องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 256 ครื้นเครงกันขึ้นมา
หนานกงเย่ยื่นมือออกไปหยิบเข็มฉีดยาและนึกขึ้นมาได้ว่า: “เหมือนกับเข็มฉีดยาของเจ้าเพียงแต่ว่าเล็กกว่าสักเล็กน้อยและดูดีกว่าด้วย”
หนานกงเย่วางเข็มฉีดยาลงมองดูสิ่งอื่น ฉีเฟยอวิ๋นเปิดกล่องด้านล่างและมีผ้าพันแผลแถวหนึ่งอยู่ด้านใน
เปิดออกม้วนหนึ่งแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็พันผ้าพันแผลรอบข้อมือของหนานกงเย่: “ผ้าพันแผลในที่ของพวกข้าเป็นเช่นนี้ใช้สำหรับพันแผลเอาไว้”
ก้มศีรษะลงกัดผ้าพันแผลแล้วฉีกออก ฉีกเป็นชิ้นๆจากนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วน พันเป็นวงกลมแล้วมัดเอาไว้
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ข้าเป็นหมอจริงๆ”
หนานกงเย่ทำหน้าบูดบึ้งมองดูสิ่งของอื่นๆ เมื่อเห็นหูฟังแพทย์ก็ประหลาดใจ: “นั่นคือสิ่งใด?”
ฉีเฟยอวิ๋นนำหูฟังแพทย์ให้หนานกงเย่แขวนไว้ยังหูของเขา แล้วนำอีกด้านหนึ่งมากดไว้บนหน้าอก: “ได้ยินแล้วหรือไม่?”
หนานกงเย่สีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ: “เสียงตึกตึกตึก!”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “นี่คือหูฟังแพทย์ซึ่งใช้ฟังการเต้นของหัวใจและหลอดลมของผู้ป่วย”
ขยับเข้ามาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็สูดหายใจอย่างเงียบสงบ: “หลอดลมและวัณโรคนั้นสามารถฟังออกได้ ด้านในจะเกิดเสียงซ่าซ่าและยังหายใจหอบพร้อมกับเสียงอันดังอีกด้วย”
“ไม่ได้ยิน”
หนานกงเย่ฟังอย่างละเอียด ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าเขาเป็นเหมือนดังกับเด็กคนหนึ่ง
“ไม่มีแน่นอน แม้ว่าร่างกายนี้จะไม่แข็งแรงแต่ร่างกายนี้มิได้มีโรคเช่นนั้น”
หนานกงเย่นำหูฟังแพทย์ไปแล้ววางหัวของหูฟังแพทย์ไว้บนหน้าอกของเขาจากนั้นก็ฟังอยู่ครู่หนึ่ง: “แข็งแกร่งและทรงพลัง”
“ท่านเป็นบุรุษและท่านก็ยังฝึกศิลปะการต่อสู้ แน่นอนว่าต้องมีความแข็งแกร่ง” ฉีเฟยอวิ๋นไปดูหีบยาและนับดูปรากฏว่ายังมีสายน้ำเกลืออยู่อีกเป็นสิบสาย
ฉีเฟยอวิ๋นจัดเก็บอยู่ครู่หนึ่งแล้วขัดเอาไว้
หนานกงสงสัยจึงได้เปิดออกอีก ส่วนฉีเฟยอวิ๋นนั้นกำลังจะเข้านอน
หนานกงเย่เห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะนอนจึงได้กล่าวขึ้นทันทีว่า: “อย่านอนเลยนะ เจ้าหลับไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว อย่านอนเลย”
หนานกงเย่วางสิ่งของในมือลงและรีบพุ่งเดินเข้าไปยังตัวฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูเขา: “ข้าไม่ไปหรอก”
“เช่นนั้นเจ้า……”
หนานกงเย่ยังคงเป็นกังวลอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นขยับเข้าไปด้านใน: “ท่านอ๋องนอนตรงนี้”
หนานกงเย่รีบไปนอนลงในทันที พวกเขาสวมชุดนอนกันทุกคนซึ่งฉีเฟยอวิ๋นเป็นผู้ออกแบบ จากนั้นอวิ๋นจิ่นตัดเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้วส่งมาให้
แต่ยังไม่ทันที่ฉีเฟยอวิ๋นจะได้สวมใส่ก็เกิดเรื่องขึ้นซะก่อน ตอนนี้ได้ใช้งานแล้ว
หนานกงเย่นอนลงส่วนฉีเฟยอวิ๋นนอนอยู่เบื้องหน้าของเขา แขนทั้งคู่ของหนานกงเย่โอบกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้โดยรอบและหีบยาก็วางอยู่ตรงกันข้ามกับทั้งสองคน
หนานกงเย่มองดูหีบยาเหมือนดังกับเด็ก เขาอยากรู้อยากเห็นแต่ว่าเขาทิ้งฉีเฟยอวิ๋นไม่ลงมากกว่า
ดังนั้นจึงได้กอดฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่มองหีบและเหลือบมองเป็นครั้งคราว
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “หีบนี้ข้านำมาจากในอนาคต ข้ากลับไปแล้ว”
หนานกงเย่ร่างกายแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น เนื่องจากเกิดอาการตื่นเต้นหน้าอกจึงได้เป็นราวกับคลื่น
ฉีเฟยอวิ๋นพลิกร่างแล้วนอนอยู่ มือทั้งคู่จับใบหน้าอันเย็นยะเยือกของหนานกงเย่ รู้ว่าเขาหวาดกลัวและตื่นตระหนกอยู่
“ข้ากลับไปแล้ว แต่ข้าก็กลับมาแล้ว”
หนานกงเย่ไม่ผ่อนคลายเลยสักนิด สายตาของเขาจับจ้องไปยังฉีเฟยอวิ๋นอย่างแน่วนิ่ง “เจ้าจะทิ้งข้าไปหรือ?”
