“มีอะไรเหรอ?” สืออวี้ถามเสี่ยวเชี่ยน เธอรู้สึกว่าตั้งแต่เสี่ยวเชี่ยนกลับเข้ามาก็ดูแปลกไป ดูเหม่อๆชอบกล

เสี่ยวเชี่ยนมองสืออวี้ด้วยแววตาที่รู้สึกผิด

เพื่อนสนิทเธอถูกคนสะกดจิตได้ง่ายๆ แถมตัวเธอที่เป็นจิตแพทย์ยังดูไม่ออก!

เมื่อวานท่าทางของสืออวี้ดูแปลกๆ เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าอาจถูกสะกดจิต แต่ทำไมสุดท้ายเธอก็ไม่ได้คิดไปทางนั้นนะ?

จะว่าไปเป็นเพราะเสี่ยวเชี่ยนไม่เชื่อว่าจะมีคนสะกดจิตได้ถึงขั้นกรอกความคิดที่ไม่ใช่ของตัวบุคคลนั้นใส่ลงไปได้ เรื่องนี้แตกต่างจากองค์ความรู้ที่เธอเคยเรียนมา มันฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ

บางทีอาจเป็นเพราะช่วงนี้เธอสบายเกินไป หรืออาจเป็นเพราะตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่เธอยังไม่เคยเจอศัตรูที่เก่งมากๆ เลยทำให้เธอมั่นใจในวิชาของตัวเองมากเกินไป และโทรศัพท์สายนั้นได้ตบหน้าเธอเข้าอย่างจัง

ผู้ชายคนนั้นบอกว่าเธอฝีมือเท่าเทียมกับเขา

หากมองจากภายนอกก็ดูเท่าเทียมดี ผู้ชายคนนั้นสะกดจิตสืออวี้ เธอดึงสืออวี้กลับมาได้ ก็เสมอกัน

แต่ถ้ามองจากวิธีที่ใช้ล่ะ?

เธอก็แค่จับพลัดจับผลูลองไปเรื่อย ถึงวิธีที่เธอใช้จะถูก แต่นั่นก็มากการที่เธอใช้เซ้นส์ของตัวเอง ไม่ได้มั่นใจฟันธงอย่างแม่นยำ! อีกทั้งครั้งนี้ก็พึ่งดวงเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าสืออวี้ไม่ได้ซื่อสัตย์กับเธออย่างจริงใจ แบบนั้นเธอก็แพ้ราบคาบ!

นั่นก็หมายความว่า ผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนั้นใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริงในการสู้กับประธานเชี่ยนที่ใช้ความสามารถของตัวเองบวกกับมิตรภาพของสืออวี้ ซึ่งมันทำให้ประธานเชี่ยนผู้ไม่เคยแพ้ใครรู้สึกไม่ยอม!

หงุดหงิดโว้ย ชาตินี้ยังไม่เคยรู้สึกอึดอัดเท่านี้มาก่อน!

พูดกันจริงๆเรื่องนี้จะโทษประธานเชี่ยนก็ไม่ได้ เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน การสะกดจิตคนจนเป็นแบบนี้มันแทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แต่กลับมีคนทำได้!

ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนแก้ทางได้ยังไง ก็เหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนเดาไม่ถูกว่าเขาสะกดจิตถึงขั้นนั้นได้ยังไง!

ดังนั้นการที่ฮวาหลีพูดว่าเสมอกันจึงไม่ถือเป็นการยกยอเสี่ยวเชี่ยนมากมาย และครั้งนี้เองเสี่ยวเชี่ยนก็พึ่งดวงมากกว่า

เสี่ยวเชี่ยนที่มั่นใจในตัวเองมาตลอดพอนึกถึงคำพูด ‘อย่าลืมความตั้งใจแรก’ ที่ผู้ชายคนนั้นพูด เธอก็กัดฟันด้วยความโกรธ

“พวกเธอออกไปรอฉันก่อน ปิดประตูให้ด้วย”

“ประธานเชี่ยน?” ทุกคนไม่เข้าใจ

“ออกไปสิ!” เสี่ยวเชี่ยนไล่ทุกคนออกไปแล้วนั่งยองมองผู้ชายที่ถูกมัดคนนั้น เธอยื่นมือไปดึงผ้าขี้ริ้วที่อุดปากเขาอยู่ออก อาการหัวเราะจนน้ำตาเล็ดในที่สุดก็ได้หยุดลงแล้ว โอ่ย ผู้หญิงพวกนี้ใจร้ายจริงๆ จั๊กจี้แบบจะเป็นจะตายโหดร้ายยิ่งกว่าโดนอัดอีก!

