“หลายร้อยปีก่อน สองตระกูลใหญ่ที่กุมอำนาจในทวีปตอนเหนือ ตระกูลตู่กับตระกูลยี่ล้วนถูกราชาแห่งความมืดบดขยี้”
“ตระกูลตู่กำลังยืนด้วยตัวคนเดียวขณะที่ตระกูลยี่ถูกทำลายล้างไปโดยราชาแห่งความมืด นามของตระกูลยี่ถูกลบหายไปจากประวัติศาสตร์”
“ตระกูลลี่คือตระกูลเดียวในแปดตระกูลที่ถูกชื่อไปจากหน้าประวัติศาสตร์!”
ซือหยูตกตะลึง ราชาแห่งความมืดจะต้องแข็งแกร่งอย่างมากแน่ ถึงเอาชนะทั้งสองตระกูลได้
และตระกูลยี่ยังถูกกวาดล้างจนสิ้น นามของมันหายไปจากโลก
“ส่วนหกตระกูลที่เหลือมีดินแดนอยู่ทางตะวันออก ใต้ และตะวันตก และพวกตระกูลนั้นก็มีข้อพิพาทอยู่กับตำหนักรองของอาณาจักรทมิฬ”
ฮั่วฉีหลานพูดอย่างหม่นหมอง
การพูดคุยครั้งนี้ได้เผยความลับของทวีป ซือหยูได้รู้อะไรขึ้นมาก
เขาเคยคิดว่าอาณาจักรทมิฬจะเป็นตัวตนที่ไม่มีใครเทียบได้ในทวีปเฉินหลง ในที่สุดเขาก็ได้รู้แล้วว่ายังมีแปดตระกูลในตำนานอยู่อีก
ตู่หลงอับอาย
“เจ้าตำหนักฉีหลานพูดไม่ผิด พันปีก่อน ทวีปตอนเหนือถูกปกครองโดยตระกูลตู่และตระกูลยี่ พวกเขาก่อตั้งพันธมิตรกับอีกหกตระกูลและต่อสู้กับอาณาจักรทมิฬด้วยกัน”
“ร้อยปีก่อน อาณาจักรทมิฬตกอยู่ใต้พลังกดดันของแปดตระกูล สถานการณ์นั้นย่ำแย่ ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ราชาแห่งความมืดได้บ่มเพาะวิชาระดับพระเจ้าและโต้กลับกับแปดตระกูลด้วยพลังมหาศาล!”
“และเขาก็ได้มายังทวีปนี้เพื่อทำลายตระกูลตู่กับตระกูลยี่! เขาได้กลับมาควบคุมต้นกำเนิดของอาณาจักรทมิฬอีกครั้ง นั่นคือทวีปแห่งนี้!”
“และตระกูลตู่ได้ยอมแพ้จึงถูกไว้ชีวิต แต่ราชาแห่งความมืดได้สั่งไม่ให้คนตระกูลตู่ออกจากป่าทมิฬ มิเช่นนั้นพวกเขาจะพบกับการทำลายล้าง! เมืองอันยี่คือสถานที่เดียวที่ตระกูลตู่จะออกมาจากป่าได้”
“แท้จริงแล้วเมืองอันยี่ก่อตั้งขึ้นจากตระกูลตู่และมีอำนาจควบคุมเมืองอยู่ในเงามืด”
“ส่วนตระกูลยี่นั้นขัดขืน พวกนั้นถูกราชาแห่งความมืดฆ่าล้างสิ้น นามของตระกูลยี่ถูกลบหายไปจากโลก!”
“หลายร้อยปีต่อมาคือจุดรุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักรทมิฬ จนพวกเราได้มีตำหนักรองอยู่ที่ตะวันออก ตะวันตก และทิศใต้ ใครๆก็ได้เห็นความน่ากลัวของราชาแห่งความมืด!”
“เขาปกครองทั้งทวีปเฉินหลง ราชาแห่งความมืดนั้นไร้เทียมทาน!”
ซือหยูฟังจบ เขาตกใจอยู่นาน
ราชาแห่งความมืดไร้เทียมทานยิ่งนัก!
เขามีพลังเหนือบรรพบุรุษและปกครองได้ทั้งทวีป
เขาเป็นใครกัน ถึงปกครองทั้งทวีปเฉินหลงได้เช่นนี้?
ซือหยูสงสัยว่าเขาจะไปถึงระดับของราชาแห่งความมืดด้วยหม้อเก้ามังกรได้หรือไม่?
ฮั่วฉีหลานยิ้มบางๆ
“เจ้าคิดอะไรอยู่ ศิษย์น้องหยินหยู?”
ซือหยูตาเป็นประกาย
“หึหึ ตระกูลตู่ไม่ต้องการให้เราเข้าร่วม แต่ยังไงพวกเราก็ต้องไปอยู่ดี!”
