บทที่ 255 กล่องยาทะลุมิติ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 255 กล่องยาทะลุมิติ
“เกิดอันใดขึ้น? ข้าถามเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น?” หนานกงเย่ตะเบ็งเสียงเกรี้ยวกราด

หมอโจวเอ่ยว่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ข้าน้อยช่วยพระชายาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นมีเหงื่อไหลไคลย้อยทั่วเรือนร่าง “หัวหน้า ฉันต้องไปแล้ว”

ซูมู่หรงเดินลงมาถึงตีนเขา หมุนกายกอดฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังพิงหลังอยู่ในรถ ฉีเฟยอวิ๋นฝืนลืมตามองซูมู่หรงด้วยสภาพน้ำตาไหลพรูลงใบหน้า “ฉันไม่ชอบที่นั่น แต่ฉันไม่อยากจากเขาไป”

ฉีเฟยอวิ๋นรีบช่วยฉีเฟยอวิ๋นเช็ดน้ำตา

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าถ้าฉันไปแล้ว ทุกอย่างจะจางหายหรือเปล่า หรือว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝันเท่านั้น”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าทุกสิ่งกำลังเลือนหาย รวมทั้งใบหน้าซูมู่หรงด้วย

เธอได้ยินเสียงหนานกงเย่ตะคอกจนแก้วหูแทบฉีกขาด และภาพตรงหน้าก็ขาวโพลน

ทันใดนั้น ฉีเฟยอวิ่นรู้สึกหนาวสะท้านจนตัวสะดุ้งโหยง ครั้นลืมตาก็เห็นหนานกงเย่ถือกระบี่เล่มยาวหมายจะสังหารหมอโจว

“ข้าจะฆ่าเจ้า ให้เจ้า……”

“ท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นเรียกเสียงแผ่วเบา ทว่าตอนเธอเรียกหนานกงเย่ อีกฝ่ายก็คลายมือ และแล้วกระบี่ก็ร่วงหล่นสู่พื้น

เห็นหนานกงเย่แข็งทื่อคล้ายกับก้อนหินก็ไม่ปาน ทว่ากลับหันกายไวมาก ฉีเฟยอวิ๋นเลยรู้สึกขำ “ท่านอ๋อง”

หนานกงเย่รีบมานั่งข้างกายเธอ “อวิ๋นอวิ๋น”

ฉีเฟยอวิ๋นละสายตามองไปยังหมอโจวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หมอโจวหวาดกลัวจนจะสิ้นใจอยู่แล้ว

“หมอโจว เจ้าถอยไปเถอะ”

หมอโจวกลัวจนร่างกายแข็งค้าง เมื่อลุกขึ้นก็ต้องล้มหัวฟาดพื้นอีกคราว

หลังจากลุกขึ้นมาได้ หมอโจวก็นึกอะไรไม่ออก วิ่งทะเล่อทะล่าออกไปทันที

พวกอาอวี่กำลังทุกข์โศกอยู่ด้านนอก ครั้นเห็นหมอโจวออกมา จึงนึกได้ว่าควรเข้าไปดูด้านในเสียหน่อย

เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นฟื้น ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด

ไม่ใช่สิ้นลมหายใจแล้วหรือ?

ฉีเฟยอวิ๋นขยับกายไปลูบไล้ใบหน้าหนานกงเย่ พลางรู้สึกหนวดทิ่มมือ

ฉีเฟยอวิ๋นถาม “ท่านอ๋อง ข้าหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว?”

“หนึ่งเดือน”

ฉีเฟยอวิ๋นตะลึงตะไล “หนึ่งเดือนหรือ?”

หนานกงเย่พยักหน้าหงึกๆ ดึงฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาสวมกอด

ฉีเฟยอวิ๋นอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง กอดหนานกงเย่พร้อมกับหายใจหอบ “ท่านอ๋อง ข้าเหนื่อยจัง”

หนานกงเย่จับมือแน่นขนัด “ข้าไม่ยอมแน่ๆ”

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว ซบอยู่บนบ่าหนานกงเย่พร้อมกับนึกถึงใบหน้าซูมู่หรงตอนหนุ่ม มันคงจะเป็นความฝัน

ฉีเฟยอวิ๋นผละออกจากอ้อมกอด นอนมองหนานกงเย่แทน

หนานกงเย่สั่งให้หมอโจวกลับมาทันที หมอโจววิ่งพรวดพราดกลับมาด้วยเสียงหอบ เขาตื่นตกใจจนเหงื่อชุ่มกาย

