บทที่ 174 อยากเป็นศิษย์หรือ ได้ ไปผ่าศพดูก่อน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 174 อยากเป็นศิษย์หรือ? ได้ ไปผ่าศพดูก่อน
“จะให้ข้าคารวะเจ้าเหมือนอาจารย์อย่างนั้นหรือ? เฟิ่งชิงเฉินเจ้าเพ้อฝันเกินไปแล้ว อย่างข้าน่ะหรือจะยกเจ้าขึ้นมาเป็นอาจารย์” ปฏิกิริยาโต้ตอบของซุนเจิ้งเต้าอลังการกว่าของเฟิ่งชิงเฉินมาก
จะให้หัวหน้าสำนักหมอหลวงแห่งราชสำนักไปยกย่องเด็กสาวคนหนึ่งขึ้นมาเป็นอาจารย์ เรื่องนี้ฟังดูตลกสิ้นดี เฟิ่งชิงเฉินยังจะกล้าเพ้อฝันอีก
เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ก็แค่รักษาดวงตาให้กับหวังจิ่นหลิงจนหาย เพียงแค่นั้นก็สามารถทำให้เขามาเคารพนบนอบนางได้อย่างนั้นหรือ ช่างใสซื่อจริงๆเลย
เฟิ่งชิงเฉินจึงรู้ว่าตัวเองคิดผิดไป นางยิ้มด้วยอาการขวยเขิน “ข้าก็ว่าข้าคิดมากเกินไปค่ะ ความสามารถของชิงเฉินจะไปรับลูกศิษย์ได้อย่างไร แต่ชิงเฉินฟังความไม่กระจ่างจริงๆค่ะ ขอหมอหลวงซุนโปรดช่วยชี้แนะด้วย”
การรับลูกศิษย์ อย่างนางจะไปรับลูกศิษย์ได้อย่างไร นางไม่ได้หลงยุคมาเพื่อเผยแพร่การแพทย์แผนตะวันตกนะ นางยังอยากเรียนการแพทย์แผนจีนเสียด้วยซ้ำ
“เอ่อ เหอะๆ……” ซุนเจิ้งเต้าก็หัวเราะเพราะตนเองพูดจาไม่กระจ่าง ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ไม่ต้องถ่อมตัวหรอก ฝีมือของเจ้าไม่เลวจริงๆนะ แต่ละสาขาวิชามีความถนัดเฉพาะด้านต่างกัน อย่างเจ้าถนัดเรื่องแผลภายนอก ฝีมือการเย็บแผลและวิธีจัดการกับบาดแผลของเจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก ลูกชายข้าต่างหากล่ะ ซุนซือสิง เขาอยากให้เจ้าไปเป็นอาจารย์เขา คอยสอนเรื่องการรับมือกับบาดแผลและวิธีการเย็บแผล”
เขารู้สึกขายหน้า ลูกชายของหัวหน้าสำนักหมอหลวงแห่งราชสำนักกลับไปก้มหัวขอเรียนวิชาแพทย์จากผู้อื่น แต่จะทำอย่างไรได้ เจ้าลูกชายหัวดื้อไม่ยอมฟังเขาเลย
หากไม่ใช่เพราะเขาเคยห้ามไว้ ซุนซือสิงก็คงไปคุกเข่าขอให้เฟิ่งชิงเฉินรับตัวเองเป็นศิษย์อยู่ที่หน้าจวนเฟิ่งตั้งนานแล้ว
“อ๋อ…เป็นคุณชายเองหรือคะ? เขาอยากเรียนเรื่องการจัดการบาดแผลและการเย็บแผลก็ไม่เห็นต้องมายกย่องข้าเป็นอาจารย์เลยนี่คะ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวโดยปราศจากเจตนาซ่อนเร้น ก่อนหน้านี้ที่นางไม่ยอมสอนคนของสำนักหมอหลวง เป็นเพราะนางไม่ชอบหน้าคนเหล่านั้นจริงๆ
ลูกชายอยากเรียนก็ไม่พูดมาตรงๆ มัวแต่หาเรื่องตำหนินางอยู่ได้ เป็นเช่นนี้แล้วจะให้นางอยากสอนได้อย่างไร หากสอนแล้วยังต้องถูกตำหนิอีกจะทำไปเพื่ออะไร นี่มองนางเป็นแม่พระกันงั้นหรือ
“ได้อย่างไรล่ะ หากไม่มีการเรียกขานว่าอาจารย์กับศิษย์ แล้วจะเอาวิชาลับเฉพาะมาจากเจ้าได้อย่างไร” เรื่องนี้ซุนเจิ้งเต้ายอมไม่ได้จริงๆ