ที่เขาคาดหวังก็คือโอกาสที่จะได้พบกับคนของวิหคเพลิง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เจอเซี่ยนเอ๋อ เขาก็ถามเรื่องเกี่ยวกับเซี่ยนเอ๋อได้
พวกเขาได้แยกจากกันมาครึ่งปีแล้ว ซือหยูเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของเซี่ยนเอ๋อ
เจ้าแห่งวิหคเพลิงนั้นนับถือวิหคเพลิงแห่งความตายอย่างสูง เขาจะต้องดูแลนางเป็นอย่างดีแน่ แต่ด้วยนิสัยของเซี่ยนเอ๋อ…นางจะบ่มเพาะพลังอย่างจริงจังหรือไม่นะ?
หรือว่านางจะไปซ่อนตัวและไปหาที่เล่นสนุกโดยพาพวกคนรับใช้ไปสร้างปัญหาด้วยกันนะ? หรือนางจะ…คิดถึงเขาบ้างหรือไม่?
ซือหยูยิ้มอย่างเดียวดาย เขารู้สึกขมขื่นเมื่อคิดถึงเซี่ยนเอ๋อ
สาวน้อยขี้เล่นอย่างเซี่ยนเอ๋อ…นางจะเหงาไหมนะ?
“หึหึ ข้าคิดไว้แล้ว การประมูลจะจัดขึ้นในอีกสามวัน เมื่อจบการประมูลจะเป็นช่วงจันทร์เต็มดวง พวกเราจะไปบ่มเพาะได้ทันเวลาพอดี”
ฮั่วฉีหลานพูดสิ่งที่ซือหยูคิด
ซือหยูพยักหน้า
“ก็ได้ พักที่นี่อีกสองวันเถอะ”
ซือหยูพูดจบก็มองตู่หลง
“เจ้ากลับบ้านได้แล้ว”
ตู่หลงหัวเราะอย่างขมขื่น
“เมื่อก่อนข้านั้นดื้อด้าน ข้าทิ้งสถานะนายน้อยตระกูลตู่ไปเพื่อออกสู่โลกภายนอกป่าทมิฬ”
“ข้าจะไปมีหน้ากลับตระกูลตู่ตอนนี้ได้อย่างไร? ข้าขอตามเจ้าไปที่งานประมูลเสียดีกว่า บางทีข้าอาจจะได้พูดคุยกับคนตระกูลตู่ ข้าจะได้รู้ว่าพวกนั้นจำข้าได้หรือไม่ ถ้าพวกเขาจำได้ข้าก็จะกลับไป แต่ถ้าพวกเขาลืมข้าไปแล้ว…ข้าจะกลับตระกูลตู่ไปทำไมกัน?”
เขาคือนายน้อยตระกูลตู่งั้นรึ?
ทุกคนตกตะลึง!
พวกเขาไม่รู้เลยว่าตู่หลงจะมีตำแหน่งเช่นนี้
ตำแหน่งนายน้อยของหนึ่งในแปดตระกูลเก่าแก่นั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก!
แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งความเป็นนายน้องของตระกูลตู่ในอดีตไป
ทุกคนพักในโรงเตี๊ยม
ซือหยูยังคงบ่มเพาะพลังอยู่เช่นเดิม
ตอนนี้เก้าดัชนีอัสนีจินตนาของเขาอยู่ที่ระดับหนึ่งขั้นสูง เขาเริ่มบ่มเพาะระดับสอง
โอรสสวรรค์จ้องนภาเพิ่งจะสำเร็จระดับหนึ่งขั้นกลาง ยังคงห่างไกลกว่าจะถึงระดับสอง
สุดท้ายคืออรหันต์แปดอักษรที่อีกไม่นานจะถึงขั้นต้น
แต่ก็น่าแปลกที่การทะลวงฐานพลังหลายขั้นของซือหยูไม่ได้ทำให้อรหันต์แปดอักษรเติบโตขึ้นเลย
ราวกับว่าหนทางจากขั้นเริ่มต้นไปถึงขั้นต้นนั้นจะเนิ่นนาน
ความยากในการบ่มเพาะวิชาระดับตำนานนั้นเหนือกว่าวิชาระดับอำมฤตอย่างมาก
ตลอดการบ่มเพาะ ซือหยูไม่ได้อะไรมากนัก
เขาทำได้แค่ปรับฐานพลังอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูงให้มั่นคงขึ้น ถ้ามีโอกาส…เขาจะพยายามทะลวงพลังเป็นอำมฤตขั้นสอง
นั่นจะเป็นคืนจันทร์เต็มดวง และเป็นวันที่การประมูลของตระกูลตู่จบลง
พวกเขาทั้งสี่ออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ประมูลกลางเมืองอันยี่
ทางเข้านั้นมีการป้องกันอย่างแน่นหนา มีทหารขอบเขตอำมฤตอย่างน้อยสิบคน
ชายแก่ที่เต็มไปด้วยผมขาวนั่งอยู่หลังโต๊ะทางเข้า เขาตรวจสอบของในมืออย่างอดทน
ซือหยูเดินเข้าไป ชายแก่ไม่แม้แต่เงยหน้า
“หยุด ส่งมัดจำมา”
นี่คือกฎสามัญในการประมูลทั่วไป
“ข้าต้องวางมัดจำเท่าไหร่รึ?”