“ปล่อยฉันไปเถอะ อย่าใช้วิธีนี้ทรมานกันเลย” ผู้ชายคนนั้นขอร้อง

“มองตาฉัน มองฉัน” เสี่ยวเชี่ยนยอมรับว่าเธอไร้เดียงสาเกินไป

เวลานี้เธอไม่แคร์แล้วว่าคนบงการจะเป็นใคร เธอมีความแค้นอยู่เรื่องเดียว

มีสิทธิ์อะไรมาสะกดจิตเพื่อนสนิทของเธอที่แม้แต่เธอก็ดูไม่ออก เธอไม่ยอม!

เห็นๆอยู่ว่าถ้าให้พี่ใหญ่สืบจากเบอร์บ้านก็รู้แล้วว่าคนบงการเป็นใคร แต่ประธานเชี่ยนไม่ยอม! เธอก็อยากใช้วิธีสะกดจิตบ้าง!

ศาสตราจารย์หลิวเคยบอกว่า การสะกดจิตเป็นวิธีเสริมที่ช่วยในการรักษาผู้ป่วย เอาไปใช้ทำอย่างอื่นไม่ได้ แถมยังบอกอีกว่า การสะกดจิตไม่ได้วิเศษเหมือนยังที่คนนอกวงการคิด ในโทรทัศน์พูดเกินจริงทั้งนั้นที่บอกว่าสามารถสะกดคนให้ทำตามความต้องการได้ ซึ่งเสี่ยวเชี่ยนก็เคารพคำสั่งสอนของอาจารย์มาตลอด

ในการรักษาคนไข้มากมายเมื่อชาติก่อน เธอยึดเอาคำสั่งสอนของอาจารย์มาใช้เสมอ มีแค่ตอนที่ล้างแค้นให้ลูกสาวเท่านั้นที่เธอสะกดจิตหนีเจี้ยนเหรินจนเป็นบ้า แต่วิธีสุดโต่งแบบนั้นล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานที่หนีเจี้ยนเหรินมีอาการซึมเศร้าเป็นทุนเดิมเธอถึงได้ทำสำเร็จ

สามารถล้างสมองคนปกติในระยะเวลาสั้นๆ ฝีมือของคนที่เธอไม่เคยเจอหน้าคนนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ซึ่งทำให้ประธานเชี่ยนหงุดหงิดรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า

ตอนนี้เธอเลยอยากลองดู ดูซิว่าวิชาของเธอจะทำให้ผู้ชายคนนี้ยอมพูดได้หรือไม่

ถึงเสี่ยวเชี่ยนจะไม่อยากยอมรับ แต่ความเป็นจริงก็คือ เธอกำลังเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้ชายลึกลับที่โทรหาเธอคนนั้น เธอไม่ยอมที่มีคนเก่งกว่าเธอ

ผู้ชายตรงหน้าพยายามอ้อนวอน สายตามองไม้ปัดขนไก่ที่อยู่ตรงเท้าเสี่ยวเชี่ยนด้วยความหวาดกลัว ของสิ่งนี้ทำเขาทุกข์ทรมานมาก คนที่ไม่กลัวการจั๊กจี้ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของคนกลัวหรอกว่าตอนโดนเอาไม้ปัดขนไก่ลูบไปลูบมามันสยิวแค่ไหน

เสี่ยวเชี่ยนหยิบไม้ปัดขนไก่ขึ้นมาไว้ในมือ เธอเห็นแล้วว่าของสิ่งนี้ได้สร้างเงามืดขึ้นในใจของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างมาก หากมีของที่ทำให้เสียสมาธิแบบนี้อยู่ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการสะกดจิต เธอจึงจะโยนทิ้งแล้วตั้งใจสะกดจิต

แต่เขากลับคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนจะเอามันขึ้นมาจั๊กจี้เขาต่อ ในที่สุดจึงร้องไห้ยอมแพ้

