้ายกันออกไป เด็กภายในร้านก็พูดแนะนำร้าน และเชิญนางเข้าไปในห้องรับประทานอาหารส่วนตัว แต่ซูหวานหว่านปฏิเสธ นางต้องการที่จะนั่งที่ริมหน้าต่าง ดังนั้นจึงมีคนมาจุดเทียนให้สักสองสามเล่ม เพื่อทำให้โต๊ะอาหารนั้นดูสว่างขึ้น ก่อนที่หญิงสาวจะเริ่มสั่งอาหารไปสักสองสามจาน

ซูหวานหว่านไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่นางมองไปที่ผู้คนที่ยืนอยู่นอกหน้าต่าง ผู้คนนอกหน้าต่างก็จะมองมายังนางเช่นกัน!

ฝั่งตรงข้ามร้านเป็นชั้นสามของโรงน้ำชา ชายร่างสูงคล้ายกับฉีเฉิงเฟิงกำลังยกชาขึ้นจิบและมองมาที่ซูหวานหว่าน เขาพูดออกมาอย่างตกใจว่า “ใครก็ได้มานี่หน่อยสิ นำภาพคู่หมั้นที่หลบหนีการแต่งงานกับองค์ชายสามออกมาให้ข้าดูหน่อย”

เขาต้องการที่จะดูว่านางเป็นผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า!

[1] 手炉 โส่วหลู เตาอุ่นมือพวกนี้มีตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าผลส้ม กลางๆ ก็ประมาณแตง ทำเป็นแบบมีหูหิ้วหรือเป็นทรงธรรมดามีฝาปิด สามารถพกติดตัว บางคนก็ใช้ซุกใส่แขนเสื้อ เลยเรียกว่า ซิ่วหลู (袖炉) หรือเตาแขนเสื้อก็มี