ทหารข้างๆตอบอย่างไร้อารมณ์
“ยิ่งเจ้ามัดจำมากเท่าใด ที่นั่งของเจ้าก็จะยิ่งมีระดับขึ้นเท่านั้น เจ้าอาจจะได้นั่งที่นั่งพิเศษอีกด้วย”
หากเป็นอย่างนั้น…ซือหยูพยักหน้าและหยิบต้นมังกรขาวออกมา
นี่คือสิ่งที่เขาได้มาจากวิหารเซี่ยนหยุน มันจะเพิ่มฐานพลังของคนที่มีพลังต่ำกว่ามังกรระดับสามได้หนึ่งระดับ
ผู้เฒ่ายังคงไม่เงยหน้า เขาพูดเบาๆ
“ต้นมังกรขาวหนึ่งต้น ที่นั่งระดับต่ำ วางไว้บนโต๊ะ”
ซือหยูตกใจกับประสาทสัมผัสอันทรงพลังของเขายิ่งนัก เขาบอกได้ว่าของที่ซือหยูหยิบออกมาคือต้นมังกรขาวโดยที่ไม่มองด้วยซ้ำ
ฟึ่บ–
ซือหยูหยิบกล่องหยกออกมา ขนวิหคเพลิงที่เปล่งแสงสีชาดสดใสเปล่งประกายอยู่ภายใน
พลังงานอันอบอุ่นค่อยๆไหลออกมาจากช่องว่างของกล่อง
ชายแก่สูดกลิ่นอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองกล่องหยก
เขาเอามาดูใกล้ๆ ท่าทางใจเย็นของเขาเปลี่ยนไปเป็นหม่นหมอง
“นี่มัน…ขนวิหคเพลิง!”
“เจ้าเป็นคนจากวิหคเพลิงงั้นรึ? ข้าจำไม่ได้เลยว่าพวกนั้นบอกว่าจะมางานประมูล”
ชายแก่มองพวกเขาทั้งสี่อย่างสงสัย
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสงสัยถึงต้นตอของขนวิหคเพลิง
ซือหยูเลิกคิ้ว
“ข้าไม่มีสิทธิ์ได้ขนวิหคเพลิงแม้จะไม่ได้เป็นคนจากวิหคเพลิงเลยรึ? ถ้าข้ากล้าเอาออกมา ข้าก็ต้องไม่กลัวคนจากวิหคเพลิงอยู่แล้ว”
ชายแก่พูดอย่างไม่เป็นมิตร
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะขโมยหรือได้ขนนี่มายังไง ข้ากังวลถึงคนที่ตัวตนไม่ชัดเจนว่าจะมาสร้างปัญหาในงานประมูลมากกว่า!”
คนทางฝั่งซือหยูเริ่มไม่พอใจ ชายแก่พูดออกมาอย่างไม่ให้เกียรติ!
ซือหยูพูดไปแล้วว่าเขาได้ขนวิหคเพลิงมาด้วยตัวเอง แต่เขาก็ยังยืนกรานว่าพวกซือหยูโกหกและจะเข้ามาโกงงาน
ซือหยูขมวดคิ้ว เขาพูดอย่างใจเย็น
“ข้าขอถามคำถามเดียว ของที่ข้าเอามานั้นมากพอที่ข้าจะได้เข้าไปหรือไม่?”
แต่ชายแก่ก็ใจร้ายกับพวกซือหยูเป็นอย่างมาก
“มันพอ แต่เข้าไปไม่ได้!”
“พวกเราตระกูลตู่ไม่ต้อนรับคนชั้นต่ำอย่างเจ้า”
ชายแก่มีอคติอย่างมาก เขาโบกมือราวกับจะปัดแมลงวัน
“ไปซะ ที่ข้าพูดถือเป็นคำขาด!”