หลังหมอโจวตรวจอาการฉีเฟยอวิ๋นแล้วเสร็จพลันรายงานว่า “นอกจากพระวรกายพระชายาอ่อนแอแล้ว อย่างอื่นก็ดีหมดพ่ะย่ะค่ะ บุตรในท้องก็ยังปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม เตรียมของบำรุงร่างกายให้พระชายาด้วย ข้าเหนื่อยแล้ว จะพักผ่อน”

หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นไปที่สระกำมะถัน ฉีเฟยอวิ๋นสรงน้ำพร้อมกับเขา

“ท่านอ๋องซูบผอมไปนะเพคะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นจับเอวหนานกงเย่พลันพบว่าผอมลงเยอะมาก

“ข้ารอมาสองวัน ไม่ได้ร้อนใจทั้งสองวันเลย” หนานกงเย่เอ่ยเสียงแหบแห้ง ฉีเฟยอวิ๋นมองโครงหน้าเรียวที่มีมิติของเขา

ผอมลงแล้วยิ่งเพิ่มพูนความหล่อเหลาหลายเท่า

“เจ้ามองอันใด?” หนานกงเย่ไม่เข้าใจ

“ท่านรูปงามกว่าแต่ก่อนเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นหอมแก้มหนานกงเย่อย่างไม่เอียงอาย การหอมแก้มครั้งนี้ได้ผลดีเยี่ยม หนานกงเย่หอมกลับเธอหนึ่งที

จากนั้นหนานกงเย่พลันจูงเธอไปพร้อมกับเขา ก่อนจะนั่งคุยกันในน้ำ

“พอข้ารอถึงวันที่สาม ฝ่าบาทก็เสด็จมา แต่ข้าไม่พบหน้าเขา”

ฉีเฟยอวิ๋นจับใบหน้าหนานกงเย่ พลางประทับรอยจูบบนใบหน้า “ท่านอ๋องกล่าวว่าไม่ต้องสนใจข้า”

หนานกงเย่ทำหน้าเหม่อลอย หากแต่มือกำลังชำระล้างกายของฉีเฟยอวิ๋นอยู่ “ต่อไปข้ากับเขาจะต่างคนต่างอยู่”

“แล้วท่านไม่เป็นขุนนางแล้วหรือเพคะ?”

“ไม่เป็นแล้ว จะดูแลอวิ๋นอวิ๋นอยู่จวน”

ความทุกข์ทรมานในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยประสบพบเจอมาทั้งชีวิต

ฉีเฟยอวิ๋นคลี่ยิ้ม “ฝ่าบาทรู้ว่าข้าเกิดเรื่องแล้วหรือเพคะ?”

“รู้แล้ว ช่วงนี้ให้สวีกงกงมีทุกวันเลย”

“ไม่ให้หมอหลวงมาหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นคาดว่าจักรพรรดิอวี้ตี้ต้องคิดว่าเธอกำลังสร้างฉากหลอกคนอยู่เป็นแน่

“เคยมาแล้ว มาประมาณหกเจ็ดคน โดนตัดหัวไปแล้วสองคน”

“เพราะเหตุใดเพคะ?”

“ข้าไม่รู้”

ฉีเฟยอวิ๋นประหนึ่งปลาตัวหนึ่ง แหวกว่ายไปแล้วถามว่า “ต่อมาท่านอ๋องก็รู้สึกร้อนใจแล้วใช่ไหมเพคะ?”

“ลือกันทั้งเมืองหลวงว่าข้าเฝ้าศพคนตาย ข้าก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนกระพือข่าวครึกโครมว่าพระชายาสิ้นชีพแล้ว ข้าจับได้บางส่วน ข้าอยากจะสังหารผู้ที่กล่าววาจาเยี่ยงนี้”

ใบหน้าหนานกงเย่เย็นยะเยือก “พวกเขากระพือข่าวลือ บอกว่าอวิ๋นอวิ๋นสิ้นลมหายใจแล้ว”

“ท่านสังหารทิ้งแล้วหรือ?”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นมองด้วยดวงตาคมกริบ หนานกงเย่ลังเลชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าให้

อันที่จริงเขาฆ่าทิ้งไปแล้วสองชีวิต

เห็นแววตาเขาบังเกิดคลื่นไหววูบ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ว่าเขากำลังพูดปดมดเท็จ

“ท่านอ๋องเพคะ หากข้าตาย ไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ท่านจะฆ่าผู้อื่นไหม?”