“ไม่ใช่ ท่านอ๋อง เป็นเพราะข้าเกลียดสถานที่แห่งนี้ ที่นี่ไม่มีน้ำใจต่อกัน
ข้ารู้สึกว่าฝ่าบาทก็น่าสงสารเช่นกัน ข้าช่วยชีวิตพระองค์ ช่วยเหลือพระองค์ แต่พระองค์กลับทรงต่อต้านข้าทุกสิ่งทุกอย่างและยังต้องการให้ข้าแต่งพระชายารองมาให้กับท่าน
ข้ารู้สึกดีกับฮองเฮาเช่นเดียวกัน พระนางทรงเหงายิ่งนักไม่มีบุตรแม้แต่องค์เดียว ข้าต้องการช่วยพระนางแต่พระนางกลับวางยาพิษข้าอยู่หลายครั้ง
ข้าเศร้าโศกและข้าห่อเหี่ยวใจ
ยังมีเสด็จแม่ และยังมีอ๋องตวน…..
เป็นอ๋องตวนที่ทูลฝ่าบาทเรื่องการแต่งพระชายารองเข้ามา
ข้าไม่ชอบพวกเขา
ท่านอ๋อง ขณะที่ข้าอยู่ในโลกอนาคต ข้าก็ลำบากทุกข์ทนแต่ข้าไม่ได้เหน็ดเหนื่อย
พวกข้าไม่ได้ปากหวานก้นเปรี้ยว ไปมาหาสู่กันอย่างตรงไปตรงมา
ข้าห่อเหี่ยวใจ ข้าอยากไปจากที่นี่
กลับไปยังโลกอนาคต”
“ข้าจะพาเจ้าไป ไปจากที่นี่” หนานกงเย่ไม่ต้องการให้ฉีเฟยอวิ๋นจากไปก็ต้องไม่ปล่อยให้นางรู้สึกห่อเหี่ยวใจ
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ: “ท่านอ๋องฟังข้ากล่าว”
“เจ้าพูดมา”
“ท่านอ๋อง ข้าคิดว่านั่นเป็นความฝันเนื่องจากข้ากลับไปไม่ใช่ตอนที่ข้าอยู่ที่นั่น แต่เป็นสิบปีก่อนที่ข้าจะมาที่นี่และข้าย้อนกลับไปอีกสิบปี
กล่าวได้ว่า ผู้คนที่ข้าพบเจอที่นั่นล้วนเป็นคนที่เจอก่อนที่ข้าจะตายเป็นเวลาสิบปี
แต่ไม่ว่าเช่นไรข้าก็อยากกลับมาจริงๆ เพราะข้าทนเสียท่านอ๋องไปไม่ได้ ”
แววตาคู่นั้นของหนานกงเย่ดังเกิดเกลียวคลื่นไปมา เขามองไปยังฉีเฟยอวิ๋นเป็นเวลานาน รอยยิ้มนั้นน่าเกลียดมากยิ่งกว่าการร้องไห้: “ห้ามปดข้า”
“ข้าไม่ได้พูดปด” ฉีเฟยอวิ๋นกอดหนานกงเย่แล้วซบลงในอ้อมแขนของเขา
หนานกงเย่ถามว่า: “เช่นนั้นเจ้าก็เห็นเจ้าสารเลวนั่นแล้วใช่หรือไม่?”
“……” เจ้าสารเลว?
“ท่านหมายถึงซูมู่หรง?”
“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นผู้ใดได้?” สีหน้าของหนานกงเย่ดูน่าเกลียดเป็นครั้งเป็นครา ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตลกขบขัน
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังติดอยู่กับหนานกงเย่: “เขาอ่อนเยาว์กว่าสิบปีซึ่งแตกต่างออกไปเล็กน้อย หัวหน้าทีมในความทรงจำของข้ามิได้เป็นเช่นนั้น”
เป็นอันธพาลชัดๆ แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่บอกกับหนานกงเย่
เขาเป็นคนขี้หึง
“อย่าได้คิดถึงเขา” หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่น ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขัน
“หัวเราะสิ่งใด?”