“เจ๊ครับ! ผมกลัวพวกเจ๊แล้ว! ยอมแล้ว ยอมหมดทุกอย่าง! หวางไห่ฉวินประธานไห่ฉวินกรุ๊ปเป็นคนส่งผมมา ลูกชายประธานเป็นเกย์อยากขอร้องให้เจ๊ช่วยออกไปรับรองแพทย์ของปลอมให้เขา แต่ปรากฏว่าเจ๊กลับเอาเรื่องไปบอกฝ่ายหญิง ทำให้คุณชายของเราต้องยกเลิกงานแต่ง ตอนนี้ไปดูตัวก็ล้มเหลวทุกครั้งแถมท่านประธานหวางไห่ฉวินยังถูกครอบครัวฝ่ายหญิงกับพี่ใหญ่ของเจ๊ร่วมมือกันเล่นงานด้วย เสียเปรียบด้านธุรกิจมาตลอด เขาไม่ยอม อยากแก้แค้นเลยคิดวิธีนี้ขึ้นมา ตอนแรกก็จะทำให้เจ๊แพ้ตอนแข่ง ตอนนี้ต้องการทำให้เจ๊แตกคอกับเพื่อนสนิท ผมยอมหมดทุกอย่างแล้ว อย่าจั๊กจี้ผมอีกเลยนะเจ๊ครับ!”

เสี่ยวเชี่ยนโมโหจนยกไม้ปัดขนไก่ฟาดไปหนึ่งที “เฮงซวย! ใครสั่งให้พูดออกมา!”

อ๊ากกกก!

เธอยังไม่ได้สะกดจิตเลยนะ!

บ้าเอ๊ย! ทำไมพูดออกมาหมดเลยล่ะ!

แล้วแบบนี้เธอจะเปรียบเทียบการสะกดจิตกับไอ้หมอนั่นได้ยังไง!

เสี่ยวเชี่ยนโมโหมาก “พวกแกไปจ้างคนมาสะกดจิตเพื่อนฉันใช่ไหม!”

“ใช่แล้วครับ พวกเราจ้างหมอประสาทที่เก่งมากจากเมืองนอกมา เขาแซ่มู่!”

“ชื่ออะไร?”

“มู่ฮวาหลีครับเจ๊”

“XXX!” เสี่ยวเชี่ยนสบถด่าโดยไม่สนภาพลักษณ์แล้ว

ฟังดูก็รู้ว่าเป็นนามแฝง

ใครมันจะตั้งชื่อตัวเองให้เหมือนแมวหลีฮวา?

อีกอย่างเธอก็ไม่เคยได้ยินว่ามีอาจารย์เก่งๆคนไหนที่แซ่มู่

“ปล่อยผมไปเถอะนะเจ๊ ผมพูดออกไปหมดแล้ว!” ผู้ชายตรงหน้ามองไม้ปัดขนไก่ในมือเสี่ยวเชี่ยนด้วยความหวาดกลัว

เขาทำเสี่ยวเชี่ยนโมโหจนเรียกพวกหลิวเหมยเข้ามา แล้วชี้ไปที่ผู้ชายคนนั้นพลางพูดด้วยความโมโห

“จั๊กจี้ต่ออีกครึ่งชั่วโมง เยี่ยวราดเมื่อไรค่อยปล่อยกลับไป!”

“ทำม้ายยย” ผู้ชายคนนั้นร้องเสียงหลง นี่เขายอมพูดแล้วยังต้องถูกทรมานอีกเหรอ?

เสี่ยวเชี่ยนแสยะยิ้ม “เพราะแกพูดมากไง!”

อวี๋หมิงหลางเลิกงานกลับมาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นดินระเบิดที่โชยอยู่ในบ้าน

ผู้หญิงที่เป็นคนปล่อยกลิ่นนั้นกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟามองเขาด้วยท่าทางบึ้งตึง

“บอกแล้วว่าวันนี้ทุกคนมากินข้าวด้วยกัน นายก็กลับมาไวจังเนอะ”

เสี่ยวเฉียงรีบหันไปมองนาฬิกาโดยอัตโนมัติ วันนี้เขาเลิกงานตรงเวลานะ ระหว่างทางเจอคนรู้จักก็แวะคุยแค่ห้านาทีเอง ไม่น่าถึงกับทำให้เมียเขาหงุดหงิดหรอกมั้ง?

สืออวี้ หลิวเหมย ฉิวฉิว และไป๋จิ่นเล่นไพ่กันอยู่ หลังกลับมาจากร้านกาแฟประธานเชี่ยนก็เอาแต่นั่งหน้าขรึม ทุกคนรู้สึกได้ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ไม่มีใครกล้าเหยียบเข้าเขตระเบิดนี้

ตอนนี้เห็นประธานเชี่ยนพาลใส่ ทุกคนหันไปส่งสายตาแสดงความเห็นใจให้อวี๋หมิงหลาง

แบบนี้จงใจหาเรื่องชัดๆ โมโหโจ่งแจ้งขนาดนี้