ชั้นต่ำรึ? ซือหยูไม่รู้จะพูดคุยกับคนแก่ดื้อด้านเช่นนี้ยังไง
ที่นี่คือพื้นที่จัดงานประมูลของตระกูลตู่ และเขาไม่ควรจะก่อเรื่องที่นี่ เขาได้แต่ข่มความโกรธ
“ก็ได้ ข้าจะไปเข้าประมูล ไปกันเถอะ”
เขาทำเหมือนยอมแพ้ก็เพราะว่าตู่หลงส่งสัญญาณว่ามีวิธีอื่นให้เข้าไปโดยไม่ต้องผ่านชายแก่
“ข้าไม่ส่งพวกเจ้าหรอกนะ”
ชายแก่นั่งลงหัวเราะเหยียดหยาม
เขาเจอคนแบบซือหยูมามากจนเกินไป คนที่ทำใจเย็นหลังจากที่ถูกปฏิเสธ
“แล้วเจ้ามองขนวิหคเพลิงเสร็จรึยัง? เอามันคืนข้า”
ซือหยูหยิบกล่องหยกบนโต๊ะ
แต่ซือหยูไม่คิดเลยว่าชายแก่จะชิงมันไปก่อนเขา ชายแก่รีบคว้ากล่องหยกไว้ในมือก่อนจะเก็บเอาไว้กับตัว
ซือหยูแววตาเย็นชา
“นี่มันหมายความว่ายังไง?”
ชายแก่ไม่เงยหน้า เขาพูดอย่างเรียบเฉย
“พวกเราตระกูลตู่มีหน้าที่ตรวจสอบของที่มีที่มาน่าสงสัย!”
“ข้าบอกว่าข้าได้มาจากเจ้าแห่งวิหคเพลิง!”
น้ำเสียงซือหยูเย็นยะเยือก
ชายแก่โบกมืออย่างขยะแขยง
“เจ้าจะพูดมากไปแล้ว! ข้าจะติดต่อคณะวิหคเพลิงและสืบหาต้นตอของขนนี่ ถ้าเจ้าพูดจริง ข้าก็จะคืนให้เจ้า อีกสามวันเจ้าค่อยกลับมา!”
เขาชิงของของซือหยูไปและยังคงขออย่างหยาบคายให้ซือหยูกลับมารับคืนในอีกสามวัน!
เขาไม่รู้เลยว่าเขาจะได้ของคืนจากหนึ่งในแปดตระกูลโบราณในเมืองอันยี่หรือไม่
แม้เขาจะเอาคืนมาได้ ขนวิหคเพลิงก็ใช้ได้เพียงครั้งเดียว เขาจะเอาคืนมาทำไมถ้าหากพวกชายแก่เอาไปใช้แล้ว?
“ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ส่งมันมา!”
ซือหยูโกรธเกรี้ยว
ดูเหมือนว่าชายแก่จงใจหาเรื่องซือหยูเพื่อที่จะเอาขนวิหคเพลิงไว้กับตัว!
ความไร้ยางอายต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ยากจะได้เห็น แม้จะเป็นซือหยูเองก็ตาม
ปั้ง–
ชายแก่ทุบโต๊ะ ใบหน้านั้นขยะแขยง
“ข้าก็ไม่คิดจะพูดซ้ำ! ไสหัวไป! ไอ้พวกคนชั้นต่ำ!”
เมื่อเห็นพวกซือหยูยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่คิดจะกลับไป ชายแก่ตะคอก
“ทหารไปไหน?”
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–
ทหารขอบเขตอำมฤตสิบคนปรากฏตัวขึ้นมาล้อมพวกเขาสี่คนทันที
หัวหน้าของเหล่าทหารคือชายที่ร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เขามีพลังอำมฤตระดับสองขั้นต้น
“ผู้เฒ่าลี่ มีอะไรรึ?”
ชายแก่ที่ถูกเรียกว่าผู้เฒ่าลี่มองออกมาอย่างขยะแขยง
“พวกชั้นต่ำพวกนี้แอบอ้างว่าเป็นคนจากคณะวิหคเพลิง ข้ายึดของที่พวกมันขโมยมาไว้แล้ว ไล่พวกมันออกไป ถ้าพวกนั้นขัดขืนเจ้าก็จับตัวเอาไว้!”
หัวหน้าทหารมองซือหยูอย่างเย็นชา
“ช่างกล้านัก ข้าเห็นพวกแอบอ้างมามากมาย แต่ก็ไม่เคยได้ยินคนที่กล้าแอบอ้างว่าเป็นคนของวิหคเพลิง”
ซือหยูยังคงนิ่งเงียบ สีหน้าของเขาเยือกเย็น
พวกตระกูลตู่สมคบคิดต่อกัน ซือหยูไม่คิดจะพูดอะไรอีก ปัญหาเช่นนี้ต้องแก้ด้วยกำลัง
“ฮื่ม! เจ้าไม่ต้องปฏิเสธ มันไม่ได้ผลหรอก! ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
หัวหน้าทหารทำราวกับว่าซือหยูจะโต้ตอบ เขายกมือขึ้นมาโดยไม่มองซือหยู
ซือหยูมองอย่างเย็นชา แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเยือกเย็น
“เจ้าหาเรื่องเองนะ!”