“ไม่มีสิ่งใด ท่านอ๋องข้าไม่กลับไปหรอก ข้าคิดว่านั่นเป็นความฝันแต่พอข้าเห็นหีบยาก็แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง แต่นั่นดูเหมือนว่าจะเป็นพื้นที่หนึ่งในจักรวาลคู่ขนาน ข้าไม่อยากไป ข้าอยากอยู่กับท่านอ๋องและท่านพ่อที่นี่”
“……” หนานกงเย่ไม่กล่าวสิ่งใดเลย กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้อยู่เช่นนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นหลับตาลงและนอนหลับไปครู่หนึ่งเพียงแค่ครู่เดียวก็ถูกหนานกงเย่ปลุกให้ตื่น ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นด้วยความงุนงงแล้วมองไปยังผู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างโมโหเจียนตาย
“ท่านอ๋อง ท่านต้องการให้ข้าง่วงจนตายใช่หรือไม่?”
“……” หนานกงเย่นอนลง ฉีเฟยอวิ๋นกอดเขาจนหลับไปและในไม่กี่นาทีเขาก็ลุกขึ้นมาอีก
คราวนี้ฉีเฟยอวิ๋นยังนอนไม่หลับ เขาลุกขึ้นแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ลืมตาขึ้นมา: “ไม่นอนก็ออกไปเถอะ”
หนานกงเย่นอนลง: “ข้าไม่วางใจ”
“นอนเถอะ ต่อให้อยากกลับไปก็กลับไปในตอนนี้ไม่ได้ ยังอยู่ได้ไม่เต็มอิ่มเลย”
ฉีเฟยอวิ๋นกอดหนานกงเย่ตัวติดกับเขาไว้อย่างแน่นแฟ้น ช่างดีจริงๆ!
หนานกงเย่สีหน้าหมองหม่น: “ห้ามไปจากข้า”
“อืม”
เรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นฟื้นขึ้นได้กระจายเข้าไปในวังอย่างรวดเร็ว พระหัตถ์ของพระพันปีสั่นเทา แผ่นบำรุงผิวชิ้นที่เหลืออยู่นั้นตกลงกับพื้นและสกปรกซะแล้ว
ไห่กงกงมัวแต่กล่าวขึ้นมาเสียงหนึ่งว่า: “ชิ้นสุดท้ายแล้วพะย่ะค่ะไทเฮา!”
“หุบปาก!” พระพันปีมิได้แยแส สีพระพักตร์ของพระนางช่างน่าเกลียดยิ่งนัก
“ไทเฮา” ไห่กงกงระมัดระวังยิ่งนัก
พระพันปีทรงตรัสว่า: “เจ้าไปดูซิว่าฟื้นขึ้นมาแล้วจริงหรือ”
“พะย่ะค่ะ”
ไห่กงกงมัวแต่วุ่นอยู่กับการออกจากวัง พอถึงหน้าประตูวังก็ตกตะลึง
“สวีกงกง?”
“ไห่กงกง”
ทั้งสองต่างชำตาเลืองมองซึ่งกันและกัน จากนั้นก็รีบเดินไปพร้อมกันอย่างไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่ เร่งรีบไปยังจวนอ๋องเย่พร้อมกัน
พอมีข่าวแพร่ออกมา ทั่วทั้งเมืองต่างครื้นเครงกันซะจริงๆ
ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ได้ยินว่ามีคนมาเยี่ยมนาง
คนแรกนั้นก็คือท่านพ่อของนาง
แม่ทัพฉีช่างน่าสมเพชเสียจริง ลูกสาวเกิดเหตุด้วยสาเหตุใดก็ไม่รู้ได้ สอบถามไปยังทุกหนแห่งกลับไม่มีผู้ใดกล่าว
แม่ทัพฉีเริ่มมาดูฉีเฟยอวิ๋นที่จวนอ๋องเย่อยู่ตลอดทั้งวัน หลังจากนั้นเขาก็ไปยังวังหลวงเพื่อระบายความทุกข์ต่อองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ ทุกครั้งก็มาด้วยความโศกเศร้าแล้วก็จะดุด่าผู้ที่รังแกบุตรสาว ด่าเสียจนอีกฝ่ายไม่เหลือชิ้นดี
สวีกงกงต้องปาดเหงื่อทุกครั้ง คิดว่าไม่ช้าก็เร็วคงต้องเกิดเรื่อง
แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้น
“อวิ๋นอวิ๋น เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” แม่ทัพฉีเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ร้องห่มร้องไห้ราวกับเด็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินเข้าไปปลอบ ท้ายที่สุดแม่ทัพฉีร้องไห้อยู่เพียงลำพังเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม เขาร้องไห้เสร็จแล้วด้านนอกจึงจะสามารถมาแจ้งได้ว่ามีผู้ใดมาแล้ว