“วิชาลับเฉพาะอะไรกันคะ หมอหลวงซุนก็พูดเกินไป ก็แค่การเย็บแผลธรรมดาเท่านั้นเอง ไม่ใช่วิชาลับเฉพาะเสียหน่อย แล้วคุณชายอยู่ไหนคะ เดี๋ยวข้าจะไปช่วยสอนให้เดี๋ยวนี้ ใช้เวลาไม่นานรับรองทำเป็นแน่” เรื่องการเย็บแผลไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรเลย เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่าหากดูนางสาธิตเพียงครั้งเดียว ทั้งหมอหลวงซุนและลูกชายจะต้องทำตามได้แน่นอน
เมื่อซุนเจิ้งเต้าเห็นนางตอบกลับเช่นนี้แล้วก็ครุ่นคิดอยู่สักพัก เขานึกถึงเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินรักษาดวงตาให้กับหวังจิ่นหลิง เรื่องที่นางจัดการกับแผลของลั่วอ๋อง และเรื่องที่นางช่วยรักษาคนโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างทันท่วงที สิ่งที่นางรู้คงมีอยู่ไม่น้อย การให้นางมาเป็นอาจารย์ของลูกชายก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ขายหน้า
ฝีมือการรักษาของเขาจัดว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่งหรือไม่ก็อันดับสองในตงหลิง แต่เขาไร้ความสามารถในการรักษาดวงตาให้กับหวังจิ่นหลิง บาดแผลของลั่วอ๋องเขาก็เคยเห็นมาก่อนแล้ว หากให้เขาเป็นคนไปรักษา ต่อให้จะรักษาชีวิตของลั่วอ๋องเอาไว้ได้ แต่ขาก็คงจะเน่าเฟะ
ในส่วนเหล่านี้เฟิ่งชิงเฉินเก่งกว่าเขามาก การตัดสินใจเลือกของลูกชายอาจจะถูกต้องแล้ว ซุนเจิ้งเต้ากล่าวกับเฟิ่งชิงเฉินว่า “เรื่องนี้ไม่รีบร้อนหรอกนะ หากแม่นางเฟิ่งพอจะมีเวลาว่าง ก็มาช่วยข้าเรื่องนี้หน่อยได้หรือไม่?”
จู่ๆซุนเจิ้งเต้าก็พูดจานอบน้อม แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังวุ่นๆอยู่ แต่นางก็ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้ นางกำลังรอให้เขาพาไปพบกับเสด็จอาเก้า นางจึงรวบรวมพลังและตอบกลับไปว่า “ในเมื่อหมอหลวงซุนออกปากแล้ว สิ่งใดที่ชิงเฉินทำได้ ก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอนค่ะ”
“เยี่ยม แม่นางเฟิ่งพูดจาฉะฉานนัก คราวนี้ข้าขอพูดตรงๆบ้าง แม่นางเฟิ่ง ฮูหยินของข้าสุขภาพไม่ค่อยสู้ดีนัก ขอให้หมอเฟิ่งช่วยไปตรวจดูหน่อยได้ไหม” ซุนเจิ้งเต้าต้องการทดสอบเฟิ่งชิงเฉิน
หากเฟิ่งชิงเฉินมีความสามารถพอ เขาก็จะยอมปล่อยให้ลูกชายเรียนกับนาง แต่ถ้าหากเฟิ่งชิงเฉินดูเงอะงะ เขาก็จะคัดค้านลูกชายหัวชนฝา เขาจะไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายยกย่องเฟิ่งชิงเฉินเป็นอาจารย์อย่างเด็ดขาด อย่างดีก็แค่ยอมให้ลูกชายไปเรียนวิธีเย็บแผลจากเฟิ่งชิงเฉินเพียงอย่างเดียว
ไปรักษาโรคให้กับซุนฮูหยินงั้นหรือ?