“……”

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นปราดหนึ่ง “เช่นนั้นก็ไม่ต้องตาย จะตายก็ตายหลังข้า”

“ท่านอ๋องวิปลาสไปแล้วใช่หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกโกรธขึ้ง หากไม่ใช่ไร้แรง เธอก็อยากปลีกตัวออกห่างไปเลย

“ข้าเป็นหมอ หน้าที่ข้าคือช่วยเหลือผู้คน แล้วท่านกลับเอาชีวิตผู้อื่น ท่านอ๋อง ท่านคิดจะทำให้ข้าตรอมใจตายใช่ไหม?”

“เป็นเพราะอวิ๋นอวิ๋นนอนหลับนานเกินไป ข้าเห็นเจ้าไม่เป็นกระไร ข้าก็รออย่างอดทน แต่รอไปรอมา เจ้าก็ยังไม่ตื่น ข้าจะทำเยี่ยงไรดี?”

อารมณ์โกรธของหนานกงเย่ผุดขึ้นมาด้วยเช่นกัน ตวาดเสียงดังกังวาน

พวกเขาประสานตากัน ฉีเฟยอวิ๋นเข้าซบบนไหล่หนานกงเย่ “พรุ่งนี้พวกเราไปขอขมากัน นำตั๋วเงินให้พวกเขาด้วย อะไรที่ช่วยครอบครัวพวกเขาได้ พวกเราก็จะช่วย”

“อืม”

หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าบอกตัวเองว่าอวิ๋นอวิ๋นต้องฟื้นขึ้นมาแน่ แต่ต่อมาข้าทนไม่ไหว พวกเขาตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าประตูจวน ข้าเลยพุ่งออกไป”

“ท่านอ๋องไม่ต้องกล่าวแล้ว ข้ารู้แล้ว”

หนานกงเย่จึงหยุดพูด ไหนเลยฉีเฟยอวิ๋นจะไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของหนานกงเย่

หลังอาบน้ำเสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นก็ออกจากสระ ทั้งสองเตรียมเข้านอนพักผ่อน ทว่าฉีเฟยอวิ๋นต้องตะลึงงันกับกล่องยาที่โผล่อยู่บนเตียง

เธอยืนมองกล่องยาบนเตียงด้วยความงวยงง

หนานกงเย่เดินเข้ามาเห็นฉีเฟยอวิ๋นยืนอึ้ง นึกว่าพึ่งตื่นนอน เขาสะเพร่าไปแล้ว จึงเข้าไปกอดแล้วแนบใบหน้าติดกับเธอ จากนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “ข้าสะเพร่าเกินไปใช่ไหม?”

“ท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน” ฉีเฟยอวิ๋นพูดเสียงเบามาก ทว่าแววตากลับขึงขังจริงจัง

หนานกงเย่มองตามเธอ จึงพบว่ามีกล่องยาสีเงินไว้อยู่บนเตียง เขาเลิกกอดฉีเฟยอวิ๋น แล้วไปด้านหน้าเตียงด้วยความประหลาดใจ โค้งตัวดึงกล่องยามามอง เมื่อพินิจพิเคราะห์สักพักก็หมายจะยกกล่องขึ้นมาเขย่า ฉีเฟยอวิ๋นรีบห้าม “อย่าเขย่าเพคะ”

หนานกงเย่รีบปล่อยมือ ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปด้านหน้าเขา แล้วลากเขาออกห่างเล็กน้อย ก่อนจะยกกล่องยาขึ้นมา “ดูนะเพคะ”

หนานกงเย่ยืนมองอย่างตั้งใจ ฉีเฟยอวิ๋นเปิดตัวล็อคออก กล่องก็เกิดเสียง เคร่ง! หนานกงเย่กระเถิบถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขาคิดว่ามีอาวุธลับอยู่ในกล่อง

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขำ หันไปมองเขา “ท่านกลัวอันใดเพคะ?”

กล่าวจบก็ทำตาขวางใส่หนานกงเย่ จากนั้นก็หันไปเปิดกล่องออก ซึ่งภายในกล่องมีขวดชิ้นเล็กๆวางไว้บางส่วน และยังมีวัตถุที่เขาไม่รู้จักอีกบางส่วน

หนานกงเย่ถามด้วยความประหลาดใจ “คืออะไร?”

“ใช้สำหรับตรวจอาการผู้ป่วยเพคะ แต่สิ่งที่ข้าพกจัดอยู่ในหมวดใช้ฉุกเฉินเพคะ ดังนั้นจึงไม่ใช้ยาที่หมอใช้โดยเฉพาะ จึงมีแต่ผ้าพันแผลกับยาปฏิชีวนะเสียส่วนใหญ่เพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นเปิดชั้นบนออก ชั้นล่างมีแต่อุปกรณ์ฉีดยากับขวดยาปฏิชีวนะที่วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