โรคที่หัวหน้าสำนักหมอหลวงแห่งราชสำนักก็ยังรักษาไม่ได้ คงจะเป็นโรคที่น่าหนักใจมากๆเลย
เฟิ่งชิงเฉินเริ่มไม่สบายใจ แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้นางหมดหนทางปฏิเสธ ขอแค่ว่าโรคที่ว่าจะไม่ใช่โรคมะเร็งก็แล้วกัน
ซุนเจิ้งเต้าพาเฟิ่งชิงเฉินมาที่เรือนด้านใน นางได้ยินเสียงผู้หญิงในห้องร้องโอดโอยตั้งแต่นางยืนอยู่หน้าประตู ซุนเจิ้งเต้ารีบถามสาวใช้ว่า “อาการปวดของฮูหยินยังไม่ทุเลาลงอีกหรือ?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นายท่าน” สาวใช้ก้มหน้า
ซุนเจิ้งเต้าพยักหน้าด้วยความเป็นกังวล แสดงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาการกำเริบ ซุนเจิ้งเต้าไม่ได้ตื่นตกใจเท่าใดนัก เขาเอ่ยขึ้นมาว่า “ไปตามคุณชายใหญ่มาที บอกเขาว่าท่านหมอเฟิ่งมาแล้ว”
เขาอยากให้ลูกชายได้เห็นฝีมือเฟิ่งชิงเฉินด้วยตาของตัวเอง
เฮ่อ……หากเฟิ่งชิงเฉินยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ดำเนินอยู่ในตอนนี้ ก็เสียทีที่ใช้ชีวิตมาถึง 2 ชาติ 2 ภพ
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจ แต่ไหนแต่ไรมาเขามีแต่อาจารย์พิจารณาเลือกลูกศิษย์ มีลูกศิษย์ทดสอบอาจารย์เพื่อประกอบการตัดสินใจเสียที่ไหน หากนางได้เป็นอาจารย์จริง ก็คงไม่ได้น่าเกรงขามอะไรเลย
เรื่องการรับลูกศิษย์ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกยินดีเลยสักนิด มีแต่รู้สึกว่ามันมากวนใจ
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ก็ได้พบกับฮูหยินวัย 30 กว่าๆกำลังนอนซมอยู่บนเตียง นางทรมานจนใบหน้าซีดเซียว หาได้มีราศีของคนเป็นฮูหยินไม่ นางเห็นฮูหยินเอามือกุมท้องไว้ หมอหลวงซุนก็จนปัญญาที่จะรักษาแล้ว เฟิ่งชิงเฉินคาดเดาอยู่หลายโรค แล้วนางก็ขออนุญาตเข้าไปดูอาการ
ตามความคุ้นชินคนเป็นหมอ นางเริ่มจากการตรวจสอบปฏิกิริยาเบื้องต้นก่อนทำการวินิจฉัย เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ต้องใช้กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ นางได้แต่ถามไถ่อยู่สักพัก แล้วลองกดลงที่หน้าท้องบนขวาของซุนฮูหยิน “โอ๊ย……”
เมื่อกดไปโดนจุดที่นางเจ็บป่วย ซุนฮูหยินก็ทรมานมากกว่าเดิม
“ปวดแบบเสียวแปลบหรือว่าเสียดแน่นคะ” เฟิ่งชิงเฉินถามหน้านิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา
“เสียดแน่น ปวดมาก” ซุนฮูหยินแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบนาง
ซุนเจิ้งเต้าที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา แต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปขัดนาง
“ตรงนี้ปวดไหมคะ?” เฟิ่งชิงเฉินกดเบาๆที่ตำแหน่งของกระเพาะอาหาร
“ไม่ปวด”
“แล้วตรงนี้ล่ะคะ?”
“ปวด” ฮูหยินร่างท้วมเจ็บปวดทรมานจนสั่นเทาไปทั่วร่าง
เฟิ่งชิงเฉินหันมาตรวจดูตาขาวและใบหน้าของซุนฮูหยิน นางหน้าเหลืองและตาเหลือง เฟิ่งชิงเฉินถามนางต่อไปว่า “มีอาการคลื่นไส้อยากอาเจียนบ้างไหมคะ ที่ผ่านมาเวลาอาการกำเริบจะตัวร้อนเป็นบางครั้งด้วยหรือเปล่า”
“ใช่”
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าและกล่าวต่อไปว่า “แล้วครั้งนี้เริ่มมีอาการตั้งแต่ตอนไหนคะ?”
“เมื่อคืน เริ่มเมื่อคืน”
“พอทานอาหารที่เลี่ยนจัดเข้าไปแล้วก็เริ่มมีอาการใช่ไหมคะ” เฟิ่งชิงเฉินพอจะชี้ชัดอาการป่วยได้แล้ว แต่นางก็ต้องถามอาการต่อเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ หลังทานมื้อเย็นไปแล้ว ประมาณเที่ยงคืนก็เริ่มปวด” ซุนฮูหยินปวดจนตัวสั่น
“ค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า แต่ก็ยังไม่รีบด่วนสรุป
อาการของซุนฮูหยินพอจะระบุได้แล้วว่าเป็นถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน แต่นี่เป็นเพียงข้อมูลที่ได้จากการวินิจฉัยเบื้องต้น ยังต้องรอการตรวจสอบที่แน่ชัด
แม้เฟิ่งชิงเฉินจะมีประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยมาหลายราย แต่ก็ต้องอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์มากมายเข้ามาช่วยวินิจฉัย แล้วนางจึงจะลงข้อสรุป ต่อให้นางจะเชื่อมั่นในการวินิจฉัยของตัวเองมากแค่ไหน ก็ยังต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาช่วยหนุน นี่ถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อผู้ป่วย